กลับไปหน้า สารบัญ
นาเกลือ...ฤาจะเหลือเพียงตำนาน  ?
กุลธิดา สามะพุทธิ รายงาน
    หนังสือเรื่อง Epoch of Degraded Health หรือ "ยุคสมัยแห่งสุขภาพอันเสื่อมโทรม" เล่าให้ฟังว่า พ่อครัวชาวญี่ปุ่นจะไม่ใช้เกลือสินเธาว์ (เกลือที่ได้จากดินเค็ม) ในการทำผักดอง หรือหมักอาหารเด็ดขาด เพราะเรียนรู้สืบต่อกันมาว่า อาหารและพืชผักที่ดองด้วยเกลือสมุทร (เกลือที่ได้จากน้ำทะเล) จะมีรสชาติอร่อยกว่า เนื่องจากเกลือชนิดนี้มีแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด ที่ช่วยให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี แร่ธาตุเหล่านี้ไม่มีอยู่ในเกลือสินเธาว์ ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน 
คลิกดูภาพใหญ่     ผู้เขียนยังกล่าวอีกด้วยว่า เกลือสินเธาว์ซึ่งกลายมาเป็นที่นิยม เพราะมีลักษณะขาวร่วนน่าใช้ มีความบริสุทธิ์ และความเค็มสูงถึง ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์นั้น มีคุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายน้อยมาก เมื่อเทียบกับเกลือทะเลที่รูปร่างหน้าตาไม่น่าใช้นัก เพราะมีสีขาวหม่น เม็ดใหญ่และมีความชื้นมาก การที่คนนิยมบริโภคกันแต่เกลือสินเธาว์ รวมทั้งการที่กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นประกาศว่า เกลือสมุทรมีแร่ธาตุสำคัญไม่กี่ชนิดซึ่ง "ไม่จำเป็นต่อร่างกาย" นั้น เป็นมหันตภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของประชาชน 
    ในฝรั่งเศสก็มีงานวิจัยเปรียบเทียบคุณค่าทางอาหาร ระหว่างเกลือสมุทร กับเกลือสินเธาว์เช่นกัน ซึ่งอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว นักวิชาการอิสระผู้เกาะติดปัญหาเกี่ยวกับการทำนาเกลือ ได้อ้างถึงในการบรรยายเรื่อง "นาเกลือ ฤาจะเหลือเพียงตำนาน" เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรว่า "แม้เกลือทะเลจะมีโซเดียมคลอไรด์ และความบริสุทธิ์น้อยกว่าเกลือหิน หรือเกลือสินเธาว์ แต่เกลือทะเลมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายคนถึง ๘๔ ชนิด โดยมี ๒๔ ชนิดที่ร่างกายต้องการอย่างยิ่งยวด ในขณะที่เกลือสินเธาว์ไม่มีแร่ธาตุจำเป็นอื่น ๆ เลย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในเกลือสินเธาว์ ก็คือสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่ดูดความชื้นในเกลือ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ไอโอดีนที่เติมลงไปในเกลือ มีปริมาณคงที่ ไม่สลายตัว" งานวิจัยชิ้นนี้ยังสรุปไว้ด้วยว่า คนที่ขาดเกลือทะเล จะทำให้เกิดโรคมะเร็ง หมดเรี่ยวแรง ความจำเสื่อม เซ็กซ์เสื่อม ต่อมควบคุมเกลือเสื่อม แก่เกินไว ฟันและกระดูกผุ เป็นต้น
    ความเป็นจริงประการหนึ่งที่อาจารย์ล้อมชี้ให้เห็นก็คือ ทุกวันนี้คนกรุงเทพฯ เกือบทั้งหมดบริโภคแต่เกลือสินเธาว์ บรรดาห้างสรรพสินค้าก็ขายแต่เกลือสินเธาว์ เกลือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารของทุกบ้าน หรือทุกร้านอาหารก็เป็นเกลือสินเธาว์ทั้งสิ้น
คลิกดูภาพใหญ่     เมื่อสอบถามไปยังกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมานักโภชนการไทย ศึกษาในประเด็นว่าด้วยปริมาณสารไอโอดีนในเกลือ เพื่อป้องกันปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนของคนไทยเป็นหลักเท่านั้น โดยรายงานชิ้นล่าสุดของกรมอนามัย (กันยายน ๒๕๔๑) ชี้แจงว่า "เกลือที่ไม่มีสารไอโอดีนเลย คือ เกลือสินเธาว์ สำหรับเกลือทะเลนั้น มีระดับไอโอดีนน้อยมาก ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย" กรมอนามัยจึงไม่สนใจว่าคนจะนิยมบริโภคเกลือสมุทร หรือเกลือสินเธาว์ แต่สิ่งสำคัญก็คือ เกลือสำหรับบริโภคนั้น ต้องเติมสารไอโอดีนเข้าไปไม่น้อยกว่า ๓๐ มิลลิกรัมต่อเกลือ ๑ กิโลกรัม 
    แต่เมื่อติดตามจากมติคณะรัฐมนตรีในช่วงระหว่างปี ๒๕๓๔-๒๕๔๓, จดหมายโต้ตอบทางราชการ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งข้อมูลที่นายวิระ มาวิจักขณ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้กำกับดูแลด้านการผลิตเกลือสินเธาว์ ให้สัมภาษณ์แก่ สารคดี เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ แล้ว เห็นได้ว่าปัญหาเรื่อง "เกลือ" ในประเทศไทยนั้น ซับซ้อนวุ่นวายกว่าข้อถกเถียงในเรื่องคุณค่าทางอาหาร ที่กล่าวถึงข้างต้นมากนัก แม้แต่การกำหนดค่ามาตรฐานความเค็ม / ความบริสุทธิ์ของเกลือ หรือการที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ แจกเกลือสินเธาว์ผสมไอโอดีนไปทั่วประเทศนั้น ก็ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่า มีความไม่ชอบมาพากลบางประการ 
    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำลัง "เป็นเรื่อง" อยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ความเดือดร้อนของชาวนาเกลือสมุทร จากการที่ถูกเกลือสินเธาว์แย่งตลาด, ความขัดแย้งระหว่างผู้ผลิตเกลือสินเธาว์รายย่อย กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่มาลงทุนผลิตเกลือสินเธาว์ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมของตัวเอง 
      รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมอธิบายที่มาของปัญหาว่า ก่อนหน้านี้เกลือสมุทร ซึ่งมีการผลิตมากในแถบจังหวัดชายทะเลฝั่งอ่าวไทย เช่น สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ชลบุรี เพชรบุรี ถูกนำมาใช้ทั้งในการบริโภค และอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตคลอรีน โรงงานผลิตโซดาไฟและโซเดียมคาร์บอเนต เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแก้ว ใยสังเคราะห์ สบู่ ผงซักฟอก โรงงานทำกระจก-กระเบื้องเคลือบ แต่เมื่อมีการค้นพบเกลือสินเธาว์ ซึ่งอยู่ใต้ดินในแถบอีสานในปริมาณมาก เกลือสมุทรก็คลายความสำคัญลง
    "ในแง่อุตสาหกรรม เกลือสมุทรมีความบริสุทธิ์สู้เกลือสินเธาว์ไม่ได้ เนื่องจากมีแร่ธาตุและสารปนเปื้อนอยู่หลายชนิด โรงงานต่าง ๆ จึงหันมาใช้เกลือสินเธาว์กันหมด ไม่ว่าราคาจะถูกหรือแพงก็ตาม" 
    กระบวนการผลิตเกลือทะเลทั้งสองชนิดนี้ แตกต่างกันตรงที่ เกลือสมุทรได้จากการสูบน้ำทะเลเข้ามาขังไว้ในที่นา ตากแดดและลมจนน้ำระเหยไป เหลือเป็นผลึกเกลือสีขาว ส่วนเกลือหินหรือเกลือสินเธาว์ ได้จากการปล่อยน้ำลงไปละลายหินเกลือที่อยู่ใต้ดิน แล้วจึงสูบน้ำกลับขึ้นมาตาก หรือต้มให้น้ำระเหยไป 
    การมาถึงของเกลือสินเธาว์นั้น นำปัญหามาให้แก่ชาวนาเกลือสมุทร โดยที่ชาวนาเกลือเองก็คาดไม่ถึง ในระยะแรก ชาวนาเกลือสมุทรยังอุ่นใจ เพราะคิดว่าผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ จะนำเกลือไปใช้ในทางอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่แล้วมันกลับถูกนำมาบรรจุหีบห่อสะอาดตา มีการโฆษณาอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นเกลือที่ผู้คนนิยมบริโภคโดยทั่วไป
    อาจารย์ล้อมกล่าวว่า ชาวนาเกลือสมุทรเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ไม่ใช่บริษัทเอกชนใหญ่โต จึงไม่มีหัวทางธุรกิจการตลาด คิดบรรจุภัณฑ์สวย ๆ ให้ดูน่าใช้หรือทุ่มเงินโฆษณาเหมือนผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ 
      ปี ๒๕๓๖ มีการประชุมกันระหว่างบริษัทผู้ผลิตเกลือสินเธาว์รายใหญ่ กับสหกรณ์ชาวนาเกลือว่าบริษัทฯ จะไม่นำเกลือสินเธาว์มาขายเป็นเกลือบริโภค เพราะจะเป็นการแย่งตลาดของชาวนาเกลือสมุทร แต่ข้อตกลงนั้นไม่มีผล ซ้ำร้าย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ยังได้ออก "มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเกลือบริโภค" ซึ่งกำหนดว่าเกลือที่ใช้ในการปรุงอาหาร จะต้องมีโซเดียมคลอไรด์ไม่ต่ำกว่า ๙๙.๖ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจารย์ล้อมเล่าให้ฟังว่า การกำหนดมาตรฐานนี้เป็นไปอย่างลับ ๆ ระหว่างตัวแทนจากบริษัทผลิตเกลือสินเธาว์ คือบริษัทไทยอาซาฮี กับกระทรวงอุตสาหกรรม และนักวิชาการบางท่าน ชาวนาเกลือไม่มีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย โดยมาตรฐานนี้นับว่าเป็นการ "ตอกฝาโรง" เกลือสมุทรเลยทีเดียว เนื่องจากเกลือสมุทร แม้เมื่อผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์แล้ว ก็จะมีโซเดียมคลอไรด์สูงสุดได้แค่ ๙๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นั่นย่อมหมายความว่าเกลือสมุทร ไม่มีทางได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเลย ผลก็คือ โรงงานอุตสาหกรรมอาหารที่เคยซื้อเกลือสมุทรในปริมาณมาก ๆ เช่น โรงงานทำเต้าเจี้ยว น้ำปลา ผักดอง ฯลฯ บอกลาเกลือสมุทร แล้วหันมาซื้อเกลือสินเธาว์ที่มีค่าความบริสุทธิ์ ได้มาตรฐานดังกล่าวแทน 
    กระทรวงอุตสาหกรรมผู้ควบคุมโรงงานผลิตเกลือสินเธาว์ ยอมรับว่าเกลือสินเธาว์ สร้างความเดือดร้อนให้ชาวนาเกลือสมุทรจริง ๆ แต่รองปลัดกระทรวงฯ ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการออกมาตรฐานความเค็มของเกลือนั้น เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจผลิตเกลือสินเธาว์และกีดกันเกลือสมุทร เพราะมาตรฐานนี้ตั้งไว้เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น ไม่ได้บังคับให้ผู้บริโภคใช้แต่เกลือสินเธาว์ 
    "ปัจจุบันนี้มีโรงงานผลิตเกลือสินเธาว์ ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานฯ อยู่ ๓๐๐ กว่าราย สิ่งที่เราทำก็คือ จำกัดพื้นที่ทำเกลือสินเธาว์ ให้เหลือเพียงห้าจังหวัด คือ สกลนคร หนองคาย อุดรธานี มหาสารคาม และนครราชสีมา และคอยตรวจสอบควบคุม มิให้มีการประกอบกิจการทำเกลือสินเธาว์โดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งนอกจากจะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ดินยุบและทำลายแหล่งน้ำจืดแล้ว ยังเป็นการจำกัดปริมาณเกลือสินเธาว์ด้วย" รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจง "อุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น โรงงานผลิตกระจกของบริษัทไทยอาซาฮี มีความต้องการใช้เกลือสินเธาว์ที่มีคุณภาพสูงเป็นจำนวนมาก เขาจึงลงทุนตั้งบริษัทผลิตเกลือสินเธาว์เอง ที่จังหวัดนครราชสีมา คือ บริษัทเกลือพิมาย เนื่องจากเกลือสินเธาว์ที่ชาวบ้านที่ผลิตนั้น มีคุณภาพไม่ดีพอ สำหรับเรื่องการแย่งตลาดเกลือสมุทรนั้น เราไม่มีสิทธิไปห้าม ไม่ให้เขาเอามาขายเป็นเกลือบริโภค รวมทั้งไม่มีสิทธิบังคับให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ หันมาใช้เกลือสมุทร เพราะในทางอุตสาหกรรม เราจำเป็นต้องใช้เกลือสินเธาว์จริง ๆ" 
      อาจารย์ล้อมบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็น "ความเลวร้ายของวงการธุรกิจอุตสาหกรรม ที่พยายามจะฟาดฟันชาวนาเกลือ ให้ย่อยยับลงไป" ซึ่งก็ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ 
    ปี ๒๕๓๙ กระทรวงอุตสาหกรรมเปิดไฟเขียว ให้บริษัทเหมืองแร่โปแตซอาเซียน จำกัด ดำเนินการทำเหมืองแร่โพแทชที่ อ. บำเหน็จณรงค์ จ. ชัยภูมิ โดยผลพลอยที่ได้จากการสกัดแร่โพแทชก็คือ เกลือสินเธาว์นั่นเอง เพราะแร่ชนิดนี้อยู่ลึกลงไปจากชั้นหินเกลือ ซึ่งมีความหนานับร้อยเมตร กระทรวงอุตสาหกรรมให้ตัวเลขไว้ชัดเจนว่า จนถึงปลายปี ๒๕๔๔ จะมีเกลือสินเธาว์ที่เป็นผลพลอยได้ จากการทำเหมืองโพแทชถึง ๒ ล้านตัน 
    ถ้าไม่เป็นเพราะรายงาน การขอความช่วยเหลือจากวิกฤตการณ์ราคาเกลือสมุทรตกต่ำ ที่คณะรัฐมนตรีได้รับเมื่อกลางปี ๒๕๔๓ กระทรวงอุตสาหกรรมก็คงไม่ได้ออกมาให้สัญญาว่า จะประสานกับประเทศอินโดนีเซีย ให้รับซื้อเกลือจากโครงการทำเหมืองแร่โพแทชอาเซียน ปีละประมาณ ๙ แสนตัน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ก็ยังจำเป็นต้องรายงานคณะรัฐมนตรีไปว่า จะพิจารณามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เกลือบริโภคเสียใหม่ เพื่อให้เกลือทะเลของบรรดาชาวนาเกลือรายย่อย ๆ เข้าถึงมาตรฐานที่กำหนดได้ 
    แม้จะมีการเอ่ยถึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของชาวนาเกลือสมุทร แต่รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมก็ฟันธงว่า เกลือสมุทรคงหมดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเปิดเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทสัญชาติแคนาดา กำลังเข้ามาลงทุน ทำเหมืองแร่โพแทชอีกแห่งหนึ่งที่ จ.อุดรธานี นั่นหมายถึงว่าในอีกประมาณ ๑๐ ปีข้างหน้านี้ จะมีเกลือสินเธาว์ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่ชาวนาเกลือสมุทรเท่านั้น ที่จะเดือดร้อน หากแต่ผู้ผลิตเกลือสินเธาว์รายอื่น ๆ ก็คงเจอปัญหาหนักไม่น้อยไปกว่ากัน