สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๐๑ เดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๔ "เหรียญสองด้านของจีเอ็มโอ"

สังคมเปลี่ยน : กฎหมายทำแท้งควรเปลี่ยนหรือไม่ ? 

สังคมเปลี่ยน : กฎหมายทำแท้งควรเปลี่ยนหรือไม่ ?
(ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณ คลิกที่นี่)
เกษร สิทธิหนิ้ว : รายงาน / ชัยชนะ จารุวรรณากร : ถ่ายภาพ
      หากการก่อร่างสร้างเลือดเนื้อของมนุษย์ นับตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิในครรภ์มารดา จวบจนวันลืมตาดูโลกถือว่ายาวนานแล้ว การเรียกร้องให้ผู้หญิง สามารถยุติการตั้งครรภ์ ที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็นับว่ายาวนานยิ่งกว่า 
      การเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขกฎหมายอาญาเรื่องความผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามมาตรา ๓๐๑-๓๐๕ ดำเนินมานาน นานเท่า ๆ กับที่ปัญหาของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ดำรงอยู่ตลอดมา จากปี ๒๕๑๗ กระทั่งปัจจุบัน 
      ประวัติศาสตร์ของสังคมไทยบอกเราว่า การทำแท้งของผู้หญิงไทยแต่โบราณ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับรัฐ การทำแท้งกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เมื่อมีการปรับปรุงกฎหมายไทย ให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเมืองในยุคจักรวรรดินิยม มีการประกาศยกเลิกกฎหมายลักษณะผัวเมีย และบังคับใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งรับเอาแนวคิดมาจากกฎหมายเยอรมัน
      ในกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดฐานทำให้แท้งลูกในมาตรา ๒๖๐-๒๖๔ ห้ามการรีดลูกนับแต่เด็กเริ่มปฏิสนธิ จนถึงก่อนคลอด โดยไม่มีบทยกเว้นโทษในทุกกรณี 
      การประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา ในเดือนมกราคม ๒๕๐๐ ได้มีการปรับปรุงบทบัญญัติ เกี่ยวกับความผิดฐานทำให้แท้งลูก และบรรจุไว้ในมาตรา ๓๐๑-๓๐๕ ซึ่งบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญานี้ ได้ยกเว้นความผิดของการทำแท้งไว้สองกรณี คือ เมื่อมีความจำเป็น เนื่องจากสุขภาพของหญิง และเมื่อครรภ์นั้นเกิดจากการถูกข่มขืน กฎหมายนี้บังคับใช้มาจนปัจจุบัน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น
      การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการปรับแก้ ในส่วนที่ว่าด้วยความผิดฐานทำให้แท้ง เริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗-๒๕๒๑ แต่จริงจังและเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อปี ๒๕๒๒ เป็นต้นมา โดยรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทำการศึกษา และปรับแก้เพื่อให้กฎหมายทำแท้งทันสมัย สอดคล้องกับสภาพปัญหามากขึ้น
      หลังคณะกรรมาธิการทุกคนลงนาม และร่างกฎหมายนี้ถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผ่านการพิจารณาในวาระหนึ่งถึงสามแล้ว ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ ๔ ของวุฒิสภา เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมาย ขบวนการต่อต้านก็เกิดขึ้น เป็นผลให้การพิจารณาแก้ไขกฎหมายทำแท้งต้องยุติลง
      ช่วงปี ๒๕๓๐-๒๕๓๑ ซึ่งสถานการณ์โรคเอดส์ระบาดอย่างรุนแรง พรรคประชากรไทยและพรรคชาติไทย พยายามเสนอร่างกฎหมายนี้อีกครั้ง แต่ข้อเสนอและความพยายามในการแก้กฎหมาย ของแพทยสภาก็ต้องพับเก็บไปอีกครา หลังจากนั้นองค์กรเอกชน นักวิชาการ และนักกฎหมาย ก็ออกมาเคลื่อนไหวเป็นระยะ ๆ 
      ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ คณะอนุกรรมการแพทยสภาชุดใหม่ มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๕ อีกครั้ง หลังจากกรมอนามัยได้สำรวจสถานการณ์ทำแท้งในประเทศไทย และการแก้ปัญหาในปี ๒๕๔๒ โดยเก็บข้อมูลจากโรงพยาบาล ๗๘๗ แห่ง จากหญิงที่เข้ามารักษา ภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้ง ทั้งที่ทำในโรงพยาบาลของรัฐ และที่ทำแท้งเอง ๔๕,๙๐๐ ราย ผลการสำรวจระบุว่า กลุ่มตัวอย่างที่มาโรงพยาบาลด้วยภาวะแทรกซ้อน ๔,๕๘๘ คน ร้อยละ ๖๕.๗ เป็นการทำแท้งจากคลินิก ซึ่งส่วนใหญ่กระทำโดยหมอเถื่อน ร้อยละ ๒๒.๔ ทำแท้งในโรงพยาบาล ที่เหลือร้อยละ ๑๑.๙ ทำแท้งด้วยตัวเอง อายุครรภ์เฉลี่ยที่ทำแท้งประมาณ ๑๓ สัปดาห์
      ข้อมูลดังกล่าวสวนทางอย่างสิ้นเชิง กับจำนวนคดีอันน้อยนิด เกี่ยวกับความผิดฐานทำแท้ง เพราะในขณะที่มีกฎหมายห้ามการทำแท้ง (นอกจากสองกรณีข้างต้น) กลับมีผู้ป่วยด้วยภาวะแทรกซ้อน จากการทำแท้งเป็นจำนวนมาก ประเด็นที่ว่ากฎหมายอาญา ๓๐๕ ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงและเป็นกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ และหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง 
      กระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือขอความเห็นจากแพทยสภา เพื่อให้พิจารณาเพิ่มเงื่อนไข และให้โอกาสหญิงตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์สามารถทำแท้งมากขึ้น โดยเพิ่มเงื่อนไขเรื่องความจำเป็น อันเนื่องจากสุขภาพจิตของหญิง และหากมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่าทารกในครรภ์มีโอกาสพิการ หรือเป็นพาหะนำโรคร้าย ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างน้อยสองคน จึงกระทำได้
      อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่คณะกรรมาธิการกำลังพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว และรอการทำประชาพิจารณ์ ก็มีผู้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุน และคัดค้านเรื่องนี้อย่างเข้มข้น
      กลุ่มศาสนา นักสังคมสงเคราะห์ และสูตินารีแพทย์ มีความเห็นคัดค้านด้วยเหตุผลในแง่ศีลธรรมที่ว่า การทำแท้งเป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิต กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ศีลธรรมเสื่อมโทรม วัยรุ่นจะมัวเมาเรื่องเพศมากขึ้น เพราะสามารถทำแท้งได้ง่ายกว่าเดิม และการเปิดช่องให้มีการทำแท้ง เพราะเหตุผลทางสุขภาพกายและสุขภาพจิต ก็เท่ากับว่าสามารถทำแท้งได้ทุกกรณี 
      ทางฝ่ายที่ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยนายแพทย์ นักวิชาการ องค์กรผู้หญิงและนักกฎหมาย ให้เหตุผลว่า กฎหมายไม่มีผลในทางปฏิบัติ และไม่เป็นธรรมกับผู้หญิง ที่ต้องการแก้ปัญหาชีวิตของตัวเอง เพราะแม้แต่การทำแท้งในสถานพยาบาลของรัฐ ในหลายกรณีที่จำเป็นต้องทำ กฎหมายก็ยังไม่อนุญาตให้ทำ เรื่องนี้ควรเป็นสิทธิของผู้หญิง ที่จะตัดสินใจเองได้ 
      การศึกษาผลงานวิจัยทั่วประเทศไทยในหัวข้อการทำแท้ง ซึ่งรวบรวมจากงานวิจัยกว่า ๑๐๐ ฉบับย้อนหลังไปกว่า ๓๐ ปี โดย ผศ. ดร. สุชาดา รัชชุกูล คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผู้หญิงที่ทำแท้งส่วนใหญ่ เป็นหญิงที่สมรสแล้วมากกว่าผู้หญิงโสด และส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใช้วิธีคุมกำเนิดแต่ล้มเหลว
      สาเหตุของการทำแท้ง พบว่าผู้หญิงโสดมักทำแท้งด้วยเหตุผลทางสังคม เช่น ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยังอยู่ในวัยเรียน ยังไม่ได้สมรส เป็นต้น ส่วนกรณีหญิงที่สมรสแล้วมักเป็นเพราะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบครอบครัว เป็นต้น หลังปี ๒๕๓๕ เป็นต้นมาพบว่า รากฐานของปัญหาการทำแท้ง เกิดจากปัจจัยทางสังคมเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ และงานวิจัยอีกส่วนหนึ่งชี้ชัดว่า ผู้หญิงที่ตั้งท้องจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องการทำแท้งถ้ามีทางเลือกอื่น ๆ 
      ในส่วนของผู้ประกอบการและวิธีการทำแท้ง ในช่วงแรก ๆ พบว่าร้อยละ ๙๐ ของผู้ให้บริการทำแท้งเป็นหมอเถื่อน และใช้วิธีการทำแท้งที่มักจะนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้ผู้หญิงที่ไปทำแท้งต้องพิการ จนกระทั่งถึงเสียชีวิต ปี ๒๕๓๗ มีงานวิจัยว่า ผู้ให้บริการทำแท้งเป็นหมอเถื่อนร้อยละ ๔๕ และมีแพทย์ปริญญา ให้บริการทำแท้งมากขึ้นกว่าเดิม
      การสำรวจสถิติการทำแท้งในประเทศไทย เป็นเรื่องยากลำบาก เนื่องจากเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และเป็นความลับส่วนตัวทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ แม้มีความพยายาม ที่จะศึกษาตัวเลขเหล่านี้อยู่เป็นระยะ ๆ และพอจะมีสถิติออกมาบ้าง แต่ตัวเลขที่ได้ก็เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งปัญหาเท่านั้น 
      แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานสองประการ ได้แก่ สิทธิในชีวิตของทารก และสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของหญิง ที่จะตัดสินใจกับชีวิตของตัวเอง ทำให้การแก้กฎหมายทำแท้ง เป็นเรื่องที่หาข้อยุติได้ยาก
      เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการศึกษา และเปิดเผยข้อเท็จจริงให้เห็นสภาพปัญหา ที่เคยซุกตัวอยู่ในมุมมืดได้ชัดเจนขึ้นแล้ว -- ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะ "พูด" และแก้ปัญหานี้อย่างเปิดเผย และตรงไปตรงมาเสียที

ร่วมแสดงความคิดเห็น สนับสนุน หรือ คัดค้าน !
คลิกที่นี่


อ่านสนับสนุนต่อ คลิกที่นี่กฤตยา อาชวนิจกุล
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
อ่านคัดค้านต่อ คลิกที่นี่พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู
ประธานสภาประมุข แห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิก แห่งประเทศไทย

ส นั บ ส นุ น

  คั ด ค้ า น  

  • กฎหมายที่เป็นอยู่ไม่เป็นธรรม และไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง
  • เรื่องความเชื่อ ศาสนา เป็นคนละเรื่องกับสุขภาพผู้หญิง
  • รัฐต้องเสียงบประมาณจำนวนมาก ในการรักษาผู้หญิง ที่ป่วยด้วยภาวะแทรกซ้อน จากการทำแท้ง ในคลินิกเถื่อน
  • เราเรียกร้องการทำแท้งที่ปลอดภัย ไม่ใช่ทำแท้งเสรี
  • เหตุใดเด็กพิการ จึงไม่มีสิทธิถือกำเนิด โลกนี้เป็นของคนสมบูรณ์เท่านั้นหรือ
  • การทำลายชีวิตของทารกในครรภ์ ถือเป็นการฆาตกรรม ซึ่งผิดต่อศีลธรรม และไม่ให้ความสำคัญ แก่คุณค่าของชีวิต 
  • ถ้าเด็กนั้นออกมาพิการ หรือพ่อแม่รับผิดชอบไม่ไหว สังคมควรมีส่วนช่วยกันรับผิดชอบ 
  • แน่ใจหรือว่า ถ้าเปิดโอกาสให้ทำแท้งได้ อย่างถูกกฎหมาย ในสถานที่ ที่ทางการกำหนดให้แล้ว ผู้หญิงจะไปทำ
อ่านฝ่ายสนับสนุน คลิกที่นี่
click here
อ่านฝ่ายคัดค้าน คลิกที่นี่
click here
กลับไปหน้า สารบัญ

แล้วคุณล่ะ สนับสนุน หรือ คัดค้าน !
ต้องการ แสดงความคิดเห็นเพิ่ม คลิกที่นี่


แ ส ด ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น เ พิ่ ม เ ติ ม

ชื่อ-สกุล: *
E-Mail:
แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม: *
*

 

พบเห็น ข้อความไม่เหมาะสม กรุณาช่วยกันแจ้ง ผู้ดูแลเว็ป (WebMaster) ขอบคุณครับ

ความเห็นแต่ละคนก็ต่างกันไป สุดยอดทั้งนั้นเลยครับผม มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย นานาจิตตํ นะครับ
แมว
- Saturday, June 11, 2005 at 07:31:25 (EDT)

สนับสนุน
noppadon moonjit <nopi46@hotmail>
- Friday, August 29, 2003 at 04:05:59 (EDT)

สนับสนุน
noppadon moonjit <nopi46@hotmail>
- Friday, August 29, 2003 at 04:05:32 (EDT)

สนับสนุน
noppadon moonjit <nopi46@hotmail>
- Friday, August 29, 2003 at 04:05:24 (EDT)

สนับสนุน
noppadon moonjit <nopi46@hotmail>
- Friday, August 29, 2003 at 04:05:14 (EDT)

สนับสนุน
noppadon moonjit <nopi46@hotmail>
- Friday, August 29, 2003 at 04:04:59 (EDT)

ผมสงสัยว่าเวลาพิจารณาว่าควรให้ทำแท้งถูกต้องตามกฎหมายนั้น พิจารณาเรื่องใดบ้าง ตอนนี้ก็มีกรณีที่ทำแท้งได้ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่เป็นเฉพาะกรณี หากจะให้มีการทำแท้งได้ในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์และผู้เกี่ยวข้องมีความไม่พร้อมจะเป็นการทำแท้งเสรีหรือไม่ เพราะถ้าใช้คงเป็นเหตุที่ใช้ทำแท้งบ่อยที่สุด การพิจารณาว่าควรหรือไม่ ไม่น่าจะคิดเพียงแค่ว่าผู้หญิงมีสิทธิที่จะตัดสินร่างกายของเธอเอง หรือเป็นสิทธิส่วนบุคคล เพราะเด็กที่อยู่ในท้องย่อมมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่เหมือนกัน ถ้าคิดว่าเด็กมีสิทธิมีชีวิตได้เมื่อแม่หรือพ่อหรือสังคมอยากให้มีหรือไม่มีแล้ว ก็น่าจะพิจารณาการทำลายชีวิตของคนที่เกิดมาแล้วใหม่ด้วย เด็กที่ปฎิสนธิมาแล้วย่อมมีความรู้สึกรักตัวกลัวตาย ไม่มีอะไรจะบอกได้ว่าสิ่งมีชีวิตในท้องนั้น จะไม่อยากมาเกิดหากรับรู้ว่าจะลำบาก ความรู้สึกว่าไม่อยากเกิดนั้นเป็นความรับรู้จากสังคมในภายหลัง เคยดูสารคดีการทำแท้ง เด็กในท้องดิ้นรนหนีวัตถุรุกล้ำที่เข้ามาเอาชีวิตเขาอย่างเต็มที่ ถ้าเด็กนั้นร้องได้คงได้ยินเสียงที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่งศาสนาพุทธบอกว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาป คือย่อมทำให้ผู้ที่ถูกฆ่าต้องทุกข์ ที่ผ่านมาความจำเป็นคือข้ออ้างทำให้มีการฆ่าสัตว์เพื่อกินเป็นอาหาร แต่ความจำเป็นในการฆ่าสิ่งมีชีวิตในครรภ์นี่คงจะเป็นความจำเป็นที่ถูกสร้างขึ้นมาเพิ่มในสังคมยุคต่อๆ มา โปรดอย่าเปรียบเทียบกับสัตว์ เพราะคนกับสัตว์ย่อมต่างกันในการพิจารณาและรับรู้ แต่ถึงอย่างนั้นลูกสัตว์ที่จะถูกฆ่าก็ยังรักตัวกลัวตายอยู่ เป็นการตัดสินจากสัตว์ตัวใหญ่ตามสัญชาติญาณเอาชีวิตรอด แต่มนุษย์นั้นเพิ่มเติมความจำเป็นเพิ่มขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเสื่อมหรือเพราะสังคมบังคับก็ตาม ซึ่งก็คงตำหนิใครไม่ได้ ความกลัวยากลำบากของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะห้ามยังไง แต่การตัดสินใจหนีปัญหาโดยการฆ่าชีวิตนั้น คงถึงยุคที่พุทธทำนายไว้แล้วว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่การพิจารณาแนวคิดเรื่องนี้ควรพิจารณาในแง่อื่นๆ ให้มากๆ นอกเหนือจากสิทธิของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ด้วย เพราะทำให้เขามีชีวิตมาแล้ว ก็ไม่ควรจะพิจารณาเพียงแค่นั้น
เฮ้อ
- Thursday, February 06, 2003 at 05:00:20 (EST)

เห็นด้วยอย่ายิ่งว่าควรเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่แค่ต้องรอความเห็นจากหมอ/ตำรวจเพียงอย่างเดียว การที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้หญิงทำแท้งได้กว้างขึ้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าในปัจจุบันปัญหาการทำแท้งไม่ได้จำกัดอยู่ในวงแคบๆ แค่นักเรียน-นักศึกษา และสาเหตุก็ไม่ใช่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนเท่านั้น ยังมีอีกหลายๆ องค์ประกอบที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ ความปลอดภัย ฯลฯ ถ้าหากเรายังคงกฎระเบียบแบบเดิมโดยไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก เราจะมองไม่เห็นถึงปัญหาตรงนี้ว่ามันส่งผลรุนแรงต่อสังคมไทยแค่ไหน เห็นด้วยกับที่อาจารย์กฤตยาบอกว่ามีแม่หลายๆ คนที่ไม่ได้อยากทำแท้งแต่จำเป็นต้องทำเพราะว่าถ้าตัวเขาปล่อยให้คลอดมาจะทำให้เกิดปัญหามากขึ้นไปกว่าเดิม สังคมไม่ได้ช่วยเหลือผู้หญิงที่ประสบปัญหาเท่าที่ฝ่ายคัดค้านกล่าวไว้ ดังนั้นผู้หญิงก็ต้องช่วยตัวเองก่อน
ชัชภัสสร
- Wednesday, January 29, 2003 at 00:01:22 (EST)

Pro choice! No mom wants to have an abortion if she can deal with the situation. But if she can't deal with it, she should have an obortion of the safe and legal abortion.
Mom
- Sunday, January 26, 2003 at 23:56:28 (EST)

à»ç¹áÁèÅÙ¡Êͧ à¤Âà»ç¹¤ÃÙ»ÃÐÁÏ·ÕèàÁ×ͧä·Â áÅСçà»ç¹¤ÃÙÊ͹à´ç¡¾ÔàÈÉÁÒËÅÒ»դèÐ à´ç¡¾ÔàÈÉàËÅèÒ¹ÕéÁÕËÅÒ¡ËÅÒ·Ñé§Í͵ÔʵԤ ÊÁͧ¾Ô¡Òà Ê×èÍÊÒôéǤӾٴäÁèä´é à´ç¡´Òǹì ÏÅÏ »Õ¹Õé ÁÕà´ç¡´Òǹ줹˹Öè§ ö ¢Çº à»ç¹ÅÙ¡¤¹ ·Õè ññ ¢Í§¾èÍ·Õèà»ç¹ËÁÍ áÁèà»ç¹¾ÂÒºÒÅ áÅÐÁÕ¤ÅÕ¹Ô¤ÊèǹµÑÇ (ÍÂÙèã¹ Sillicon Valley) ÅÙ¡ÅӴѺ·Õè ÷ - ññ à»ç¹ à´ç¡¾ÔàÈÉá·º·Ø¡¤¹ µÍ¹¹ÕéáÁè¡ç¡ÓÅѧ·éͧÍÂÙèÍÕ¡ ´éÇÂà˵ؼÅÇèÒ ¾ÃÐà¨éÒ»ÃзҹÅÙ¡ÁÒãËé! ¿Ñ§áÅéǹèÒàÈÃéÒÁÒ¡ ¡ÑºªÕÇÔµ·Õèà¡Ô´ÁÒ "¾ÔàÈÉ" ´éÇÂà˵ؼÅẺ¹Õé à»ç¹¤ÃÑé§áá·ÕèàÃÒÀÒǹÒãËéá·é§àÍÐ à¾ÃÒЪѴਹÍÂÙèáÅéÇÇèÒà´ç¡ ¨Ðà»ç¹ÍÂèÒ§äà ¤§¨Ð¾Ô¡ÒÃÁÒ¡ ËÃ×ÍäÁè¡çÁÒ¡·ÕèÊØ´ à´ç¡¾Ô¡ÒÃÁÕÊÔ·¸Ôà¡Ô´ËÃ×ÍäÁè? ¤Ø³¤èҢͧ¡ÒÃÁÕªÕÇÔµ¤×ÍÍÐäÃ? éÒàÅ×Í¡ä´éà´ç¡ÍÂÒ¡¨Ðà¡Ô´ÁÒ¾Ô¡ÒÃËÃ×Íà»ÅèÒ? ä´éà¤ÂÍÂÙèã¹ËÅÒ»ÃÐà·È ÁÕà¾×è͹ËÅÒ¡ÅØèÁ ä´éàË繻ѭËÒ¢ÕÇÔµ¤Ùè¢Í§ËÅÒ¤Ùè à»ç¹¤ÃÙÁÒËÅÒÂ»Õ ºÍ¡àŤèÐÇèÒ éÒäÁèÍÂÒ¡ÃѺ¼Ô´ªÍº¡ÑºÍÕ¡ªÕÇԵ˹Öè§ ¡çÍÂèÒãËéà¢Òà¡Ô´àŤèÐ äÁèà»ç¹¼Å´ÕµèÍã¤ÃáÅÐã´æ ·Ñé§ÊÔé¹ ¤¹·Õèà¤Âá·é§ËÃ×Í·Óá·é§ÁÒ à¢Ò¡çä´éÃѺÃÊ·Ø¡¢ì¨Ò¡µÃ§¹Ñé¹¾ÍáÅéÇ áµèÍÂèÒ§¹éÍÂæ ã¹´éÒ¹ÊÔ·¸Ô¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹¢Í§¡ÒÃà»ç¹Á¹ØÉÂì ¡çãËé à¢Òä´é·ÓÍÂèÒ§»ÅÍ´ÀÑ áÅÐÍÂèÒ§Ù¡¡®ËÁÒÂàÍФèÐ àËç¹´éÇÂÍÂèÒ§ÁÒ¡·Õè¨ÐãËéÁÕ¡Ò÷Óá·é§ÍÂèÒ§»ÅÍ´ÀÑ ã¤Ã¨Ð·ÓËÃ×ÍäÁè·Ó ¡çà»ç¹·Ò§àÅ×Í¡¢Í§¤¹¹Ñé¹æ µÍ¹·éͧ ä´éºÍ¡¡ÑºÊÒÁÕáÅФÃͺ¤ÃÑÇÊÒÁÕ (·ÕèÁÕÇѲ¹¸ÃÃÁ àÃ×èͧá·é§àÊÃÕ) äÇéàŤèÐ ÇèÒäÁèÇèÒ¨Ðà»ç¹ÍÂèÒ§äà ¨ÐäÁè·Óá·é§á¹èæ Ö§ÅÙ¡¨ÐÍÍ¡ÁÒ¾Ô¡Òáç¤Ô´ÇèÒ¾ÃéÍÁ·Õè¨Ðà»ç¹ áÁè¢Í§à´ç¡¾Ô¡Òà à¢Ò¡çªçͤ¡Ñ¹ä»àÅ Íѹ¹Õéà»ç¹ÊÔ·¸Ô·ÕèáµèÅФ¹¨ÐàÅ×Í¡¹èÐ ÍÒ¨¨Ð¿Ñ§áÅéÇǡǹ áµèÊÃØ»ÇèÒ àËç¹´éÇÂÇèÒµéͧÁÕ¡ÒÃá¡é䢡®ËÁÒÂãËéÁÕ¡Ò÷Óá·é§ÍÂèÒ§»ÅÍ´ÀÑÂä´é ¤¹·Õè¤éÒ¹ àÃ×èͧ·Óá·é§¤§¨ÐäÁèà¤ÂµÑ駷éͧÁÒ¡è͹á¹èæ Ö§äÁèÃÙéÊÖ¡ÃÙéÊÒÇèÒ éÒäÁèÖ§·ÕèÊØ´¨ÃÔ§æ äÁèÁÕ (ÇèÒ·Õè)áÁ褹ä˹ÍÂèÒ§·Ó ÍÂèÒ§¹Ñé¹ËÃÍ¡¤èÐ ¾Ø´Ã×è¹
Mom
- Sunday, January 26, 2003 at 23:49:22 (EST)

ดิฉันอายุ 25 ปี ไม่เคยมีประสบการณ์ทำแท้งมาก่อนและไม่เคยมีการตั้งครรเลย แต่สภาพของสังคมที่มองเห็นทั้งคนใกล้ตัวที่ไปทำแท้งกับหมอเถื่อนก้อเลยสงสัยว่ารัฐเป็นห่วงกับชีวิตที่ยังไม่เกิดหรือเป็นห่วงผู้หญิงที่มีปัญหากันแน่ สังคมเปลี่ยนไปใช่ว่าเราจะเลียนแบบใคร สิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่ตั้งใจหรือปราถนาให้เกิด บางครั้งก็ถูกยัดเยียด ที่ฝ่ายคัดค้านบอกว่าเด็กที่เกิดมาแล้วพ่อแม่ไม่ยอมรับสังคมควรมีส่วนรับผิดชอบ คุณแน่ใจหรือว่าสังคมนี้รับผิดชอบไหว คุณคิดมั้ยว่าถ้าคุณต้องเกิดมาแล้วมีเชื้อเอดส์ติดตัวมาด้วยและมีชีวิตได้เพียงอย่างมาก 10 ปี คุณยังอยากที่จะเกิดมาหรือไม่? คำถามง่าย ๆ แค่นี้เราก็รู้คำตอบกันทุกคน เป็นเรื่องน่าเศร้านะคะที่จะยอมรับได้ ถ้ารัฐยังไม่ยอมให้ผู้หญิงทำแท้งโดยถูกกฏหมายเค้าก็ไปทำกับหมอเถื่อนอยู่ดี ถ้าเรายังไม่ยอมรับที่จะเสียเด็กไป เราก็คงต้องยอมรับที่จะเสียทั้งแม่และเด็ก คุณอยากเห็นผู้หญิงทำแท้งหรือคุณ อยากเห็นผู้หญิงตั้งท้องฆ่าตัวตาย ชีวิตที่อยู่ในท้องยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นหรอกค่ะ อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่เราก็ต้องยอมรับว่านี่คือชีวิตจริงสังคมมันโหดร้ายก่อน เราฆ่าเพราะความจำเป็น ก้อเหมือนเราฆ่าสัตว์เพื่ออาหาร หรือการฆ่าเพื่อการปลดปล่อยให้พ้นจากความทรมาน นั่นถือเป็นการให้โอกาสให้วิญญาณน้อย ๆ นั้นได้มีโอกาสเลือกเกิดใหม่ได้ แทนที่จะต้องเกิดมาแล้วพิการ มีเชื้อเอดส์ เป็นเด็กข้างถนน เราคงต้องคิดใหม่กันแล้วล่ะค่ะ นึกถึงสภาพความจริงของสังคมและโลกไว้ พระเจ้าไม่มาช่วยเราหรอกค่ะ ศาสนาก้อเป็นเครื่องช่วยทางใจ แต่เราใช้ชีวิตจริง อยู่ในโลกแห่งความจริงที่โหดร้าย เรารู้ว่าเราควรหรือไม่ควรทำอะไร อยู่ที่เราจะทำหรือไม่ทำ รัฐจะยอมให้เราทำหรือไม่ยอม แต่ดิฉันเชื่อว่าถ้าลูกสาวของรัฐมนตรีท่านนึงตั้งท้องโดยไม่ปราถณาท่านก็ต้องยอมให้ลูกของท่านไปทำแท้งแน่นอน หน้าตาทางสังคมนั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ได้แล้วหรือ มองคนที่เค้ามีเหตุผลรุนแรงกว่า แล้วท่านยังจะคัดค้านอีกหรือ?
พราวตา ธรรมเสถียร <petitemay@hotmail.com>
- Thursday, December 26, 2002 at 01:55:20 (EST)

ไม่ว่าใครก็รักชีวิตของตัวเองนะ แม่ไปฆ่าเค้าตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกเลย เค้าก็ไม่อยากตายเหมือนกับทุกคนๆแหล่ะ คิดดูถ้าเป็นตัวเราเองนะ จู่มีคนที่คิดจะฆ่าเรา เรายอมหรอ การทำแท้งก็เป็นไปได้ถ้าผู้หญิงคนนั้นถูกข่มขืนมา หรือเกิดโรคที่อันตรายกะเด็ก อย่ามาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุสิคะ เราต้องมาแก้กันที่ต้นเหตุก็คือตัวคนที่ท้องกะคนที่ทำให้ท้อง ทำไมถึงไม่คุมกำเนิดซะวิธีคุมก็มีมากมากมาย ดิชั้นไม่สนับสนุนค่ะ ไม่เช่นนั้นสังคมไทยคงเน่าเละไปกว่านี้แน่ๆ
p_r
- Wednesday, November 20, 2002 at 07:03:08 (EST)

ถ้าหากมีกฏหมายทำแท้งจริงอย่างนี้เด็ก ๆ ก็จะไม่รักนวนสงวนตัวแล้ว มั่วสุมกันนะ แต่ถ้ามีกฏหมายทำแท้งได้ จะมีประโยชน์กับผู้ใหญ่ ที่มีปัญหาจริง ๆ เห็นใจเหมือนกัน
กรรณิการ์ สมุทร <muay2000>
- Friday, November 15, 2002 at 09:38:28 (EST)

อย่าไปโทษฝรั่งเลย อายเขาเปล่าๆ เราเป็นอย่างนี้ก็เพราะวัฒนธรรมเรามันปลูกฝังรากลึกมาตั้งแต่สุโขทัยยันรัตนโกสินทร์ ความง่ายความสบายทำอะไรตามใจ เป็นนิสัยของคนไทยอยู่แล้ว ไม่ได้ลอกมาจากตะวันตกหรืออเมริกาหรอก ฝรั่งเขามีวินัย มีความรับผิดชอบสูงกว่าคนไทยซะด้วยซ้ำ คำว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ก็อย่าไปกล่าวถึงเลยดีกว่า ขายหน้าเขาเปล่าๆ ทุกวันนี้ฝรั่งเค้าก็งงอยู่แล้ว ที่ประเทศคุณมีวันหยุดราชการเป็นวันสำคัญทางศาสนา แต่วิถีชีวิตของคุณไม่ได้มีศาสนาอยู่เลย อิสลามทำละหมาดทุกวัน วันหยุดก็ไปสุเหร่า คริสไปโบสถ์วันอาทิตย์ ไปสารภาพบาป ไปร้องเพลงสวด แต่ชาวพุทธเราเย็นไปทำพิธีจิบเบียร์สด คืนวันเสาร์ไปเสริมบาปที่ผับ แค่ศีลข้อ 5 แรก ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย แต่เอะอะอะไรก็อ้างว่าเราเมืองพุทธๆ เถียงกันขนาดว่าชื่อกระทรวงต้องมีคำว่าพุทธด้วย ถ้าวิถีการดำรงชีวิต และจิตวิญญาณเป็นพุทธ กฎหมายบ้านเราคงไม่ออกมาเป็นอย่างนี้หรอก การใช้ชีวิตประจำวันของเราไม่ได้มีความเป็นพุทธอยู่เลย เป็นพุทธแต่เพียงปากเป็นแต่เพียงเปลือก อยากจะพูดว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ออกกฎหมายมาเลยซิว่าสุราเป็นสิ่งผิดกฏหมาย เหมือนยาบ้า เฮโรอีน แต่ทุกวันนี้ผิดศีลแต่ไม่ผิดกฏหมาย แล้วจะมาพูดไม่อายปากว่าเมืองพุทธ ผู้ชายแต่งงานแล้วมีบุตรกับหญิงอื่น ก็ถูกกฎหมายอีก เพราะจดทะเบียนรับรองบุตรได้ คงไม่ต้องถามชาวพุทธหรอกนะว่าผิดศีลข้อไหน แล้วฝรั่งเค้าก็ไม่มายอมแบบว่าเป็นบ้านเล็ก ต้องยอมให้บ้านใหญ่ เค้าหย่ากันเลย ของเรายังติดวัฒนธรรมท่านขุน ท่านพระยา การมีเมียหลายคนเป็นเรื่องโก้หรู ไปไหนคนเรียกกันว่าเสี่ย, ป๋า,พ่อเลี้ยง การออกกฎหมายทำแท้งก็เพื่อแก้ไขปัญหา สังคมเปลี่ยน กฎหมายก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกัน ซึ่งยอมรับว่าเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ส่วนการแก้ต้นเหตนั้นต้องใช้เวลาอีกนาน ต้องปลุกฝังค่านิยม สร้างจิตสำนึกใหม่ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา ต้องมีส่วนอย่างยิ่ง ค่านิยมของชายไทยต้องเปลี่ยน ศักดิ์ศรีของผู้หญิงต้องมีมากขึ้น ให้ความเห็นใจมนุษย์เพศหญิงบ้างเถอะ ไข่มันอยู่ในมดลูก มันจะสลายไปเอง มันไม่สามารถจะปฏิสนธิเองได้ เพศผู้หลังจากทำให้ไข่มันกลายเป็นตัวอ่อนแล้ว ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเพศเมีย สุขทุกข์เหนื่อยยากขนาดไหนก็ตกอยู่กับเพศเมียฝ่ายเดียว ลองเปรียบเทียบกับการผ่าตัดเอามะเร็งออก เสริมนม เสริมจมูก ไม่เห็นว่าจะทำให้ใครเดือดร้อน แต่พอจะเอาไข่ที่มันได้เจอกับกับอสุจิออก ทำไมถึงได้คิดว่ามันเป็นเรื่องเดือดร้อนเสียหาย ทั้งๆที เจ้าของไข่ใบนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ
คนเคยทำแท้ง(ภาคต่อ)
- Friday, October 11, 2002 at 11:46:14 (EDT)

นี่เมืองไทยจะเป็นอเมริกาจริงๆ เหรอ ถ้ากฏหมายนี้ผ่าน อะฮ่า อีกไม่รู้กี่พิสดารพันลึกความเห็นชอบก็ต้องผ่านมาอีก สังคมเปลี่ยน ไม่จำเป็นเสมอไปที่เราจะต้องเปลี่ยนกฏหมายทำแท้ง เมืองพุทธอย่างประเทศเรา หากมีการทำแท้งเสรี คนไทยเราคงจะหมดจริธรรมจริงๆ อันนี้เป็นแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า การทำแท้งหยุดได้ หากปลุกจิตสำนึกคนไทย มีนักวิชาการออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกใช้วัฒนธรรมตะวันตกอย่างจริงจังก็คงจะดี เพราะความง่าย สบาย ทำเรื่องผิดจริยธรรมง่ายๆ ล้วนลอกแบบมาจากประเทศตะวันตก อย่างอเมริกา ฉะนั้น ควรมีการกลั่นกรงสื่อที่จะส่งมาสู่ประชาชน อะไรที่มันต่างจากจิตวิญญาณไทยนัก ก็คัดสรรค์หน่อย ประเทศเราทุกวันนี้ที่มันเละเทอะก็เพราะคนเสพวัฒนธรรมอเมริกาอย่างไม่คัดสันต์ เราหยิบส่วนที่ดีได้ไม่ใช่เหรอ อย่าเห็นก็ประโยชน์ชั่วครู่ชั่วยามนักเลย เพราะการกระทำของคุณจะเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นหลังเจริญรอยตาม
meow <vposhya@hotmail.com >
- Wednesday, September 25, 2002 at 03:56:42 (EDT)

ควรดูที่* ความจำเป็น แยกแยะระหว่างความจำเป็นกับรักสนุก ถ้าเป็นอย่างหลังก็ไม่ควรให้การส่งเสริม แต่ถ้าเป็นความจำเป็น เช่นผู้หญิงถูกข่มขืนมา ก็ควรให้การช่วยเหลือ ไม่ไช่ปล่อยให้เป็นตราบาปติดตัวเขา บางทีการทำบาปก็เป็นการไถ่ชีวิตมนุษย์คืนมา เราต้องแยกแยะ กฎหมายเป็นแค่การจัดระเบียบสังคม ไม่ใช่เป็นตัววัดความถูกต้อง เพราะฉะนั้นชนใดเขียนกฎหมาย ชนนั้นต้องพินิจพิจารณา
อลิสรา อุปลา
- Wednesday, August 14, 2002 at 03:33:06 (EDT)

ควรดูที่ ความจำเป็น แยกแยะระหว่างความจำเป็นกับรักสนุก ถ้าเป็นอย่างอย่างหลังก็ไม่ควรให้การส่งเสริม แต่ถ้าเป็นความจำเป็น เช่นผู้หญิงถูกข่มขืนมา ก็ควรให้การช่วยเหลือ ไม่ไช่ปล่อยให้เป็นตราบาปติดตัวเขา บางทีการทำบาปก็เป็นการไถ่ชีวิตมนุษย์คืนมา เราต้องแยกแยะ กฎหมายเป็นแค่การจัดระเบียบสังคม ไม่ใช่เป็นตัววัดความถูกต้อง เพราะฉะนั้นชนใดเขียนกฎหมาย ชนนั้นต้องพินิจพิจารณา
อลิสรา อุปลา
- Wednesday, August 14, 2002 at 03:30:30 (EDT)

It depends on conditions of mothers or the women whom got pregnant. If she can get abortion legally it is good for her health but before doing that we have to have something to talk between both woman and man that make the fertilization happen! We have to give them a lecture or do something that it will help them not to make a mistake again in the future. Can we do that? Or let us start from the beginning for example give lectures about sex education for all teenages, give them free condoms in schools and all education institutes with informations about safe sex on the first day of classes or orientation.
Amara Naksathit <amara@teksam.ruc.dk>
- Thursday, July 04, 2002 at 08:08:09 (EDT)

อะไรคือมาตราฐานที่ว่าถูกหรือผิด สำหรับการทำแท้ง สังคมพยายามใช้กฏหมายมาเป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบให้มีความเรียบร้อยต่อสังคม และจัดไปพร้อมๆกับปํญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล สภาพแวดล้อม การเกิดปํญหาที่แตกต่างกัน ไม่ผิดที่จะมีกฎ บทลงโทษ ทั้งที่มีรูปแบบ และ บทลงโทษที่มองไม่เห็แต่เป็นความรู้สึกจำเป็นต้องผิด ในหลายๆกรอบที่สังคมตีกรอบให้ เหตุผลและความจำเป็นที่แตกต่างกันไปในปัจจุบัน ทำให้กรณีของการทำแท้งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำไมไม่มองว่าปัจจัยภายนอกมองในรูปแบบมหภาคก่อน แล้วประเด็นต่างๆก็จะออกมาให้เห็นให้เข้าใจ แก้ทีละจุดทีละเล็กน้อย มันมีความโยงใยกัน ถ้าคุณต้องกำหนดขนาดของครอบครัวด้วยความจำเป็นบางอย่างการทำแท้งเป็นทางหนึ่งที่เขาคิดเป็นทางออกหรือไม่ การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ควรที่จะจัดการปัญหาเฉาะหน้าหรือแก้ปัญหาในระยะยาว ศาสนาคำสั่งสอนเป็นกุศโลบายหรือไม่ เราดำเนินชีวิตที่ปฏิบัติ นับถือตามครรลองที่ถูกต้อง ก็เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เราจะเลือกใช้อะไรมากน้อยแค่ไหนกับสิ่งที่ถูกจัดขึ้นสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่ก็ควรเลือกที่จะดิดและปฎิบัติด้วย มองได้ทั้งดีและไม่ดีสำหรับการทำแท้ง เพราะจะมีผลลัพธ์ให้เห็นทั้งด้านกายภาพ สังคม อื่นๆ เพียงแต่คิดแล้วและทบทวนอย่างรอบคอบที่จะทำให้ดี เพื่อความไม่สูญเสียคุณค่าในตัวเอง
Thitarree Jirakulsomchok <firstaun@hotmail.com>
- Friday, June 21, 2002 at 00:06:28 (EDT)

สนับสนุนให้แก้ไขกฏหมายทำแท้ง การอนุญาตให้ทำแท้งได้ไม่ใช่การบังคับหรือชักชวนให้คนมาทำแท้ง ไม่มีใครอยากทำแท้ง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆเขาคงไม่เลือกที่จะทำแบบนี้หรอก มาตรการอื่นๆที่ผู้คัดค้านเสนอนั้นเป็นสิ่งที่ดีและควรลงมือผลักดันทำไปเลยอย่าเอาแต่พูด การแก้กฏหมายทำแท้งไม่ได้เป็นการห้ามไม่ให้ท่านทำสิ่งดีๆที่ท่านอยากจะทำนั้น ควรช่วยกันหลายๆทาง
สเปญ อุ่นอนงค์ <spainu@hotmail.com>
- Thursday, June 06, 2002 at 23:06:54 (EDT)

การทำแท้งควรอยู่ในสิทธิของผู้หญิงที่จะตัดสินใจ
ชุมแสง สุนทรนนท์ <chumsaeng@msn.com>
- Sunday, May 19, 2002 at 12:27:28 (EDT)

ทำแท้งหรือไม่ ผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจเอง ผู้ชายได้แต่ทำท้อง เพราะฉนั้น ผู้ชาย ไม่มีสิทธิมาบอก ไม่ให้หรือให้ผู้หญิงทำแท้ง ไม่ว่าผู้ชายจะหัวโล้น หรือไม่โล้น
สุรเดช
- Saturday, April 13, 2002 at 00:19:24 (EDT)

เราควรจะเห็นคุณค่าของชีวิต ที่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว
นางสาวอภิวันท์ ศรประสิทธิ์
- Tuesday, March 05, 2002 at 10:54:43 (EST)

สนับสนุน แต่ควรมีกฏหมายที่รองรับ เช่น สาเหตุของการทำแท้ง อายุของผู้ทำแท้ง และสุขภาพของเด็กในครรภ์
ABC
- Saturday, March 02, 2002 at 12:08:20 (EST)

เป็นเรื่องพูดยากนะคะสำหรับเรื่องนี้..อย่างภาวะปัจจุบันที่การทำแท้งยังผิดกฎหมายอยู่..แต่ก็ยังมีปัญหาการทำแท้งอย่างที่ทราบกันอยู่...ดังนั้นถึงจะมีกฎหมายห้ามอย่างเคร่งครัด ก็ไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันว่า ปัญหาการทำแท้งจะหมดไป..เราควรยอมรับดีกว่า ว่าสภาพสังคมมันเปลี่ยนไปมากแล้ว การจะเรียกร้องให้กลับไปเป็นเหมือนเก่ามันเป็นไปไม่ได้ หากเรายอมรับในสถานการณ์ปัจจุบัน และปรับเปลี่ยนแนวคิด หาทางออกในการแก้ปัญหาที่เข้ากันจะดีกว่าหรือเปล่า..อย่างเรื่องแนวคิดที่ว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เด็กก็รู้ดีว่าไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่พอเป็นปัญหาขึ้นมา แล้วสังคมรับไม่ได้ ทีนี้เด็กจะไปปรึกษาใคร ก็ต้องคิดเองตามประสาเด็ก แล้วผลเสียก็ออกมามากมาย... บางกรณีกฎหมายก็ไม่ช่วยอะไรในแง่การปฏิบัติหรอกนะคะ..
นิรนาม
- Thursday, February 28, 2002 at 04:52:50 (EST)

เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้ก็มีการทำแท้งกันมากมายโดยที่กฎหมายไม่สามารถทำโทษ(ที่ทำแท้งและหมอที่ทำแท้งให้ และอีกกรณีหนึ่งคือ ถ้าผู้หญิงที่ตั้งท้องแล้วไม่มีความรับผิดชอบ พอลูกออกมาก็ปล่อยทิ้ง ก็เป็นปัญหาสังคมต่อไป และอีกทางหนึ่งคือ เมื่อลูกออกมาไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเด็กจะออกมาครบ 32 ประการหรือไม่ ข้อนี้ควรจะคิด แต่ในการอกกกฏหมายทำแท้งควรจะมี การกำหนดระยะเวลาการตั้งท้องด้วย ให้เหมาะสมด้วยขอฝากข้อนี้ไว้ด้วยครับ
นายพิสูจน พิมพ์โคตร <www.pphisoot.hotmail.com>
- Wednesday, January 23, 2002 at 06:08:48 (EST)

ไอ้พวกที่ชอบอ้างว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แล้วเสือกมาค้านอะไรเรื่อยๆ แบบไม่ดูความจริงใน ธรรมชาติน่ะ สมควรส่งพวกมันไปเกิดบนสวรรค์ซะ เพราะบนโลกนี้น่ะ ชีวิตต้องดิ้นรน แม้แต่สัตว์ที่รักลูกโดยสัญชาตญาณก็อาจทิ้งลูกเมื่อขาดแคลนอาหาร ผมจะบอกให้ว่า ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนยึดติดกับไอ้ศีลธรรมโดยไม่มองความจริง ศีลธรรมไม่ใช่ความจริงของธรรมชาติ มนุษย์ไปกำหนดขึ้นมาเองด้วยอุดมคติ
wild annimal
- Wednesday, January 23, 2002 at 02:07:27 (EST)

ผมก็ไม่อยากเห็นการทำแท้งสักเท่าไหร่ แต่คงจะดีกว่าการนิ่งดูดายปล่อยเฉยเอาไว้ผมอยากถามคนที่คัดค้านกฏหมายทำแท้งหน่อยว่า ถ้าเด็กที่เกิดมาโดยที่พ่อแม่ไม่พร้อม เค้าจะอยู่อย่างไร คนนะครับไม่ใช้หมาแมวแค่ให้กินอย่างเดียวนะไม่พอหรอก ที่ผมคิดนะไม่ใช้ว่าผมเป็นผู้ชายจึงปฏิเสธความรับผิดชอบ เรื่องแบบนี้ผมคิดว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก แต่เมื่อผิดพลาดไปการแก้ไขโดยการทำแท้งนั้นน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อเป็นการตัดตอนปัญหาที่จะเกิดตามมาภายหลัง
นาย ชานนท์ วรรณะ <cha.wanna.chaiyo.com.>
- Friday, January 18, 2002 at 00:37:38 (EST)

เพราะถึงแม้เด็กจะมีชีวิต และการทำแท้งคือการฆ่าเด็กก็ตาม แต่ถ้าปล่อยให้เด็กออกมาในสภาพที่ไม่สมประกอบ หรือต้องมาเผชิญกับความไม่พร้อมของผู้เลี้ยงแล้ว ผมว่ามันก็เท่ากับจะเอาเด็กไว้ทรมาน หรือฆ่าให้ตายทั้งเป็นนั่นเองครับ
วารินทร์ <warins@loxinfo.co.th>
- Friday, January 04, 2002 at 04:53:26 (EST)

ความพร้อมหลายๆ ด้าน ในชีวิต ถึงจะเป็นการให้ชีวิตที่มีคุณภาพกับชีวิตหนึ่ง หากไม่พร้อมก็น่าจะมีทางแก้ไข ไม่ใช่ให้เกิดมาแล้วกลายเป็นปัญหา คุณภาพของสังคมก็จะลดลงเรื่อย ๆ
ศศิวิมล ชาญวานิช <may@thai2k.com>
- Thursday, January 03, 2002 at 00:46:08 (EST)

สนับสนุนการออกกฎหมายทำแท้งให้ถูกต้อง เรื่องทำแท้งนี้เป็นประเด็นทางสังคมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีผู้หญิงมากมายที่ต้องการทางออกที่เหมาะสมเมื่อตนเองต้องเผชิญกับปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ในฐานะที่ทำงานทางด้านสังคมสงเคราะห์ มีความสนใจด้านสตรีศึกษา ทำให้พอจะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทยผ่านการอ่าน การทำงาน และในฐานะที่เป็นผู้หญิงทำให้ตระหนักว่า มีผู้หญิงมากมายที่ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยที่วัฒนธรรมทางเพศยังดำเนินไปภายใต้มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างชาย หญิง (double standard)การแก้ไขปัญหาด้วยการแก้กฎหมายแม้กล่าวได้ว่าอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเป็นปัญหาระดับรากลึกที่ต้องเปลี่ยนในระดับวัฒนธรรมกับความสัมพันธ์ทางเพศที่เท่าเทียมระหว่างหญิง ชาย แต่ก็นับว่าการมีจุดเน้น หรือเคลื่อนไหวไปที่การแก้กฎหมายดูจะเป็นรูปธรรม มากที่สุดที่จะช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องเผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพัง
jiraporn sae-tiew <iaminsu@thaimail.com>
- Tuesday, January 01, 2002 at 08:55:48 (EST)

มันเกี่ยวกับจิตสำนึกมากกว่า ว่าเวลาจะทำเรื่องอย่างนั้นทำไมไม่คิดกันบ้างว่าถ้าทำไปแล้วจะเกิดเหตุอะไรตามหลังมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้โทษคนที่ไม่ตั้งใจในเรื่องนี้หรอกนะเพราะว่าบางคนก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันมีอีกหลาย ๆ ประการ บางประการที่ตั้งใจกระทำ หรือถูกบังคับให้กระทำ และอีกหลาย ๆ แต่ก็สนับสนุนนะแต่ต้องมีมาตราการที่เข้มงวดสักหน่อย ไม่ใช่ว่าเอาเงินมาให้ก็ทำให้เลยโดยไม่ถามว่า เหตุที่เกิดเพราะอะไร แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะตรวจสอบได้ ก็เห็นใจนะแต่ถ้าคิดจะทำกันจริง ๆ หล่ะก็ ช่วยกันคิดมาตราการที่เข้มงวดมาก ๆๆๆๆ หน่อยเพราะว่าบางคนก็เพราะรักสนุกมากกว่า พอมันพลาดแล้วก็เลยต้องทำแท้งเป็นการแก้ไข
ff <->
- Saturday, December 29, 2001 at 00:14:37 (EST)

จะหาข้อสรุปดีหรือไม่ตอบไม่ได้นะ หากคิดในแง่ของศีลธรรม ใช่เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมมันเปรียบเสมือนเป็นฆาตกร แต่ในแง่ของปัญหาสังคม คุณภาพของชีวิต หากไม่มีความพร้อมก็ให้ทำแท้ง (สถานที่ๆปลอดภัยแก่ชีวิต)ดีกว่าอย่าปล่อยให้เขาเกิดมาแล้วมีปัญหาตามอีกมากมาย ตามความคิดเห็นแล้วมันอยู่ที่ตัวบุคคล หากหญิงหรือชายจิตใต้สำนึกที่ดี รู้ว่ากำลังทำอะไร ต่อไปจะเกิดปัญหาหรือไม่ หากเขาเหล่านั้นมีความคิด จิตใต้สำนึกที่ดีงาม ที่ถูกต้องก็จะไม่มีปัญหาของการทำแท้ง เพราะฉะนั้นให้แก้ไขที่ต้นเหตุมิใช่มาถกเถียงกันที่ปลายเหตุ
nattaya <nattaya18@thaimail.com>
- Wednesday, December 26, 2001 at 06:01:26 (EST)

บรรรลุนิติภาวะ แล้วตัดสินใจเองยังม่บรรลุ ให้พ่อแม่ตัดสินใจ
krid s. <harrypotter@thai.com>
- Wednesday, December 26, 2001 at 01:00:39 (EST)

สนับสนุน ไม่ใช่ว่าเพราะตัวเองเคยทำแท้งมาก่อนจึงได้สนับสนุน อยากจะบอกผู้ที่ดูถูกคนที่ทำแท้งว่าถ้าไม่ได้ประสบกับตน เพื่อนหรือคนในครอบครัว ก็ไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจนั้นไม่ใช่ง่ายๆ แบบว่าปวดฉี่ก็เข้าห้องน้ำ ถ้ามีความพร้อมไม่ต้องพร้อมสมบูรณ์ 100 %ไม่มีใครอยากทำแท้งหรอก ที่กังวลกันว่า จะทำให้วัยรุ่นมัวเมาเรื่องเพศมากขึ้น เพราะจะทำแท้งได้ง่าย ไม่เห็นว่าจะจริง การป้องกันทำได้ง่ายกว่าสะดวกกว่าการทำแท้ง ทำไม่ไม่มองกันว่าในความเป็นจริงคือไม่มีการป้องกัน ไม่ใช่ลืมป้องกันหรือไม่สนใจจะป้องกัน มองว่าผู้ที่ทำแท้งคือผู้หญิงใจแตก ขอบอกว่าตนเองนั้น ปัจจุบัน มีงานทำ มีปริญญาตรี มีครอบครัว มีลูกสาว 2 คน และเชื่อว่าคนที่เคยทำแท้งคนอื่นๆ ที่มีชีวิตที่สดใสก็มีอีกมากมายในสังคมนี้ (ถ้าไม่ตายเพราะหมอเถื่อน) การทำแท้งได้หรือไม่ได้ ไม่ไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของวัยรุ่น เพราะการชิงสุกก่อนห่ามนั้นยังไงก็มีอยู่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการแก้ไขปัญหามากกว่า ไม่ใช่แต่ปัญหาของวัยรุ่นรวมถึงผู้ใหญ่อีกด้วย โรงพยาบาลคือที่รับฝากท้อง แต่เมื่อไม่ฝากคุณจะต้องไปที่อื่น หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนเป็นอาชญากร ไปสู่โลกมืด ถ้ามีเหตผิดพลาดอาจจะเสียชีวิต ถ้าโชคดีก็มาที่โรงพยาบาลอาจช่วยชีวิตได้ทัน ทำไม? โรงพยาบาลจึงไม่เป็นที่ที่ควรจะไปเป็นที่แรก อาจจะแก้ไขทำให้ทางออกของปัญหาเปลี่ยนไป ส่วนการพูดถึงเรื่องสังคมเสื่อมผิดศีลธรรม ยิ่งหลงประเด็นกันไปใหญ่ ถ้าอีก 1 ชีวิตที่เกิดมาแล้วถูกทอดทิ้ง ขาดความรัก ไม่เป็นปัญหาสังคมกว่าเหรอ ชีวิตที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากความรัก ความยินดีของผู้ที่ต้องอุ้มครรภ์ เป็นชีวิตที่จะเติบโตโดยมีความรักหล่อเลี้ยงให้เติบใหญ่ ถ้าทำเช่นนี้ไม่ได้เราควรจะหยุดตั้งแต่ตอนที่ยังทำได้ไม่ดีกว่าเหรอ ผิดศีลธรรมเหรอ ความรักกับเซ็กส์ มันเป็นคนละส่วนกัน การทำแท้งคือการแก้ปัญหาที่เกิดจากการมีเซ็กส์ และเป็นการแก้ปัญหาที่ตกอยู่กับฝ่ายหญิง และไม่ใช่การแก้ปัญหาที่เกิดจากการขาดศีลธรรมหรอกฤา ขอถามหน่อยเถอะพวกที่พูดเรื่องศีลธรรม ทุกวันนี้สุราผิดกฏหมายไหม อยู่ในศีลข้อ 5ของชาวพุทธ ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีวันหยุดราชการตามวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เวลาพูดเรื่องตัวบทกฏหมาย กรุณาพูดคุยอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่าไปอ้างเรื่องที่มันเป็นอุดมคติเลย มองโลกอย่างที่มันเป็นอยู่เถอะ ผู้ชายมีภรรยาแล้วไปมีบุตรกับหญิงอื่น สามารถจดทะเบียนเป็นบุตรนอกสมรสได้ ผู้หญิงไม่ยอมมีบุตร กลับจะผิดทั้งกฏหมายและศีลธรรม โอ้หนอ มนุษย์ทำกับมนุษย์
คนเคยทำแท้ง <ploypraew@hotmail.com>
- Tuesday, December 04, 2001 at 07:03:29 (EST)

ในฐานะบุคลากรสาธารณสุข มีข้อเท็จจริงอยู่ข้อหนึ่งทีทุกคนคงหาได้จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข อัตราการทำแท้งเถื่อนแล้วมีผลข้างเคียงตั้งแต่รุนแรงน้อยจนถึงเสียชีวิตมีให้เห็นสูงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน คนที่ไปทำแท้งเหล่านั้นไปทำเพราะไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูเด็กที่จะเกิดมา ผลกระทบนั้นมีต่อทั้งตัวผู้ไปทำแท้งมาและต่อค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องเสียกับภาระนี้มากมาย มองให้ลึกไปกว่านั้นอีก มีเด็กที่มีปัญหาชีวิตทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ถูกทิ้ง ถูกล่วงละเมิด มากมายเท่าไหร่ในสังคมไทย เด็กเหล่านี้คือ ผลพวงจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อมหรือไม่ต้องการมีลูกใช่หรือไม่ ถ้าทารกในท้องสามารถพูดหรือสื่อได้ และเขารู้ว่าเขาออกมาแล้วต้องมามีชีวิตแบบนั้น เขาอาจบอกเรานะว่า"อย่าให้ชีวิตแก่ฉันเลย"ดิฉันคิดว่าในสถานการณ์สังคมวันนี้ เราคงต้องอนุญาตให้มีการทำแท้งที่ถูกต้องทางการแพทย์ ให้กว้างขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยรับฟังความคิดเห็นจากหลายๆฝ่าย เช่น บ่อยครั้งที่ดิฉันเจอคนติดเชื้อเอดส์ตั้งครรภ์และต้องการทำแท้ง เพราะเขารู้ดีว่าเขามีปัญหาเศรษฐกิจ แม้รัฐจะให้ยาฟรีช่วยให้ลูกไม่ติดเชื้อได้ แต่ปัญหาที่เขากลัว คือ เมื่เขาป่วย เมื่อเขาตายไปใครจะดูแลเด็กต่อ บางคนเขาไม่มีใครเลยจริงๆ หาเช้ากินค่ำกันทุกคน แต่รพ.ของรัฐก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ โดยอ้างว่ากฏหมายไม่อนุญาต มีคนไข้บางรายเลือกที่จะไปหาที่ทำแท้งเถื่อน นี่แค่ตัวอย่างหนึ่งนะเราไม่ได้ต่อต้านศาสนา เราไม่รู้ว่าบาปเป็นอย่างไร แต่เราคิดว่าบางสถาณการณ์ เช่นสังคมเราวันนี้ เราต้องยอมรับความเป็นจริง ณ จุดนี้ก่อน แน่นอน การแก้ปัญหาที่ดีคงไม่ใช่แก้จุดเดียว การสนับสนุนให้คนมีความรับผิดชอบ จิตสำนึกดี คงเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่ ideal มากค่ะ
Piyarat <lekpsu@yahoo.com>
- Tuesday, December 04, 2001 at 05:49:33 (EST)

สมควรสนับสนุนอย่างยิ่งเลยเพราะสังคมสมัยนี้เปลี่ยนไปมากเมื่อผู้หญิงที่ท้องแบบไม่ตั้งใจต้องการที่จะเอาเด็กออกแล้วก็มีกฎหมายมาบังคับพวกเค้าเพื่ออะไรล่ะในเมื่อไม่พร้อมก็คือไม่พร้อมแล้วจะปล่อยให้เด็กออกมาดูโลกทำมัยเด็กเกิดมาแล้วก็มีแต่จะกลายเป็นปัญหาสังคมมากขึ้นที่เด็กต้องกำพร้าไม่มีพ่อแม่ก็เพราะปัญหาส่วนนี้ด้วย ถ้าทำแท้งแบบถูกกฎหมายได้ปัญหาเด็กถูกทิ้ง เด็กกำพร้าก็จะน้อยลง หรือว่าพวกท่านอย่างให้เด็กเกิดมาเพราะความไม่ตั้งใจของพวกวัยรุ้นหรอครับ
ex eieiei
- Monday, December 03, 2001 at 08:12:00 (EST)

เพราะสังคมไทยยังไม่ยอมรับถ้าให้ทำแท้งโดยเสรีสังคมจะเสื่อมลงและผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง
ชรินทร์ เผือกสง่า
- Friday, November 30, 2001 at 07:19:26 (EST)

ผมว่าการทำแท้ง เป็นสิ่งที่มีมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะมีการห้าม หรือต่อต้านอย่างไร มันก็ต้องมี ดังนั้นการที่เรารู้ว่าจะต้องมี ก็ควรควบคุมและและเรียนรู้ที่จะอยู่รวมกันกับมัน ไม่ใช่เอาแต่คัดค้านแบบหัวชนฝา เหมือนคนไม่ยอมรับความจริง ความเป็นไปของโลก (ความจริงไม่ควรให้พระ หรือคนที่เกี่ยวข้องกับศาสนามาออกความเห็นด้วยซ้ำ เพราะ ท่านออกความเห็นได้เพียงอย่างเดียวด้วยสถานะของท่าน) ปัจจุบันการทำแท้งเป็นที่รู้กันว่าผิดกฎหมาย และผู้ที่ทำแท้งก็ยังต้องเสี่ยงกับหมดเถื่อนอีก แต่ถึงรู้อย่างนั้นแล้ว เขาก็ยังต้องทำด้วยสาเหตุหลายประการ ทั้งในด้านเศษฐกิจ สังคม ความพร้อม สุขภาพ ฯลฯ ดังนั้นผมว่าถ้าผู้หญิงคนหนึ่งจะทำแท้ง เขาคงคิดดีแล้ว ซึ่งถ้ารัฐไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาของเขาได้ อย่างน้อยก็ควรอำนวยความสะดวกในด้านความปลอดภัย และในด้านสาธารณะสุขแก้เขา
pp
- Thursday, November 29, 2001 at 04:20:44 (EST)

ผมว่าเรื่องนี้ ให้ผู้หญิงเขา ออกเสียง สนับสนุน-คัดค้าน กันเอง แล้วตั้งกฏหมายได้เลยจะดีกว่านะครับ ผู้ชายไม่ได้ต้องไปอุ้มท้อง รับภาระอย่างเขา ไม่เข้าใจอย่างที่สุดหรอก จริงไหม หืมมม
ชายคนหนึ่ง
- Thursday, November 29, 2001 at 00:31:51 (EST)