สารคดี ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๒๑๔ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕
สารคดี ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๒๑๔ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕ "หมาสมัยใหม่, ความรัก, และผลประโยชน์"
นิตยสารสารคดี Feature Magazine ISSN 0857-1538
  ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๒๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๕  

Road Train...เจ้าแห่งทะเลทรายออสเตรเลีย

เรื่องและภาพ : เอริก ปาสเควียร์
แปลและเรียบเรียง : เพ็ญศิริ จันทร์ประทีปฉาย

(คลิกดูภาพใหญ่)

       ออสเตรเลีย...ประเทศเดียวในโลกที่เป็นทวีป โดยนับรวมหมู่เกาะน้อยใหญ่ในแถบใกล้เคียงเข้าไปด้วย ดินแดนแห่งนี้มีภูมิประเทศที่หลากหลายมาก หนึ่งในนั้นคือ ทะเลทรายที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ มีถนนนับระยะทางรวมได้กว่า ๗,๐๐๐ กิโลเมตร
       โดยเหตุที่เส้นทางคมนาคมโดยรถไฟส่วนใหญ่ จะอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุด คือขอบทวีปทางใต้และตะวันออก หรือบริเวณสามเหลี่ยมบริสเบน-ซิดนีย์-แอดิเลด (บริสเบน : เมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ทางตะวันออกของออสเตรเลีย, ซิดนีย์ : เมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทางตะวันออกเฉียงใต้, แอดิเลด : เมืองหลวงของรัฐเซาท์ออสเตรเลียหรือออสเตรเลียใต้) การขนส่งสินค้าแถบตอนเหนือ กลาง และตะวันตกของทวีป ซึ่งเป็นผืนทะเลทรายสีแดงอันร้อนแล้ง และทุ่งหญ้าร้างผู้คน จึงต้องอาศัยรถบรรทุกทรงพลัง ที่สามารถฉุดลากรถพ่วงขนาดใหญ่เท่าตู้รถไฟ วิ่งตะลุยไปบนเส้นทางต่าง ๆ ด้วยล้อจำนวนมาก และโดยการควบคุมของคนขับเพียงคนเดียว... พาหนะนี้มีชื่อว่า Road Train หรือ รถไฟติดล้อ นั่นเอง
       รูปลักษณ์ของ Road Train นั้นใหญ่โตขนาดที่ได้รับคำเรียกขานว่า "ยักษ์จักรกล" (mechanical monster) และสำหรับคนขับ Road Train เจ้ายักษ์ตัวนี้เป็นทั้งพาหนะและบ้านของเขาในเวลาเดียวกัน...
เอริก ปาสเควียร์ เข้าไปสัมผัสชีวิตในโลกแห่งความโดดเดี่ยว และไร้สีสันของเหล่านักพเนจรแห่งออสเตรเลีย และนำเรื่องราวของพวกเขาข้ามทวีปมาให้แฟน สารคดี ได้อ่านกัน


(คลิกดูภาพใหญ่)        เบเดน มิลส์ หยิบหมวกคาวบอยใบเก่งมาสวมด้วยท่าทีสุขุม ก่อนจะนั่งประจำที่บนรถแม็คของเขา (Mack Truck--รถบรรทุกยี่ห้อแม็ค) เท้าจ่ออยู่ที่คันเร่ง พร้อมเริ่มเข้าเกียร์และสตาร์ตรถอย่างไม่รีรอ มือโต ๆ ของเขาจับมั่นอยู่ที่พวงมาลัย เขายิ้มด้วยแววตาที่ฉายประกายของความทะนงตน... เขาคือราชาแห่งทะเลทราย ผู้มีบัลลังก์เป็นรถบรรทุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
       เมื่อเครื่องยนต์เริ่มทำงาน ดูเหมือนว่ามีเสียงคำรามอย่างดุดันดังทะลุขึ้นมาจากใต้พื้นโลก การเผาไหม้ของมอเตอร์สตาร์ตแบบใช้แรงดันอากาศ ทำให้ตัวถังของรถสั่นไปทั้งคัน เครื่องยนต์ของมันแผดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแก้วหูแทบแตก... ในไม่ช้า ห้องโดยสารของรถแม็คก็ถูกกลืนหายเข้าไปในกลุ่มฝุ่นควันสีน้ำตาลหนาทึบ
       กฎหมายอนุญาตให้รถแม็คที่วิ่งบนถนนสาธารณะ พ่วงรถได้สูงสุด ๓ คัน ซึ่งมีความยาวรวม ๕๒ เมตร เมื่อประกอบร่างกันแล้ว จะมีขนาดใหญ่โตจนได้รับการขนานนามว่า "เจ้าแห่งทะเลทรายออสเตรเลีย" ยักษ์ใหญ่ทรงพลังคันนี้ ทำงานด้วยเครื่องยนต์ดีเซลวี ๘ กำลัง ๕๒๕ แรงม้า ความจุกระบอกสูบ ๑๖ ลิตร (๑๖,๐๐๐ ซีซี) ๒๐ เกียร์ โครงสร้างทั้งหมดตั้งแต่ตัวถังรถจนถึงถังเชื้อเพลิงขนาด ๕๐๐ ลิตร จำนวน ๔ ถัง ผลิตจากอะลูมิเนียม มีความแข็งแกร่งเป็นเยี่ยม แต่ขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักเบามาก จึงวิ่งไปได้บนทุกสภาพถนน อัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงประมาณ ๑ ลิตรต่อระยะทาง ๑ กิโลเมตร สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง ๕๐๐ ตัน แม้ในขณะที่บรรทุกฝูงปศุสัตว์เอาไว้สองชั้น รวมเป็นร้อย ๆ ตัว รถคันนี้ยังวิ่งด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบาย ๆ ... รถของเบเดนจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "มู-มูฟเวอร์" (Moo-mover) ซึ่งหมายถึงผู้ขนย้ายเสียงร้องของวัว
(คลิกดูภาพใหญ่)        รถแม็คที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ตะลุยไปทั่วทุกทิศในทะเลทราย มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง เพราะความใหญ่โตและพลังมหาศาลของมัน ดังนั้นจึงต้องมีแท่งโลหะล้อมรอบเครื่องยนต์ และตะแกรงเหล็กกั้นห้องโดยสาร เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าจิงโจ้ผู้โชคร้าย ที่พลัดเข้ามาในทางวิ่งของรถ กระแทกกระจกแตก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้จะต้องใช้ระยะทางเป็นกิโลเมตรในการหยุด... จินตนาการออกหรือเปล่าว่า ถ้าจะต้องเบรกกะทันหันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น... อะไรที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียง ก็จะถูกตัวรถพ่วงกวาดเสียราบ
       ย้อนกลับไปราว ๑๐๐ ปีก่อน ต้นตระกูลรถแม็คถือกำเนิดขึ้นในกรุงนิวยอร์ก โดยสองพี่น้องจอห์นและออกุสตุส แม็ค รถแม็คคันแรกใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเพียง ๔,๐๐๐ ซีซี มีสัญลักษณ์ทางการค้าเป็นรูปหมาบูลด็อก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ มีการนำรถแม็คไปใช้งานเป็นจำนวนมาก และใน ค.ศ. ๑๙๒๔ ก็กลายเป็นพาหนะซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในออสเตรเลีย เครื่องยนต์ดีเซลมีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๓๘ และมอเตอร์สตาร์ตที่ใช้แรงดันอากาศก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ด้วยคุณสมบัติความเปราะบางน้อย แต่มีกำลังแรงกว่าแบบไฟฟ้า... ปัจจุบันรถส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นในฝรั่งเศสโดยโรงงานต่าง ๆ ถูกบริษัทเรโนลท์ซื้อไป
(คลิกดูภาพใหญ่)        ด้วยเวลาไม่ถึง ๕ วัน รถไฟติดล้อหมายเลข ๒๙ ของ เบเดน มิลส์ สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง ๗,๐๐๐ กิโลเมตร จากทุ่งหญ้าแถบแม่น้ำวิกตอเรีย (ทางเหนือของออสเตรเลีย) ไปยังเพิร์ท (เมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย หรือออสเตรเลียตะวันตก) ซึ่งเทียบเท่าระยะทางจากปารีสไปมอสโก สามารถบรรทุกปูนไปอูดนาเดตตา หรือฝูงปศุสัตว์ไปยังแอลิซสปริงส์ (แอลิซสปริงส์ เป็นเมืองกลางทวีปออสเตรเลียในเขตนอร์ทเทิร์นเทอริทอรี่ ซึ่งมีคนอาศัยอยู่น้อยที่สุดของทวีป ส่วนอูดนาเดตตา อยู่ถัดจากแอลิซสปริงส์ลงมาทางใต้) ชำนาญทุกเส้นทางของอาณาบริเวณสามในสี่ส่วนของทวีป ตั้งแต่เหนือไปยังตะวันตก 
       คนขับ Road Train จะอยู่ในห้องโดยสารขนาดใหญ่ ๒๔ ชั่วโมงตลอดระยะการเดินทาง ภายในห้องประกอบด้วยเตียงขนาด ๑.๘๐ เมตร โทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ ตู้สำหรับเก็บเครื่องดื่มให้เย็นอยู่เสมอ ที่สำคัญคือเครื่องปรับอากาศที่ช่วยให้เขาเย็นสบาย ท่ามกลางความร้อนที่แผดเผาอยู่ภายนอกในช่วงกลางวัน
       เมื่อพวกเขากระหายน้ำ การดับกระหายด้วยเบียร์เย็น ๆ เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะกฎเรื่องการดื่ม และการขับรถในออสเตรเลียมีความเข้มงวดมาก และมีการตรวจสอบกันอยู่เสมอ คนขับ Road Train จึงดื่มโค้กกระป๋องแทน จนกลายเป็นที่มาของการนับระยะทางด้วยจำนวนกระป๋องโค้กที่ดื่มไป แทนที่จะนับเป็นไมล์ เช่น การเดินทาง "แปดกระป๋อง" หมายถึง จำนวนกระป๋องโค้กที่ดื่มไปในระยะทาง ๗๐๐-๙๐๐ กิโลเมตร
(คลิกดูภาพใหญ่)        การเดินทางในทะเลทรายหรือบริเวณใจกลางทุ่งหญ้าแถบแม่น้ำวิกตอเรีย ซึ่งครอบคลุมอาณาเขต ๑๒,๕๐๐ ตารางกิโลเมตรของผืนทรายสีเทา ร้างผู้คนในภาคเหนือ มนุษย์ที่คนขับจะเจอก็มีเพียงพวก "แจ็คการูส์" คาวบอยซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลรถแม็คที่เดินทางผ่านมา พวกเขาจะอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งมีห้องสำนักงานและถังเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ ที่บีพีนำมาส่งและเติมให้ แต่เมื่อพ้นไปจากที่นี่แล้ว บนเส้นทางของทะเลทรายที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ก็มีเพียงจระเข้ไม่กี่ตัวที่เพ่นพ่านอยู่แถวแม่น้ำ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังไม่ขาดระยะก้องอยู่ในหู รวมทั้งความเหนื่อยล้า และเบื่อหน่ายที่ติดตามพวกเขาอยู่ตลอดการเดินทาง
       เบเดนมีรายได้จากการขับ Road Train ถึงเดือนละ ๑๐๘,๓๐๐ บาท แต่ก็ต้องอดทนต่อการเดินทางที่ไร้ชีวิตชีวา และการห่างไกลจากครอบครัว
       "ผมรักความโดดเดี่ยว เพราะผมเกิดและโตในฟาร์มปศุสัตว์ ผมก็เลยชินกับมันแล้ว" เบเดนกล่าว
(คลิกดูภาพใหญ่)        อย่างไรก็ตามหากความเหงาเข้าจู่โจมจนทนไม่ได้ เหมือนชีวิตของนาวิกโยธินที่จากบ้านไปรอนแรมในท้องทะเล พวกเขาก็ยังได้อาศัยโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม เพื่อพูดคุยกับครอบครัว โทรศัพท์จึงกลายเป็นความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขาดไม่ได้
       "สิ่งที่พวกเราต้องระวังมากคือ ยางรถแตกหรือการหลับใน ซึ่งมันมักเกิดขึ้นบ่อย ๆ และถ้ายางแตกที่ล้อหลัง คุณก็แทบจะไม่ได้สังเกตเห็นเลย"
       คนขับ Road Train จะหยุดพักเพียงจุดเดียว เพื่อนั่งลงพักกินไส้กรอกกับมันฝรั่งสักจาน ท่ามกลางบรรยากาศอึกทึกในร้านอาหารย่านชุมชน และกลับไปประจำอยู่หลังพวงมาลัยในอีก ๑๕ นาทีต่อมา
       ...บ่อยครั้งที่ Road Train วิ่งสวนกันบนถนน ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นเสมือนมันทักทายซึ่งกันและกัน แล้วกล่าวคำอำลากันด้วยฝุ่นทรายขมุกขมัว
       หากคุณมีโอกาสไปเยือนทะเลทรายแห่งออสเตรเลียในถิ่นของ Road Train หวังว่าคุณคงจะไม่ไปเผชิญหน้ากับเจ้ารถไฟติดล้อนี้เข้า เพราะมันอาจจะตาบอด มองคุณไม่เห็น และไม่มีอะไรสามารถหยุดมันได้
 

เกี่ยวกับผู้เขียน

(คลิกดูภาพใหญ่)        เอริก ปาสเควียร์ (Eric Pasquier) เป็นนักเขียนอิสระชาวฝรั่งเศส มีผลงานตีพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ และในอีก ๓๕ ประเทศทั่วโลก นิตยสารที่ตีพิมพ์ผลงานของเขามีมากมาย เช่น Geo Magazine, Figaro Magazine, Paris Match, Grands reportages,VSD, Gala, Time, Newsweek, Asiaweek, Life, Stern ฯลฯ นอกจากนี้เขายังมีผลงานหนังสือซึ่งเป็นเรื่องราวของฟิลิปปินส์ และเขาได้มีโอกาสทำงานให้แก่รัฐบาลฟิลิปปินส์ นั่นจึงทำให้เขามีภาพถ่ายของประเทศฟิลิปปินส์มากที่สุด ในบรรดาภาพถ่ายทั้งหมดของเขา คือประมาณ ๕,๐๐๐ ภาพ