|
|
เรื่องและภาพ : เอริก ปาสเควียร์
แปลและเรียบเรียง : เพ็ญศิริ จันทร์ประทีปฉาย
|
|
|
|
ออสเตรเลีย...ประเทศเดียวในโลกที่เป็นทวีป
โดยนับรวมหมู่เกาะน้อยใหญ่ในแถบใกล้เคียงเข้าไปด้วย ดินแดนแห่งนี้มีภูมิประเทศที่หลากหลายมาก
หนึ่งในนั้นคือ ทะเลทรายที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ มีถนนนับระยะทางรวมได้กว่า ๗,๐๐๐ กิโลเมตร
โดยเหตุที่เส้นทางคมนาคมโดยรถไฟส่วนใหญ่
จะอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุด
คือขอบทวีปทางใต้และตะวันออก หรือบริเวณสามเหลี่ยมบริสเบน-ซิดนีย์-แอดิเลด (บริสเบน : เมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ทางตะวันออกของออสเตรเลีย, ซิดนีย์ : เมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทางตะวันออกเฉียงใต้, แอดิเลด : เมืองหลวงของรัฐเซาท์ออสเตรเลียหรือออสเตรเลียใต้) การขนส่งสินค้าแถบตอนเหนือ กลาง
และตะวันตกของทวีป ซึ่งเป็นผืนทะเลทรายสีแดงอันร้อนแล้ง
และทุ่งหญ้าร้างผู้คน จึงต้องอาศัยรถบรรทุกทรงพลัง
ที่สามารถฉุดลากรถพ่วงขนาดใหญ่เท่าตู้รถไฟ วิ่งตะลุยไปบนเส้นทางต่าง ๆ
ด้วยล้อจำนวนมาก และโดยการควบคุมของคนขับเพียงคนเดียว... พาหนะนี้มีชื่อว่า Road Train หรือ รถไฟติดล้อ นั่นเอง
รูปลักษณ์ของ Road Train นั้นใหญ่โตขนาดที่ได้รับคำเรียกขานว่า "ยักษ์จักรกล" (mechanical monster) และสำหรับคนขับ Road Train เจ้ายักษ์ตัวนี้เป็นทั้งพาหนะและบ้านของเขาในเวลาเดียวกัน...
เอริก ปาสเควียร์ เข้าไปสัมผัสชีวิตในโลกแห่งความโดดเดี่ยว
และไร้สีสันของเหล่านักพเนจรแห่งออสเตรเลีย และนำเรื่องราวของพวกเขาข้ามทวีปมาให้แฟน สารคดี ได้อ่านกัน
|
|
|
|
เบเดน มิลส์ หยิบหมวกคาวบอยใบเก่งมาสวมด้วยท่าทีสุขุม ก่อนจะนั่งประจำที่บนรถแม็คของเขา (Mack Truck--รถบรรทุกยี่ห้อแม็ค) เท้าจ่ออยู่ที่คันเร่ง พร้อมเริ่มเข้าเกียร์และสตาร์ตรถอย่างไม่รีรอ มือโต ๆ ของเขาจับมั่นอยู่ที่พวงมาลัย เขายิ้มด้วยแววตาที่ฉายประกายของความทะนงตน...
เขาคือราชาแห่งทะเลทราย ผู้มีบัลลังก์เป็นรถบรรทุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เมื่อเครื่องยนต์เริ่มทำงาน ดูเหมือนว่ามีเสียงคำรามอย่างดุดันดังทะลุขึ้นมาจากใต้พื้นโลก
การเผาไหม้ของมอเตอร์สตาร์ตแบบใช้แรงดันอากาศ
ทำให้ตัวถังของรถสั่นไปทั้งคัน
เครื่องยนต์ของมันแผดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแก้วหูแทบแตก... ในไม่ช้า ห้องโดยสารของรถแม็คก็ถูกกลืนหายเข้าไปในกลุ่มฝุ่นควันสีน้ำตาลหนาทึบ
กฎหมายอนุญาตให้รถแม็คที่วิ่งบนถนนสาธารณะ
พ่วงรถได้สูงสุด ๓ คัน ซึ่งมีความยาวรวม ๕๒ เมตร เมื่อประกอบร่างกันแล้ว จะมีขนาดใหญ่โตจนได้รับการขนานนามว่า "เจ้าแห่งทะเลทรายออสเตรเลีย"
ยักษ์ใหญ่ทรงพลังคันนี้ ทำงานด้วยเครื่องยนต์ดีเซลวี ๘ กำลัง ๕๒๕ แรงม้า ความจุกระบอกสูบ ๑๖ ลิตร (๑๖,๐๐๐ ซีซี) ๒๐ เกียร์ โครงสร้างทั้งหมดตั้งแต่ตัวถังรถจนถึงถังเชื้อเพลิงขนาด ๕๐๐ ลิตร จำนวน ๔ ถัง ผลิตจากอะลูมิเนียม มีความแข็งแกร่งเป็นเยี่ยม แต่ขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักเบามาก จึงวิ่งไปได้บนทุกสภาพถนน อัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงประมาณ ๑ ลิตรต่อระยะทาง ๑ กิโลเมตร สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง ๕๐๐ ตัน แม้ในขณะที่บรรทุกฝูงปศุสัตว์เอาไว้สองชั้น รวมเป็นร้อย ๆ ตัว รถคันนี้ยังวิ่งด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบาย ๆ ...
รถของเบเดนจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "มู-มูฟเวอร์" (Moo-mover) ซึ่งหมายถึงผู้ขนย้ายเสียงร้องของวัว
|
|
|
|
รถแม็คที่วิ่งด้วยความเร็วสูง
ตะลุยไปทั่วทุกทิศในทะเลทราย มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง เพราะความใหญ่โตและพลังมหาศาลของมัน
ดังนั้นจึงต้องมีแท่งโลหะล้อมรอบเครื่องยนต์
และตะแกรงเหล็กกั้นห้องโดยสาร เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าจิงโจ้ผู้โชคร้าย
ที่พลัดเข้ามาในทางวิ่งของรถ กระแทกกระจกแตก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้จะต้องใช้ระยะทางเป็นกิโลเมตรในการหยุด...
จินตนาการออกหรือเปล่าว่า ถ้าจะต้องเบรกกะทันหันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น...
อะไรที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียง ก็จะถูกตัวรถพ่วงกวาดเสียราบ
ย้อนกลับไปราว ๑๐๐ ปีก่อน ต้นตระกูลรถแม็คถือกำเนิดขึ้นในกรุงนิวยอร์ก โดยสองพี่น้องจอห์นและออกุสตุส แม็ค รถแม็คคันแรกใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเพียง ๔,๐๐๐ ซีซี มีสัญลักษณ์ทางการค้าเป็นรูปหมาบูลด็อก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ มีการนำรถแม็คไปใช้งานเป็นจำนวนมาก และใน ค.ศ. ๑๙๒๔ ก็กลายเป็นพาหนะซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในออสเตรเลีย เครื่องยนต์ดีเซลมีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๓๘
และมอเตอร์สตาร์ตที่ใช้แรงดันอากาศก็เป็นที่นิยมมากขึ้น
ด้วยคุณสมบัติความเปราะบางน้อย แต่มีกำลังแรงกว่าแบบไฟฟ้า... ปัจจุบันรถส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นในฝรั่งเศสโดยโรงงานต่าง ๆ ถูกบริษัทเรโนลท์ซื้อไป
|
|
|
|
ด้วยเวลาไม่ถึง ๕ วัน รถไฟติดล้อหมายเลข ๒๙ ของ เบเดน มิลส์ สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง ๗,๐๐๐ กิโลเมตร จากทุ่งหญ้าแถบแม่น้ำวิกตอเรีย (ทางเหนือของออสเตรเลีย) ไปยังเพิร์ท (เมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
หรือออสเตรเลียตะวันตก) ซึ่งเทียบเท่าระยะทางจากปารีสไปมอสโก สามารถบรรทุกปูนไปอูดนาเดตตา หรือฝูงปศุสัตว์ไปยังแอลิซสปริงส์ (แอลิซสปริงส์ เป็นเมืองกลางทวีปออสเตรเลียในเขตนอร์ทเทิร์นเทอริทอรี่ ซึ่งมีคนอาศัยอยู่น้อยที่สุดของทวีป ส่วนอูดนาเดตตา อยู่ถัดจากแอลิซสปริงส์ลงมาทางใต้) ชำนาญทุกเส้นทางของอาณาบริเวณสามในสี่ส่วนของทวีป ตั้งแต่เหนือไปยังตะวันตก
คนขับ Road Train จะอยู่ในห้องโดยสารขนาดใหญ่ ๒๔ ชั่วโมงตลอดระยะการเดินทาง ภายในห้องประกอบด้วยเตียงขนาด ๑.๘๐ เมตร โทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ ตู้สำหรับเก็บเครื่องดื่มให้เย็นอยู่เสมอ
ที่สำคัญคือเครื่องปรับอากาศที่ช่วยให้เขาเย็นสบาย
ท่ามกลางความร้อนที่แผดเผาอยู่ภายนอกในช่วงกลางวัน
เมื่อพวกเขากระหายน้ำ การดับกระหายด้วยเบียร์เย็น ๆ เป็นสิ่งต้องห้าม
เพราะกฎเรื่องการดื่ม และการขับรถในออสเตรเลียมีความเข้มงวดมาก และมีการตรวจสอบกันอยู่เสมอ คนขับ Road Train จึงดื่มโค้กกระป๋องแทน
จนกลายเป็นที่มาของการนับระยะทางด้วยจำนวนกระป๋องโค้กที่ดื่มไป
แทนที่จะนับเป็นไมล์ เช่น การเดินทาง "แปดกระป๋อง" หมายถึง จำนวนกระป๋องโค้กที่ดื่มไปในระยะทาง ๗๐๐-๙๐๐ กิโลเมตร
|
|
|
|
การเดินทางในทะเลทรายหรือบริเวณใจกลางทุ่งหญ้าแถบแม่น้ำวิกตอเรีย
ซึ่งครอบคลุมอาณาเขต ๑๒,๕๐๐ ตารางกิโลเมตรของผืนทรายสีเทา
ร้างผู้คนในภาคเหนือ มนุษย์ที่คนขับจะเจอก็มีเพียงพวก "แจ็คการูส์" คาวบอยซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลรถแม็คที่เดินทางผ่านมา
พวกเขาจะอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์
ซึ่งมีห้องสำนักงานและถังเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ่
ที่บีพีนำมาส่งและเติมให้ แต่เมื่อพ้นไปจากที่นี่แล้ว บนเส้นทางของทะเลทรายที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ก็มีเพียงจระเข้ไม่กี่ตัวที่เพ่นพ่านอยู่แถวแม่น้ำ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังไม่ขาดระยะก้องอยู่ในหู
รวมทั้งความเหนื่อยล้า
และเบื่อหน่ายที่ติดตามพวกเขาอยู่ตลอดการเดินทาง
เบเดนมีรายได้จากการขับ Road Train ถึงเดือนละ ๑๐๘,๓๐๐ บาท
แต่ก็ต้องอดทนต่อการเดินทางที่ไร้ชีวิตชีวา และการห่างไกลจากครอบครัว
"ผมรักความโดดเดี่ยว เพราะผมเกิดและโตในฟาร์มปศุสัตว์ ผมก็เลยชินกับมันแล้ว" เบเดนกล่าว
|
|
|
|
อย่างไรก็ตามหากความเหงาเข้าจู่โจมจนทนไม่ได้ เหมือนชีวิตของนาวิกโยธินที่จากบ้านไปรอนแรมในท้องทะเล
พวกเขาก็ยังได้อาศัยโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม เพื่อพูดคุยกับครอบครัว โทรศัพท์จึงกลายเป็นความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขาดไม่ได้
"สิ่งที่พวกเราต้องระวังมากคือ ยางรถแตกหรือการหลับใน ซึ่งมันมักเกิดขึ้นบ่อย ๆ และถ้ายางแตกที่ล้อหลัง คุณก็แทบจะไม่ได้สังเกตเห็นเลย"
คนขับ Road Train จะหยุดพักเพียงจุดเดียว
เพื่อนั่งลงพักกินไส้กรอกกับมันฝรั่งสักจาน
ท่ามกลางบรรยากาศอึกทึกในร้านอาหารย่านชุมชน และกลับไปประจำอยู่หลังพวงมาลัยในอีก ๑๕ นาทีต่อมา
...บ่อยครั้งที่ Road Train วิ่งสวนกันบนถนน ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นเสมือนมันทักทายซึ่งกันและกัน แล้วกล่าวคำอำลากันด้วยฝุ่นทรายขมุกขมัว
หากคุณมีโอกาสไปเยือนทะเลทรายแห่งออสเตรเลียในถิ่นของ Road Train หวังว่าคุณคงจะไม่ไปเผชิญหน้ากับเจ้ารถไฟติดล้อนี้เข้า เพราะมันอาจจะตาบอด มองคุณไม่เห็น และไม่มีอะไรสามารถหยุดมันได้
|
|
|
|
เกี่ยวกับผู้เขียน
|
|
|
|
เอริก ปาสเควียร์ (Eric Pasquier) เป็นนักเขียนอิสระชาวฝรั่งเศส มีผลงานตีพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ และในอีก ๓๕ ประเทศทั่วโลก นิตยสารที่ตีพิมพ์ผลงานของเขามีมากมาย เช่น Geo Magazine, Figaro Magazine, Paris Match, Grands reportages,VSD, Gala, Time, Newsweek, Asiaweek, Life, Stern ฯลฯ นอกจากนี้เขายังมีผลงานหนังสือซึ่งเป็นเรื่องราวของฟิลิปปินส์ และเขาได้มีโอกาสทำงานให้แก่รัฐบาลฟิลิปปินส์
นั่นจึงทำให้เขามีภาพถ่ายของประเทศฟิลิปปินส์มากที่สุด
ในบรรดาภาพถ่ายทั้งหมดของเขา คือประมาณ ๕,๐๐๐ ภาพ
|
|