เรื่องและภาพ : อนุกูล สอนเอก
ปลายฤดูฝน ปี ๒๕๓๕ เราอยู่กับฟ้าฉ่ำฝนตลอดหลายวันที่ผ่านมาจนถึงช่วงเช้าของวันใหม่ หลังจากเตรียมอุปกรณ์บางอย่างที่จำเป็น ก็เริ่มออกเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ ลัดเลาะตามริมน้ำ วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานสำรวจที่ผมหนักใจที่สุดในชีวิต ด้านหน้าของพวกเราคือปากถ้ำขนาดมหึมา เส้นแบ่งระหว่างโลกของแสงสว่างกับความมืด พอเดินพ้นปากถ้ำเข้ามาสักระยะ แล้วหันมองกลับไป ปากถ้ำมีขนาดเล็กนิดเดียว ยิ่งเดินลึกเข้าไปแสงสว่างยิ่งลดน้อย ราวกับถึงระยะสิ้นสุดของมัน พบแต่ความเวิ้งว้างและความเงียบ ที่ไร้สรรพเสียงใด ๆ อากาศรอบตัวอึดอัด เจือด้วยกลิ่นเหม็นเอียน ๆ ฉุนขึ้นจมูก ทุกอย่างที่สัมผัสมิใช่โลกที่ผมคุ้นเคยมาก่อน ผมรู้สึกว่าที่นี่คงเป็นที่เดียวบนโลก ที่ไม่มีกลางวันและกลางคืน มีแต่เพียงความมืดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความมืด ความกลัวในจิตใจสร้างภาพหลอนไปต่าง ๆ นานา รอบตัวคล้ายมีบางสิ่งคอยจ้องมองอยู่ สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด พากันหัวเราะยินดีราวกับเห็นอาหารอันโอชะ และรอเวลาเข้ามากัดกินอย่างหิวกระหาย .................................. นั่นคือประสบการณ์ ความรู้สึกแรก ๆ ที่ผมได้สัมผัสการสำรวจถ้ำ ซึ่งส่งผลถึงชีวิตการทำงานของผมในเวลาต่อมา หลังจากออกสำรวจครั้งนั้น ผมก็สะดุดตากับนิตยสาร สารคดี หน้าปกเป็นรูปหินย้อยสีขาว (สารคดี ฉบับที่ ๑๑๐ ปีที่ ๑๐ เดือนเมษายน ๒๕๓๗) ลักษณะคล้ายผลึกรูปเข็มนับร้อย ๆ อันพุ่งออกมาจากแท่งหิน สารคดีเรื่องนั้นเขียนและถ่ายภาพโดย จอห์น สปีส์ นักสำรวจอิสระชาวออสเตรเลียที่ตั้งหลักแหล่งอยู่แม่ฮ่องสอน งานเขียนชิ้นนั้นสร้างแรงบันดาลใจให้ผม ทำให้ผมตั้งความหวังไว้ว่า จะต้องหาโอกาสไปพบผู้เขียนให้ได้
ทุกครั้งที่กลับไปเยือนถ้ำ ผมรู้สึกคล้ายได้กลับบ้าน ความมืดและเงียบทำให้รู้สึกถึงความสงบและอบอุ่น (อย่างประหลาด) กลิ่นต่าง ๆ ภายในถ้ำกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย เราไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของกันและกันอีกต่อไป ขณะเดียวกันผมก็เริ่มตอบคำถามที่คนสงสัย ได้อย่างมั่นใจขึ้นด้วย คำถามที่ว่า ทำไมต้องสำรวจถ้ำ นักสำรวจถ้ำคือใคร นักสำรวจถ้ำทำอะไร นักสำรวจถ้ำ หรือ speleologist ก็คือผู้ทำงานเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของถ้ำ ดูว่าถ้ำอยู่ตรงไหน ลักษณะอย่างไร ลึก/ยาวเพียงใด เส้นทางในถ้ำเป็นอย่างไร และทำแผนที่ พวกเขาไม่ใช่แค่บุกเบิกเส้นทางเท่านั้น แต่ลงลึกในรายละเอียดด้วย ว่าในถ้ำมีอะไรน่าสนใจ ศึกษาโครงสร้างทางธรณีวิทยา ความเปลี่ยนแปลงของถ้ำ อุทกวิทยา โบราณคดี และนิเวศวิทยาภายในนั้น ไปจนถึงใช้ถ้ำเป็นห้องทดลองใต้พื้นพิภพ ทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งถ้ำแต่ละแห่ง จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป เมื่อรู้ถึงลักษณะทั่วไปของถ้ำแล้ว ก็วางแผนได้ว่าควรจะลงลึกด้านไหน นักสำรวจถ้ำอาจมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ บางคนเป็นแพทย์ บางคนเป็นนักธุรกิจ ทว่าชอบในสิ่งเดียวกัน คือการสำรวจถ้ำ งานของพวกเขาเปรียบเป็นการเปิดพรมแดนการเรียนรู้ ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่เคยอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเราในอดีต ให้รู้ถึงพื้นที่ที่มีกฎเกณฑ์เฉพาะตัว จนอาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันโลกส่วนนี้ มิได้อยู่ห่างไกลความรู้ และความเข้าใจของเราอีกต่อไป ถ้ำนอกจากจะมีคุณค่าทางการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีคุณค่าในฐานะของแหล่งค้นคว้าที่สำคัญ ของศาสตร์ด้านโบราณคดี ธรณีวิทยา หรือโบราณชีววิทยา ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย และที่หลบภัยอันมั่นคงของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ในสังคมเก็บของป่า-ล่าสัตว์ จึงพบหลักฐานทางโบราณคดี เช่น เครื่องมือหินกะเทาะ เครื่องมือหินขัด ภาชนะดิน เครื่องมือโลหะ เครื่องประดับ กระดูกมนุษย์ เมล็ดพืช ฯลฯ ซึ่งสามารถจะเผยให้เห็นภาพความเป็นมา และพัฒนาการการตั้งถิ่นฐานของผู้คน ในดินแดนแถบนั้น ๆ ได้ หินงอกหินย้อยที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยบอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลก ย้อนหลังไปนับเป็นหมื่น ๆ ปี อาจด้วยเกสรพืชที่ตกค้างอยู่ภายใน หรือด้วย "วงปี" การสะสมตัว (ชั้นหินปูน) ของแท่งหินงอกหินย้อยเอง แม้แต่ตะกอนภายในถ้ำ ก็ยังนำมาประเมินอายุถ้ำ และปรากฏการณ์ด้านสภาพแวดล้อมในอดีตได้ ชั้นตะกอนจากถ้ำผาไท จังหวัดลำปาง ที่เราเก็บมาศึกษา ก็เป็นตะกอนเถ้าถ่านของภูเขาไฟเมื่อ ๙.๓ ล้านปีที่แล้ว แสดงให้เรารู้ว่า ถ้ำผาไทมีอายุมากกว่านั้น และมีภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
ฤดูร้อน ปี ๒๕๔๒ สัปดาห์ที่ ๓ ของการสำรวจถ้ำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พวกเราตัดสินใจตั้งแคมป์กลางป่า เพื่อเดินทางเข้าสำรวจบริเวณผาฟ้า ภูเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า คณะสำรวจประกอบด้วย ดีน สมาร์ต ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอังกฤษ และหัวหน้าโครงการสำรวจถ้ำทุ่งใหญ่นเรศวร กรมป่าไม้ ผมซึ่งเป็นนักสำรวจของโครงการ เจ้าหน้าที่ป่าไม้สี่คนเป็นหน่วยสนับสนุน พร้อมกับนักศึกษาฝึกงานอีกสองคน ตามแผนการคร่าว ๆ พวกเราจะตั้งแคมป์สำรวจบริเวณผาฟ้าแปดวัน จุดที่เราตั้งแคมป์ จะเลือกบริเวณที่ห่างจากจุดที่จะสำรวจ ในรัศมี ๕-๖ กิโลเมตร ไม่เกินจากนี้ จะเดินทางไปกลับได้ภายในหนึ่งวัน และจะต้องเลือกจุดที่ไม่ไกลจากทางสายหลักด้วย การส่งเสบียงหรือขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน จะได้ไม่ขลุกขลัก จากแผนที่ภูมิประเทศ ๑ : ๕๐,๐๐๐ เราเห็นเส้นชั้นความสูง เป็นก้นหอยซ้อนกันละลานตาทั่วป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ขณะที่แผนที่ธรณีวิทยา บอกว่าส่วนใหญ่เป็นพื้นที่หินปูน นั่นหมายความว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศ ที่เรียกกันว่า คาร์สต์ (karst) ที่นี่เป็นคาร์สต์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดตาก และกาญจนบุรี ซึ่งปรากฏแอ่งยุบหรือหลุมยุบ (doline) กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้พื้นที่ยังไม่เคยผ่านการสำรวจมาก่อน แต่เรามั่นใจว่า มีโอกาสพบถ้ำเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหลุมยุบที่มีขนาดใหญ่ ๆ และลึกนั้น เรามักจะเลือกสำรวจเป็นอันดับแรกเสมอ เพราะหากมีหลุมยุบขนาดใหญ่ ก็เป็นไปได้ที่น้ำทั้งหมดในลุ่มน้ำนั้น จะไหลลงไปรวมกันแล้วมุดหายลงไปชั้นใต้ดิน เกิดเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ถ้าสำรวจดี ๆ อาจพบถ้ำขนาดใหญ่ และยาวไปทะลุอีกฟากเขาก็ได้ วิธีหาหลุมยุบง่ายๆ จากแผนที่ ให้ดูกลุ่มเส้นชั้นความสูง ที่มีเส้นตรงอีกเส้นลากผ่านเป็นมุมฉาก เรียกว่าเส้น depression contour บอกพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นแอ่ง ลองสังเกตดี ๆ ถ้าบริเวณไหนมี depression contour ในแผนที่ จะไม่มีเส้นสัญลักษณ์ของน้ำผิวดินเลย บริเวณที่เราจะเลือกสำรวจอันดับต่อมาคือ ตามเส้นแนวหน้าผา หรือบริเวณซึ่งมีเส้นชั้นความสูงซ้อนกันถี่ ๆ เมื่อดูจากแผนที่ ยิ่งเป็นผาหินปูนด้วยแล้ว โอกาสพบถ้ำจะค่อนข้างสูง ถ้ำลักษณะนี้เรียก ถ้ำแขวน ถ้าเป็นถ้ำอยู่ใกล้แหล่งน้ำ จะมีโอกาสพบร่องรอยอารยธรรมได้มากที่สุด แม้หลักการเบื้องต้น เราจะพยายามหาพื้นที่ที่สำรวจง่ายสุดไว้ก่อน แต่สำหรับหน้าผาหินปูน ถ้าขึ้นได้ และโอกาสเหมาะเราก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว เริ่มแรกเราจะต้องหาปากถ้ำให้เจอเสียก่อน หลังจากกำหนดจุดที่คาดว่าจะมีถ้ำ ลงในแผนที่ภูมิประเทศเสร็จสรรพ ก็เป็นชั่วโมงของการเดินสำรวจพื้นที่ การเดินต้องใช้แผนที่ภูมิประเทศ กับเครื่องหาตำแหน่งด้วยดาวเทียม (GPS) ควบคู่กันเป็นหลัก ตรวจสอบตำแหน่งและทิศทาง ไม่ให้ออกนอกเส้นทางที่วางไว้
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นทั้งที่เป็นเดือนเมษายน อากาศหนาวไล่คณะพวกเราลงจากเปลมาผิงไฟ กองไฟถูกสุมฟืนให้มีความอบอุ่นเพียงพอ ไม่นานนักบรรยากาศก็พาเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาสู่วงสนทนารอบกองไฟ "ถ้ำที่เราไปเจอวันนี้มีแอ่งน้ำอยู่ข้างใน มันไปสุดแค่นั้นหรือครับ หรือสามารถไปต่อได้" นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งถามขึ้น "ผมเองคิดว่าโถงถ้ำจะต้องไปต่อได้ แต่พวกเราอาจผ่านช่วงนั้นไปไม่ได้ ต้องมีเวลาในการสำรวจและอุปกรณ์มากกว่านี้" ผมบอก และดีนช่วยเพิ่มเติมให้ว่า ถ้ำหลาย ๆ ที่ที่เราพบจะเป็นอย่างนี้ เมื่อเข้าไปสำรวจก็จะไปสุดที่แอ่งน้ำ (sump) เพราะว่าถ้ำส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน (water table) ภายในชั้นของหินปูนมีรอยแตก (joint) เป็นจำนวนมาก น้ำที่รวมตัวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นกรดอ่อน ๆ สามารถละลายหินปูนได้ดี ช่วงที่มีน้ำเต็มโพรงถ้ำ น้ำจะละลายจนกลายเป็นโพรงกลม ขยายออกทุกทิศทาง เราเรียกถ้ำที่เกิดขึ้นใต้ระดับน้ำใต้ดินว่า "phreactic cave" ต่อมาภายหลังน้ำใต้ดินลดระดับลง ทำให้ในโพรงมีอากาศและน้ำอยู่ภายใน เราเรียกว่า "vados cave" ระดับน้ำในถ้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดปี หากเกิดการไหลกัดเซาะบริเวณพื้นและผนังถ้ำ ระดับพื้นถ้ำก็จะลดต่ำลงมาเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน รูปร่างของถ้ำจึงมีการพัฒนารูปแบบตามอัตราการกัดเซาะและการละลายร่วมกัน เกิดเป็นโพรงถ้ำที่มีรูปร่างเหมือนรูกุญแจ (key hole) "เหมือนกับที่เราเคยไปสำรวจด้วยกันที่ทุ่งแสลงหลวงเมื่อประมาณเดือนเมษายน ๒๕๔๑ นั่นไง" เป็นการสำรวจต่อจากคณะสำรวจนานาชาติโดยการนำของกรมป่าไม้เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๐ ซึ่งมีพี่นพรัตน์ นาคสถิตย์ เป็นหัวหน้าทีม ตอนแรกไม่มีใครนึกว่าถ้ำที่มีความยาวเป็นอันดับสองของประเทศไทยจะอยู่ที่นี่ ในการสำรวจครั้งแรกเราใช้ข้อมูลจากแผนที่ธรณีวิทยา ซึ่งบอกให้รู้ว่าพื้นที่ทางตะวันออกของทุ่งแสลงหลวงมีภูเขาหินปูนในยุคเพอร์เมียนกระจายอยู่ในพื้นที่ไม่มากนัก การสำรวจครั้งนั้นพบถ้ำขนาดเล็กความยาวไม่ถึง ๑ กิโลเมตรกระจายอยู่ทั่วไป จนกระทั่งสองวันสุดท้าย คณะสำรวจย้ายไปบริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าที่อยู่ด้านเหนือของพื้นที่ จึงพบถ้ำที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย "ครั้งแรกที่เห็น ผมคิดว่าถ้ำนี้มีความยาวไม่เกิน ๕๐๐ เมตร หรือ ๑,๐๐๐ เมตรเท่านั้น เพราะโถงถ้ำใหญ่ซ่อนตัวอยู่ด้านล่างโถงหินถล่มที่พวกเรายืนอยู่ เมื่อทำการสำรวจพบว่าด้านล่างโถงถ้ำกว้างมาก และยิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ตามทางน้ำสายหลัก ในปีแรกคณะสำรวจทำการสำรวจได้ระยะทางรวม ๖,๓๑๕.๔๓ เมตร และลึกลงไปใต้ชั้นหิน ๕๘.๕๔ เมตร คณะสำรวจได้หยุดการสำรวจไว้เพียงแค่นั้นเพราะไม่มีเวลาพอ" ดีนเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้ว ในปีถัดมา ดีนกับผมสำรวจเพิ่มเติมอีกครั้ง ใช้เวลาประมาณห้าวัน ทำให้เรารู้ว่าถ้ำมีความยาวทั้งสิ้น ๑๒.๑๐ กิโลเมตร แต่พวกเราคิดว่ายังสำรวจไม่หมด เพราะยังคงมีทางแยกอื่น ๆ อีก รวมทั้งหลืบบนเพดานด้วยที่ถือว่าอยู่ใน cave system เดียวกัน ดีนพูดเสมอว่า ถ้ำส่วนใหญ่ในโลกยังสำรวจไม่เสร็จ นักสำรวจยังพบเส้นทางเชื่อมต่อกับเส้นทางอื่น ๆ ตลอด ต้องใช้เวลาสำรวจและศึกษาหลายปี ถ้ำนี้ก็เหมือนกัน
อากาศที่มีอัตราคาร์บอนไดออกไซด์สูงถือว่าอันตรายที่สุด คาร์บอนไดออกไซด์เกิดจากเศษซากใบไม้กิ่งไม้ ซากสัตว์กับโคลนที่ถูกกระแสน้ำพัดพาเข้าไป และจากกระบวนการตกตะกอนอีกครั้ง ของแคลเซียมคาร์บอเนต รวมทั้งมูลค้างคาวที่ทับถมกันส่งกลิ่นฉุน (แต่กลับส่งผลดีต่อถ้ำ เนื่องจากมันคือจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารภายในถ้ำ) และเกิดการย่อยสลาย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะสะสมตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสภาพที่อากาศในถ้ำถ่ายเทและเปลี่ยนแปลงน้อย ในอากาศที่เราสูดอยู่ทุกวันจะพบคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ระดับ ๐.๐๐๓ เปอร์เซ็นต์ แต่ในถ้ำเราอาจพบมันมากขึ้น และจะเป็นอันตรายต่อคนเมื่อเพิ่มถึงขีด ๕.๕ เปอร์เซ็นต์ การหายใจจะเริ่มติดขัด สมองมึนงงและหมดสติ หลังจากนั้นจะเสียชีวิตภายในไม่กี่นาที วิธีตรวจสอบที่ดีที่สุดคือใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์วัดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ ทว่าอุปกรณ์พวกนี้ราคาแพง บางทีซื้อไม่ไหว เราจึงต้องอาศัยการตรวจสอบแบบดั้งเดิม ใช้ความผิดปรกติของร่างกายเป็นตัววัด เพียงแต่คนคนนั้นจะต้องมีประสบการณ์เคยอยู่ในสภาพอะไรอย่างที่ว่ามาก่อนจึงสามารถบอกได้ เพราะบางครั้งการหายใจติดขัดก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากคาร์บอนไดออกไซด์สูงอย่างเดียว แต่ยังมาจากออกซิเจนน้อยด้วย คนทั่วไปจะเริ่มรู้สึกกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ ๓-๔ เปอร์เซ็นต์ แต่ประสบการณ์ทำให้ ดีน สมาร์ต รู้สึกกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ ๑ เปอร์เซ็นต์ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในถ้ำ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากความแตกต่างของอุณหภูมิภายในกับภายนอกถ้ำ เมื่อใดที่ถ้ำมีทางเข้าออกทางเดียว อุณหภูมิภายในเย็นกว่าภายนอก อากาศในถ้ำจะไหลออกมาบริเวณปากถ้ำและจะนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาด้วย ในทางกลับกัน หากอากาศภายนอกเย็นกว่า อากาศจะไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน หอบเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปด้วยจนอยู่ในระดับสมดุล นอกจากนี้ มวลโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์หนักกว่าออกซิเจน ดังนั้นภายในถ้ำ ชั้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะทิ้งตัวอยู่ด้านล่างของออกซิเจน ยิ่งลึกเข้าไประดับชั้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในถ้ำใหม่ที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน และไม่มีการไหลเวียนของอากาศแต่มีชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่บนพื้นถ้ำ เราจะพบว่าขาเดินเข้าไป จะไม่มีปัญหาเรื่องขาดอากาศ แต่เมื่อเดินกลับออกมา จะพบปัญหาอากาศไม่พอหายใจ เนื่องจากสมดุลของชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถูกเข้าไปรบกวนจนฟุ้งกระจายขึ้นมา นักสำรวจถ้ำทุกคนเรียนรู้ถึงวิธีการสังเกตการไหลเวียนของอากาศ รู้วิธีการตรวจสอบอากาศ และพร้อมที่จะกลับออกมาเมื่อเกิดปัญหาหรือถึงขีดจำกัดของทีม
อันตรายที่น่ากลัวรองลงมา และสามารถเล่นงานเราได้หลายรูปแบบ ผมขอจัดให้อันดับแรกเป็น "อุณหภูมิของน้ำ" น้ำในถ้ำจะมีความเย็นเฉียด ๆ น้ำในตู้เย็นเลยทีเดียว พวกเราเคยเข้าสำรวจถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำตลอดปี อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติลำคลองงู จังหวัดกาญจนบุรี พวกเราต้องว่ายทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและแช่น้ำอยู่ร่วมห้าชั่วโมงกว่าจะสำรวจเสร็จสิ้น ช่วงพักก็ใช้วิธีเกาะผนังถ้ำหรือลอยคอในน้ำเอาเท่านั้น แม้เป็นช่วงเดือนเมษายน อากาศร้อนที่สุดของปี แต่อุณหภูมิน้ำในลำห้วยอยู่ในราว ๑๖-๑๘ องศาเซลเซียสเท่านั้น บางครั้งลมแรงอีกต่างหาก การแช่อยู่ในน้ำนาน ๆ เสี่ยงต่ออาการไฮโปเทอร์เมีย (hypothermia) หรืออาการของคนที่อุณหภูมิร่างกายต่ำเกินไป คือ ตัวสั่น เดินช้า ปล่อยของหลุดจากมือ กล้ามเนื้อไม่ค่อยเคลื่อนไหว พูดไม่สะดวก มองเห็นไม่ชัดเจน จิตใจเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ถ้าอุณหภูมิในร่างกายลดลง ๕-๖ องศาจะทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ ดังนั้นเสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่เตรียมไปจึงต้องเป็นชุดที่สามารถรักษาอุณหภูมิได้ระดับหนึ่ง การสำรวจครั้งนั้นมีเหตุการณ์ที่ลืมไม่ลงภายในถ้ำเสาหิน คือหลังจากเราว่ายน้ำและเดินเลาะลำห้วยเข้าไปเกือบถึงเสาหินใหญ่ ทันใดก็ได้ยินเสียงโครมครามดังจากด้านบน สักอึดใจน้ำในลำห้วยแตกกระจาย ละอองน้ำกระเซ็นใส่พวกเราพร้อม ๆ กัน ก้อนหินขนาดครึ่งเมตรหล่นลงมาจากเพดานถ้ำ ห่างพวกเราไม่ถึง ๒ เมตร พวกเราได้แต่นิ่งและหันมามองหน้ากันเพราะช็อก ผมยังจำได้ ดีนบอกว่า "ใครพบเหตุการณ์นี้นับว่าโชคดีมาก เพราะมันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย อาจเป็นหนึ่งในพันหรือในหมื่นเลยก็ว่าได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าหล่นใส่กลางวงเป็นใช้ได้" ถ้ำหลาย ๆ แห่งในบ้านเรามีลำห้วยไหลลอดอยู่ข้างใน บางถ้ำก็มีน้ำตลอดปี บางถ้ำมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น เราเรียกถ้ำพวกนี้ว่า "ถ้ำน้ำ" (stream cave) ซึ่งแทบจะปิดตัวเองโดยอัตโนมัติในฤดูฝน และเหล่านักสำรวจถ้ำก็มักหลีกเลี่ยง แต่หากจำเป็นต้องเข้าไปจริง ๆ จะต้องสังเกตตามผนังถ้ำว่ามีโคลนหรือเศษไม้อยู่หรือไม่ ถ้ำบางแห่งมีขนาดใหญ่ เวลาน้ำป่าไหลบ่าจะมีพลังมหาศาลสามารถพัดท่อนซุงใหญ่ ๆ ให้ไปติดอยู่บนเพดานถ้ำได้เลยทีเดียว เหมือนถ้ำนกนางแอ่น อุทยานแห่งชาติลำคลองงู พวกเราเคยทำเครื่องหมายบนผนังเพื่อดูระดับน้ำคร่าว ๆ ในช่วงปีถัดไปเราพบว่าน้ำในถ้ำมีระดับสูงมาก พวกเราคิดว่าในคาร์สต์วินโดว์ที่ ๔ (karst window) จะต้องกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่โดยทันที
ตามปรกติในถ้ำลึก ๆ มักไม่ค่อยพบสัตว์มีพิษ พวกมันอยู่ในที่ที่มืดสนิทไม่ได้ เพราะไม่มีอาหาร เราอาจพบงูบางชนิดอยู่ในถ้ำลึก ๆ เป็นงูที่หากินในถ้ำจริง ๆ กินค้างคาว เช่น งูกาบหมากหางนิล (cave dwelling snake) แต่งูประเภทนี้ไม่อันตรายสำหรับคน ส่วนงูชนิดอื่น ๆ จะอาศัยอยู่บริเวณปากถ้ำที่พอมีแสงสว่างส่องถึง สัตว์จำพวกงูมักชอบที่เย็นและอยู่ตามซอกหิน ดังนั้นก่อนที่จะเดิน มุด หรือคลานเข้าถ้ำจะต้องตรวจดูให้ถ้วนถี่ก่อน
ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ถ้ำเท่านั้นที่รอการค้นพบ สำรวจ ศึกษา และอนุรักษ์ จากนักสำรวจ นักวิชาการในแขนงต่าง ๆ พื้นที่คาร์สต์ทั้งหมดในประเทศไทยเองก็ต้องการการสำรวจและอนุรักษ์ เนื่องจากมันมีความสัมพันธ์อย่างมากต่อการคงอยู่ของถ้ำในประเทศไทย การสำรวจถ้ำในประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยเริ่มจากกรมป่าไม้ในช่วงเมื่อสี่ห้าปีที่ผ่านมา เพื่อสำรวจถ้ำต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ แต่ก็เป็นการสำรวจเบื้องต้นและเป็นการวางรากฐานของการจัดการถ้ำในอนาคตเท่านั้น หลังจากนั้นเกือบสองปี งานสำรวจวิจัยเต็มรูปแบบเกี่ยวกับถ้ำในประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และสร้างบุคลากรที่สามารถทำงานด้านการสำรวจถ้ำในระดับมืออาชีพ ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศึกษาสองพื้นที่โครงการคือ โครงการในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และโครงการในเขตอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน คาดว่าหลังจากเสร็จสิ้นโครงการทั้งสอง นอกจากจะมีคนไทยที่สามารถดำเนินการสำรวจวิจัยถ้ำในระดับมืออาชีพ สามารถทำความเข้าใจกับปริศนาของโครงข่ายใต้ดินอันซับซ้อน รู้ถึงคุณค่าความสำคัญด้านต่าง ๆ ของถ้ำแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นฐานข้อมูลในการจัดการใช้ประโยชน์ถ้ำอย่างยั่งยืนในอนาคตด้วย ข้อดีของทุ่งใหญ่นเรศวรอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ำอยู่ในสภาพธรรมชาติ ไม่เคยถูกรบกวน จึงน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการศึกษา สร้างองค์ความรู้พื้นฐานการจัดการถ้ำต่อไป ดังนั้นถ้ำบางถ้ำ หรือ cave system บางแห่ง เราไม่ได้ไปเพียงครั้งเดียว ถ้าเราพบประเด็นสำคัญจะกลับไปทำซ้ำ อย่างเช่นถ้ำที่หน่วยห้วยน้ำเขียว (เขตห้วยขาแข้ง) ซึ่งเป็นถ้ำหกถ้ำ เกิดจากทางน้ำเดียวกัน ภายในมีลักษณะเป็นโครงข่ายสามชั้น มีความหลากหลายค่อนข้างมาก เราสรุปกันว่าน่าจะศึกษานำมาเป็นฐานข้อมูลจึงกลับไปอีกเป็นครั้งที่ ๒ ที่ ๓ ศึกษาการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมประจำวันภายในถ้ำโดยละเอียด ทั้งโซนภายนอกถ้ำ ปากถ้ำ และภายในถ้ำอันมืดมิด เก็บข้อมูลอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ จากนั้นก็สำรวจเก็บข้อมูลด้านชีววิทยา เก็บตัวอย่างแมลง และสัตว์ที่อาศัยในถ้ำทั้งหมด ทำ transec line ดูปัจจัยการดำรงชีวิตของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ว่าสัตว์แต่ละชนิดปรากฏอยู่ส่วนไหน ต้องการสภาพแวดล้อมแบบไหน แล้ววิเคราะห์ผลทางสถิติ/เปรียบเทียบ
เมื่อน้ำฝนที่ตกลงมารวมตัวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจึงมีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ หรือที่เราเรียกกันว่า กรดคาร์บอนิก มีคุณสมบัติสามารถละลายหินปูนหรือหินที่อยู่ในกลุ่มแคลคาร์เรียสได้ดี เมื่อน้ำฝนซึมผ่านลงใต้ดิน จะได้รับการเติมคาร์บอนไดออกไซด์ จากกิจกรรมย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ของจุลินทรีย์เล็ก ๆ ในดิน น้ำเหล่านั้นไหลลงไปรวมกันเกิดเป็นน้ำใต้ดิน รอการไหลซึมลงตามรอยแยกของหินปูนและทำการละลายหินปูนจนเกิดเป็นโพรงถ้ำขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกทิศทาง เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลงทำให้เกิดช่องว่างภายในถ้ำ ระดับน้ำใต้ดินจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดปี จึงเป็นการเริ่มกระบวนการพัฒนาของโถงถ้ำ ตามกระบวนการกษัยการ (erosion) ควบคู่กับกระบวนการละลาย (solution) พัดพาตะกอนขนาดเล็กขัดสีพื้นถ้ำและผนังถ้ำทำให้ระดับพื้นถ้ำต่ำลงเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน น้ำที่ซึมมาตามรอยแตกของหินจากเพดานถ้ำและผนังถ้ำก็มีการสะสมตัวของตะกอนหินปูน อันเนื่องจากน้ำใต้ดินซึ่งมีส่วนผสมของสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนต ตกตะกอนจับตัวกันอีกครั้งเกิดเป็นรูปทรงที่แปลกตา ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ หินงอกหินย้อย (speleothems) รูปลักษณะของมันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่ กระบวนการเกิด ความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมบริเวณต่าง ๆ ภายในถ้ำ เมื่อถ้ำมีการพัฒนาขนาดของโถงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพดานด้านบนจะเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหวก็จะมีการถล่มของโถงถ้ำ อาจเกิดเป็นช่องเปิดหรือช่องทางเชื่อมต่อกับภายนอก กลายเป็นปากถ้ำ การถล่มบางครั้งจะไม่สามารถสร้างช่องทางเชื่อมต่อได้ แต่สามารถทำให้เกิดภูมิสภาพเฉพาะตัวบนพื้นโลกในลักษณะภูมิประเทศคาร์สต์ ก็คือ แอ่งยุบ (doline) ตามเส้นทางน้ำขนาดใหญ่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถสร้างเส้นทางเชื่อมต่อกับถ้ำต่าง ๆ เกิดเป็นโถงถ้ำที่ซับซ้อน เกิดปากถ้ำหรือเส้นทางเชื่อมต่อกับโลกภายนอก หลังจากนั้นสิ่งมีชีวิตเริ่มเข้ามาอาศัยปากถ้ำเป็นที่หลบภัย หากิน หรือใช้เป็นที่อยู่อาศัย สัตว์บางชนิดหลงเข้าไปลึก ๆ ถ้าสามารถปรับตัวได้ในสภาพแวดล้อมที่จำกัด ธรรมชาติก็ให้โอกาสในการอยู่รอด วิวัฒนาการจนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มีลักษณะเฉพาะ อวัยวะบางอย่างที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพก็อาจจะหายไป
การสำรวจถ้ำทุกครั้งของนักสำรวจถ้ำทั่วทุกมุมโลกจะยึดถือในกฎเกณฑ์การสำรวจเดียวกัน คือ ๑. การสำรวจถ้ำทุกครั้งจะต้องสวมหมวกนิรภัยตลอดเวลา ๒. อุปกรณ์ให้แสงสว่างจะต้องมีอย่างน้อยสามชุด ได้แก่ ไฟหลัก ไฟสำรอง และไฟฉุกเฉิน ต้องเตรียมแบตเตอรี่ หลอดไฟสำรองให้เพียงพอและเผื่ออย่างน้อยหนึ่งเท่าเสมอ ๓. การสำรวจถ้ำจะต้องเข้าอย่างน้อยสี่คน ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่พร้อมจะต้องกลับออกมาทั้งหมด มิฉะนั้นจะเป็นภาระกับเพื่อนร่วมทีมทันที ๔. การเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องบอกกับเพื่อน หรือคนรู้จักที่แน่ใจว่า เมื่อคณะสำรวจยังไม่กลับมาตามกำหนด เขาจะต้องหาคนตามไปช่วยเหลือได้ ต้องแจ้งถึงถ้ำที่เข้าสำรวจ ใช้เวลาสำรวจนานเท่าใด ที่สำคัญที่สุดคือ จะกลับออกมาเมื่อใด ๕. นักสำรวจต้องเรียนรู้ประสิทธิภาพ ข้อจำกัดของการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทำงานทั้งหมด สามารถซ่อมแซมและดัดแปลงเมื่อเกิดปัญหา สามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือในกรณีที่จำเป็นได้ และต้องดูแลรักษาให้อุปกรณ์เครื่องมือพร้อมใช้งานตลอดเวลา ๖. ก่อนใช้งานอุปกรณ์พิเศษ เช่น อุปกรณ์ขึ้นลงทางดิ่ง อุปกรณ์ดำน้ำ จะต้องมีการฝึกหัดและฝึกฝนถึงขั้นตอนการทำงานให้ขึ้นใจก่อนเข้าสำรวจจริงทุกครั้ง เพราะเมื่อเกิดปัญหาจะไม่มีใครสามารถช่วยได้นอกจากตัวเองเท่านั้น ๗. จะต้องรู้จักและฝึกฝนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมได้ยามจำเป็น เพราะกว่าชุดกู้ภัยจะมาช่วยเหลือได้ต้องใช้เวลานาน ๘. การเข้าถ้ำทุกครั้งจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อถ้ำ พึงตระหนักไว้เสมอว่า ถ้ำทุกแห่งเป็นที่ที่มีระบบนิเวศเฉพาะและเปราะบาง สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปย่อมเกิดผลกระทบที่ยาวนาน อาทิ ถ่านไฟฉายก่อมลพิษจากโลหะหนัก เศษอาหารทำให้เชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดเจริญเติบโตได้ดี หรือแม้กระทั่งเชื้อราและแบคทีเรียที่ติดเสื้อผ้าของผู้สำรวจเอง ทุกสิ่งที่นำเข้าไปจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับถ้ำเสมอ ต้องนำกลับออกมาด้วยเท่าที่จะสามารถทำได้ และจงรบกวนสิ่งมีชีวิตในถ้ำให้น้อยที่สุด นักสำรวจถ้ำจะต้องตระหนักไว้เสมอ และถามตัวเองก่อนเข้าสำรวจทุกครั้งว่า คุณรู้จักถ้ำดีเพียงใด การสำรวจถ้ำเถื่อน ผู้สำรวจจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับถ้ำ เช่น ธรณีวิทยา อุทกวิทยา ตะกอน กลไกของอากาศ นิเวศวิทยาภายในถ้ำ โบราณคดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับถ้ำ เกิดความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง ข้อสำคัญ ควรค่อย ๆ เรียนรู้ สั่งสมจากผู้มีประสบการณ์เท่านั้น ตระหนักไว้เสมอว่า โลกได้สูญเสียนักสำรวจถ้ำมืออาชีพที่มีประสบการณ์เป็นสิบ ๆ ปีไปหลายคนจากอุบัติเหตุในการสำรวจ ความไม่พร้อม และความประมาท