เรื่องและภาพ : เทียรี ฟาลีส์ แปลและเรียบเรียง : เบญจรัตน์ ฉั่ว
ณ สนามบินกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ศุลกากรประหลาดใจกับกล่องอะลูมิเนียมต่าง ๆ กระเป๋าที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ของแชนนอน เจ้าหน้าที่ศุลกากรใช้เวลากว่า ๓ ชั่วโมงในการค้นอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างละเอียดลออ แชนนอนเล่าว่า "พวกเขาถามว่าผมทำธุรกิจหรือ ผมก็บอกว่า อุปกรณ์พวกนี้เอาไว้ใช้ในภารกิจให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เขาก็เลยให้ผมมา" แชนนอนทำเป็นลืมบอกเจ้าหน้าที่ศุลกากรว่า ภารกิจนั้นจะปฏิบัติในพม่า--หลังจากที่เขาได้ลักลอบข้ามพรมแดนไทยไปแล้ว หลังจากที่เรือแล่นผ่านกองกำลังทหารไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ้าพลาสติกก็ถูกเลิกออก เผยให้เห็นแชนนอนที่ตัวแดงนอนเหงื่อท่วมเพราะความร้อน เช้าวันต่อมา หลังจากที่ค้างคืนกันบนหาดทรายฝั่งขวาของแม่น้ำสาละวิน คณะเดินทางที่ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล กองกำลังกะเหรี่ยง และลูกหาบ ๓๐ คนที่ทำหน้าที่แบกอุปกรณ์ทางการแพทย์และยา ก็เริ่มเดินทางไปตามเส้นทางวกวนในป่า เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ คือ จังหวัดมือตรอว์ ในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งมีผู้ลี้ภัย หรือที่เรียกกันในแถบนี้ว่า "ผู้พลัดถิ่นในประเทศ" (Internally Displaced People-IDPs) หลบซ่อนตัวอยู่ราวกับสัตว์ป่าที่ตื่นกลัว กลุ่มคนเหล่านี้เป็นชาวนาที่ถูกขับไล่ออกมาจากหมู่บ้านของตน ส่วนมากเป็นชนกลุ่มน้อยซึ่งถือเป็นพลเมืองร้อยละ ๓๐ ของประเทศพม่า พวกเขาถูกกดดันให้ไปอาศัยป่าเป็นที่พักอาศัย เป็นเวลานับวัน นับเดือน หรือนับปี ภายใต้การคุกคามอย่างต่อเนื่องของกองทหารพม่า โดยปรกติแล้ว สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNU (Karen National Union) ซึ่งเป็นองค์กรของชาวกะเหรี่ยงที่ต่อสู้มานานนับครึ่งศตวรรษเพื่อประเทศกอทูเล หรือประเทศกะเหรี่ยงอิสระ จะจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัย คราวนี้ การที่มีทันตแพทย์อลิสสันร่วมในการเดินทางนานสองสัปดาห์นี้ด้วย ทำให้ต้องมีการเตรียมความพร้อมและการรักษาความปลอดภัยมากกว่าปรกติ แชนนอนเดินทางมายังแผ่นดินกะเหรี่ยงเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว ก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตสิบปีในหน่วยรบพิเศษอเมริกัน ซึ่งเป็นเหล่าทหารชั้นสูงของกองทัพ และอีกเก้าเดือนในหน่วยปฏิบัติการพายุทะเลทรายในสงครามอ่าวเปอร์เชีย เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยร่วมรบด้วยกันกล่าวว่า "ในกองทัพ แชนนอนเป็นหมอฟันที่ดีที่สุด เป็นเหมือนศิลปินเลยทีเดียว การถอนฟันกับเขานี่เกือบจะเป็นความสุขเลยละครับ" แชนนอนเล่าถึงแรงบันดาลใจของเขาด้วยถ้อยคำเรียบง่ายว่า "ผมอยากจะนำความหวังไปให้คนเหล่านี้ อยากให้พวกเขาเห็นว่า ยังมีชาวต่างชาติที่สนใจพวกเขา ให้เขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกลืม" ในฐานะคริสเตียนที่มีศรัทธาแรงกล้า แชนนอนยังถือว่าตนมี "จิตวิญญาณดวงเดียวกัน" กับชาวกะเหรี่ยงในภูมิภาคนี้ซึ่งส่วนมากเป็นคริสเตียนอีกด้วย
ทีมแพทย์กะเหรี่ยงจัดการตรวจคนไข้อย่างรวดเร็วโดยใช้พื้นต่างเตียง ชายคนหนึ่งมีม้ามโต เด็กป่วยเป็นมาลาเรีย หลายต่อหลายคนเป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดในหมู่ผู้พลัดถิ่น แชนนอนใช้ไฟฉายตรวจฟันเน่า ๆ ของชายผู้หนึ่งและบอกว่า "เราต้องถอนฟันออก ขืนปล่อยเอาไว้ก็รังแต่จะเจ็บปวดทรมานเปล่า ๆ" โทบี้ บี แพทย์หนุ่มชาวกะเหรี่ยงผู้มีประสบการณ์สองปีในการถอนฟัน ลงมือฉีดยาเข้าที่เหงือกของชายผู้หนึ่ง ชายคนนั้นประหลาดใจไม่น้อย ที่มีคนใส่ใจเขาถึงขนาดนั้น โทบี้ บี ใช้เวลาถอนฟันเพียงห้านาที ก็คีบฟันซี่นั้นออกมาอวดด้วยความภูมิใจ คณะแพทย์จะต้องเดินทางไปให้ถึงอีกหมู่บ้านก่อนมืด กองกำลังของพม่าอาจอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก บางทีก็อยู่ห่างออกไปเพียงระยะเดินแค่ครึ่งชั่วโมง หรือใกล้เพียงโยนก้อนหินถึงกันได้ในทางป่าอย่างนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กองทหารกะเหรี่ยง ลูกหาบ และคณะแพทย์ เลิกพูดตลกกันเสียงดัง ระเบิดเสียงหัวเราะกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เปิดวิทยุหูหิ้วสุดเสียง เล่นกีตาร์ หรือทำอะไรที่เป็นการละเลยมาตรการความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่สุด นี่เป็นการยอมรับในโชคชะตาหรือ ? เป็นการเลินเล่อหรือ ? ...ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ห้วงปีแห่งการสู้รบอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ได้สอนให้พวกเขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางอันตรายได้ นับเป็นเวลาสองสัปดาห์ ที่วันคืนอันเจ็บปวดของผู้พลัดถิ่น ได้รับการบรรเทาไปด้วยยาปฏิชีวนะและยาชา คณะแพทย์ก็ออกเดินทางจากหมู่บ้านหนึ่ง ไปยังที่พักพิงของผู้พลัดถิ่น ระหว่างการตรวจครั้งนี้ แชนนอนเรียกให้ชาวบ้านที่ปวดฟันมารวมกัน หญิงชราคนหนึ่งเข้ามาหาและบอกว่า "ยายก็อยากให้หมอถอนฟันให้สักซี่นะ แต่ว่า..." ว่าแล้วแกก็อ้าปาก อวดแถวฟันกุด ๆ ที่เสียจากการเคี้ยวหมากมานานนับสิบ ๆ ปี แล้วก็หัวเราะ "ยายไม่มีฟันแล้ว" แกยังคงหัวเราะเรื่องตลกของตัวเองอยู่อีกนับสิบนาทีหลังจากนั้น แชนนอนนั่งอยู่บนพื้นไม้ไผ่และเริ่มตรวจ ทำความสะอาด ขัด อุด และถอนฟัน เขาบอกหลังจากเสร็จจากคนไข้คนหนึ่งว่า "ถ้าผมสามารถให้คำแนะนำพวกเขาได้ ผมอยากจะบอกให้เขาหยุดเคี้ยวหมาก เพราะนั่นเป็นเหมือนศัตรูตัวฉกาจของฟันเลยทีเดียว" แต่เขาก็ตระหนักดีว่า ตนไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ชาวบ้านคุ้นเคยมานานนับศตวรรษได้ เขาจึงได้แต่รำพึงว่า "คราวหน้าเห็นจะต้องเอาแปรงสีฟันมาด้วยเยอะ ๆ"
ขณะนั้นเริ่มจะมืดแล้ว กลุ่มผู้พลัดถิ่นจึงต้องเร่งข้ามแม่น้ำบีเล ทารกคนหนึ่งร้องจ้าขึ้นมาทำลายความเงียบ ชายชราคนหนึ่งเกือบจะลื่นล้มไปกับกระแสน้ำเชี่ยว เมื่อพวกเขาข้ามแม่น้ำไปถึงอีกฝั่ง ซึ่งค่อนข้างจะปลอดภัยกว่า ก็รีบกระจายกันไปหาฟืนในป่า ต้มน้ำ และเตรียมที่พักสำหรับคืนนั้น ซอบอทู หัวหน้ากลุ่ม บอกว่า "กองทหาร SPDC (รัฐบาลพม่า) โจมตีหมู่บ้านของพวกเราในเมืองฉ่วยจิน แล้วบังคับให้พวกเราทำงานให้มัน เราเลยไม่มีเวลาหาเลี้ยงตัวเอง" ชาวบ้านจึงเริ่มหนีออกจากหมู่บ้านในเดือนมีนาคม ๒๕๔๓ นับแต่นั้นมา ชีวิตของพวกเขาก็ไม่มีความสงบสุข ต้องเร่ร่อนอยู่ในป่าสลับกับกลับไปอยู่ในหมู่บ้านเป็นเวลาสั้น ๆ สถานการณ์แย่ลงไปอีกในเดือนพฤศจิกายนเมื่อทหารพม่าทำลายหมู่บ้านกว่า ๒๐๐ แห่งในภูมิภาคนั้น ซอบอทูเล่าเพิ่มว่า "ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ชาวนาสามคนที่กลับไปหมู่บ้านเพื่อไปเอาข้าวที่ซ่อนไว้ ถูกทหารพม่าจากกองทหารราบที่ ๓๖๐ ตีตาย" คนอื่น ๆ ยังเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผู้หญิงถูกข่มขืน การฆ่า และการทรมานอื่น ๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓ เป็นต้นมา มีผู้คนกว่า ๒,๐๐๐ คนจากเฉพาะภูมิภาคนั้น ข้ามแม่น้ำบีเลมาแล้ว ในขณะเดียวกัน ที่ย่างกุ้ง นายทหารพม่าหยิบมือหนึ่งเริ่มการเจรจาลับกับฝ่ายค้าน การตีสองหน้าเช่นนี้ทำให้ผู้นำชาวกะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็นกังวลอย่างมาก ทูเลอวา เลขาธิการเขต กองพล ๕ ของ KNU ได้สรุปความคิดเห็นที่เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางในกลุ่มผู้นำชนกลุ่มน้อยว่า "แน่ละ พวกเราต้องการสันติภาพ แต่เราก็กลัวว่า สันติภาพแบบที่ SPDC ต้องการ จะได้มาบนความสูญเสียของชนกลุ่มน้อย" เมื่อคุณเข้าใจถึงความกลัวบนใบหน้าของผู้พลัดถิ่นที่แม่น้ำบีเลแล้ว มันก็ยากที่จะไม่กังวลเช่นนั้นด้วย