นิตยสารสารคดี Feature Magazine |
www.sarakadee.com ISSN 0857-1538 |
|
ฉบับที่ ๑๙๓ เดือน มีนาคม ๒๕๔๔ | ||
|
|||||||
"อั่นนี้เรียก ผญาลืมงาย คนบ่มีผญา แก้เชือกไม่ออกก็บ่ได้กินข้าวงาย อั่นนี้เต่าแขวน อั่นนี้เต่าเดิน อั่นนี้กังหันลม อั่นนี้กังหันรอก ส่วนอั่นนี้วัวชน เป็นการละเล่นพื้นบ้านสมัยก่อน" พ่ออุ๊ยลำไย สุภาวะ ตัวแทนจากกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ แนะนำของเล่นพื้นบ้านชิ้นใหม่ ที่เพิ่งทยอยออกมาจากความทรงจำ ของพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา | |||||||
หากนับจากวันที่ สารคดี
นำเสนอเรื่องราวคนเฒ่าคนแก่
กับของเล่นพื้นบ้านไปเมื่อสองปีก่อน
("ตามหาของเล่นพื้นบ้าน
ตามหาความสุขคืนสู่ใจ"
สารคดี ฉบับที่ ๑๗๐ เมษายน
๒๕๔๒) มาจนถึงวันนี้
กลุ่มคนเฒ่าคนแก่ได้ขยายเครือข่ายจากหมู่บ้านป่าแดด
ต. ป่าแดด อ. แม่สรวย จ.
เชียงราย
ไปสู่หมู่บ้านอื่น ๆ
ทั้งในตำบลเดียวกัน
และจังหวัดใกล้เคียง
จนของเล่นชิ้นใหม่ ๆ
พากันเดินแถวออกจากความทรงจำของผู้สูงวัยกันไม่หวาดไม่ไหว
สร้างรายได้ให้พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย
เลี้ยงตัวเองได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ทางกลุ่มฯ
ก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในหกโครงการสร้างฐานชุมชนดีเด่นประจำปี
๒๕๔๓ ของ องค์การอโชก้า
ประเทศไทย
วันนี้เราจึงอยากพาคุณไปทำความรู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่
และความคืบหน้าของพวกเขากันอีกครั้ง |
|||||||
วีระพงษ์
กังวานนวกุล หรือ เบิ้ม
ชายหนุ่มผู้นำทีมคนเฒ่าย้อนอดีตวัยเยาว์
เล่าถึงความคืบหน้าของกลุ่มคนเฒ่าคนแก่
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาให้ฟังว่า "พอดีเมื่อปี ๒๕๔๒ เป็นปีผู้สูงอายุ หลาย ๆ หน่วยงานจึงให้ความสนใจกับผู้สูงอายุมากขึ้น มีการจัดเวทีประชาคมเพื่อผู้สูงอายุ เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นสาขาต่าง ๆ ออกมา และพัฒนาองค์ความรู้ที่ได้ให้เป็นประโยชน์กับชุมชน เช่นตั้งกลุ่มกิจกรรมหรือสร้างตลาดทางเลือกในชุมชน อย่างในตำบลป่าแดดก็มีกลุ่มอักษรพื้นเมือง กลุ่มศิลปหัตถกรรม กลุ่มทอผ้า กลุ่มอาหาร ขนม และกลุ่มของเล่นพื้นบ้าน ทั้งหมดนี้รวมกลุ่มกันในนามโครงการศูนย์การศึกษา และพัฒนาตลาดทางเลือกในชุมชน สำหรับกลุ่มของเล่นพื้นบ้านที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ก็ได้รับประโยชน์จากการรวมตัวกัน ของผู้สูงอายุในปีนั้นด้วย คือ ผู้สูงอายุได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กันและกัน ของเล่นจึงหลากหลายมากขึ้น " |
|||||||
นอกจากความหลากหลายที่เกิดขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ได้รับตามมาโดยไม่รู้ตัว
คือความรู้ในมิติของวัฒนธรรม
ประเพณี และความเชื่อ
เพราะของเล่นแต่ละชิ้นล้วนมีประวัติความเป็นมา
สอดแทรกอยู่ในชิ้นงาน
เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ทางมานุษยวิทยา
ที่ยังมีลมหายใจของคนรุ่นเก่ารวยรินอยู่ใกล้
ๆ
คอยบอกเล่าประสบการณ์ในอดีต
ให้คนรุ่นใหม่ฟังอย่างใกล้ชิด "เมื่อก่อนเคยเล่นหยังพ่อง คิดอันไหนได้ก็เอาออกมา เฮาค้นภูมิปัญญาที่เล่นสืบกันมา อย่างอั่นนี้วัวชนเป็นกาลละเล่นพื้นเมืองสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ทางบ้านเฮาบ่มีแล้ว อั่นนี้คนตำข้าว ต้องมีคนสองคนช่วยกันตำ เพราะคนเดียวตำบ่ไหว เหนื่อยแป้ อั่นนี้เครื่องดักปลาของคนโบราณมีหลายแบบ เพราะเมื่อก่อนปลามีหลายชนิด ส่วนอั่นนี้ธนู เอาไว้ล่าสัตว์ในป่า" |
|||||||
ส่วนผญาลืมงายที่พ่ออุ๊ยแนะนำไว้
เมื่อตอนเปิดเรื่อง
ก็นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ที่ควรค่าแก่การศึกษาอีกชิ้นหนึ่ง
เพราะมันท้าทายภูมิปัญญาของผู้คนมานักต่อนัก
สมชื่อกับที่คนโบราณตั้งเอาไว้ทีเดียว
เจ้าของเล่นที่ว่านี้
ทำจากจากกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่กว่านิ้วมือเล็กน้อย
เจาะรูสองรูด้านข้างสำหรับร้อยเชือก
เวลาเล่นจะต้องมีคนหนึ่งร้อยเชือกเข้าไปในรู
และหาวิธีมัดที่สลับซับซ้อน
เพื่อให้คนเล่นหาทางแก้เชือกออกไม่ได้
บางคนต้องนั่งเล่นทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า
ยังหาทางออกไม่ได้
มันจึงถูกเรียกว่า
ผญาลืมงาย
แปลเป็นภาษากลางว่า
เล่นจนลืมกินข้าวเช้า ด้วยเหตุที่ของเล่นพื้นบ้านมีทั้งความสนุก และความรู้ ทาง อบต. ตำบลป่าแดดจึงเตรียมสร้างศูนย์วัฒนธรรมของตำบลป่าแดดขึ้นมา เพื่อรวบรวมของเล่นเหล่านี้มาไว้ในพิพิธภัณฑ์ แล้วปล่อยให้เด็กเข้ามาเล่นของเล่น ได้ตามใจชอบ โดยสอดแทรกประวัติความเป็นมาของของเล่นชนิดต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ เรียนรู้ไปในตัว เพราะของเล่นเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเด็กทุกคน |
|||||||
"ตอนนี้หลายโรงเรียนนำของเล่นพื้นบ้าน
ไปใช้เป็นสื่อการสอน
และให้คนเฒ่าคนแก่
เข้าไปสอนทำของเล่นในโรงเรียน
เป็นลักษณะของการศึกษาแบบบูรณาการ
ที่ไม่ได้เน้นความรู้จากในตำราเพียงอย่างเดียว
อย่างโรงเรียนในชุมชนบ้านป่าแดด
วันศุกร์จะมีการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุไปสอนให้เด็ก
ๆ
ทำของเล่นพื้นบ้านด้วยตนเอง
ส่วนโรงเรียนอื่น ๆ
ในหลายจังหวัดภาคเหนือ
ก็มีติดต่อให้เราไปสอนเหมือนกัน
เวลาเราไปสอน
เราไม่ได้เน้นการสอนทำของเล่นอย่างเดียว
แต่เราเน้นให้คนในชุมชนนั้น
ๆ
มาร่วมเรียนรู้กับเราด้วย
ให้แต่ละโรงเรียน
นำองค์ความรู้ที่มีอยู่ในชุมชนออกมาใช้
กระตุ้นให้ผู้สูงอายุ
และคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม "จริง ๆ แล้วเป้าหมายของเรา ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะของเล่นพื้นบ้าน เราสนับสนุนทุกเรื่องที่เป็นภูมิปัญญาของแต่ละคน เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน บางคนมีความรู้เรื่องสมุนไพร บางคนมีความรู้เรื่องทอผ้า ของเล่นก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำได้" |
|||||||
ในส่วนของรายได้ที่ได้รับจากการขายของเล่น
เบิ้มแจกแจงให้ฟังว่า "รายได้จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของคนทำ อีกส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นกองทุน สำหรับดำเนินงานส่วนกลาง เช่น พิมพ์เอกสารเผยแพร่การทำงานของกลุ่ม ค่ารถ และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด สำหรับคนหนุ่มสาว ที่เข้ามาร่วมทำงานอย่างผมกับน้อง ๆ อีกสี่ห้าคนก็มีรายได้จากการขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สมุดบันทึก ถ้ามีคนช่วยสนับสนุนในส่วนนี้มาก ๆ พวกเราก็คงจะยังชีพอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน" สิ่งที่น่าดีใจก็คือ แม้วันนี้ ของเล่นพื้นบ้านจะได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดภายนอกเพิ่มมากขึ้น แต่นโยบายการทำงานของกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ ก็ยังเหมือนเดิม คือ ไม่เน้นผลิตเพื่อขาย แต่เน้นผลิตเพื่อความสบายใจ ปล่อยให้บรรดาของเล่น ที่ซ่อนตัวอยู่ในความทรงจำ เดินทางมาถึงปัจจุบันอย่างช้า ๆ อย่างที่พ่ออุ๊ยลำไยว่า "ของเล่นเหล่านี้มาจากประสบการณ์ของแต่ละคน ใครจำได้อันไหน ไม่ได้รีบร้อน ยะกันเรื่อย ๆ ถ้าเหนื่อยก็พัก" |
|||||||