นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๙ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๙ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ "ดาบอาทมาฏ อานุภาพของดาบไทย"
  นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๙ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ ISSN 0857-1538  

หมาใน เหล่าสัตว์ป่า และอีกด้านหนึ่งของชีวิต

  เรื่องและภาพ : ปริญญากร วรวรรณ
(คลิกดูภาพใหญ่)       เก้าโมงเช้า
      จู่ ๆ กระทิงฝูงซึ่งกำลังพักผ่อน บ้างยืนเคี้ยวเอื้อง บ้างนอน บางตัวเพลิดเพลินอยู่กับการก้มกินน้ำในแอ่งน้ำซับเล็ก ๆ ต่างก็หยุดกิจกรรม ชูคอขึ้นสูง จมูกสูดกลิ่น หันมองไปทางเบื้องหลัง กระทิงสองสามตัวที่นอนอยู่บนพื้นผุดลุกขึ้นยืน
      มีเสียงร้องของสัตว์ดังขึ้นก่อนที่วัวแดงตัวหนึ่งจะวิ่งฝ่าเข้ามาในฝูงกระทิง ด้านหลังวัวแดง หมาในสามตัววิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด
วัวแดงวิ่งถึงลำห้วย ขณะกระทิงตัวผู้สองตัววิ่งเข้าหาหมาใน ทั้งคู่ใช้สองขาหน้ากระโจนเข้าหาเจ้านักล่า หมาในสองตัวต่อสู้ พลางหลบหลีกร่างกำยำอย่างแคล่วคล่องว่องไว
      หมาในตัวหนึ่งวิ่งหลุดจากวงล้อมของกระทิงมาได้ ขณะวัวแดงกระโจนลงลำห้วยที่ระดับน้ำลึกท่วมเข่า
      ท่ามกลางความชุลมุน แผลแรกบริเวณก้นวัวแดงถูกเปิด สายน้ำสีน้ำตาลถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดของเลือด
      หมาในอีกสองตัวเข้ามาสมทบ ฝูงกระทิงผละไปเพียงชั่วครู่ เสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดก็ค่อย ๆ เงียบลง
      วิญญาณหนึ่งหลุดลอยจากร่าง พร้อม ๆ กับ "งาน" ของนักล่าสำเร็จไปอีกครั้งหนึ่ง
      ............
      ป่าห้วยขาแข้ง
      ปลายฤดูฝน
      สายน้ำในลำห้วยไหลเอื่อย ๆ หาดทรายขยายเป็นแนวกว้างจากกระแสน้ำใหญ่ที่ไหลผ่านมาตั้งแต่กลางฤดู ริมฝั่งห้วยด้านซ้ายมือของซุ้มบังไพรเป็นแนวโขดหินระเกะระกะ ถัดจากโขดหินมีแอ่งน้ำซับเล็ก ๆ ที่มีหญ้าเขียวขึ้นแซมโดยรอบ
      บนสันทรายเกือบกึ่งกลางลำห้วยมีร่างวัวแดงขนาดย่อมตัวหนึ่งนอนตะแคงหันหน้าไปทางแอ่งน้ำซับ 
      ไม่เพียงไร้ชีวิต แต่ร่างของวัวแดงเหลือเพียงกระดูกและหนังบางส่วน
      แปดวันที่แล้ว วัวแดงตัวนี้วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกมาจนมุมอยู่ที่นี่ แม้ว่าฝูงกระทิงกว่า ๑๕ ตัวที่กำลังพักผ่อนอยู่ในโป่งจะถลันเข้าช่วยขับไล่หมาในที่ไล่ล่าวัวแดงตัวนี้มา แต่ก็ไร้ผล 
      วัวแดงพยายามสู้อย่างจนตรอก หมาในกระโจนเข้ากัดทึ้งกระชากชิ้นส่วนเนื้อแดง วัวแดงกระเสือกระสนน้ำแตกกระเซ็น
      เสียงกระชากเนื้อกัดทึ้งดำเนินต่อไป
      ภารกิจของนักล่าเสร็จสิ้นลง จากนั้นเวลาของการพักผ่อนก็เริ่มต้นขึ้น
      แปดวันแล้วที่หมาในฝูงนี้ที่มีอยู่เจ็ดแปดตัว ยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน เป็นเวลาแปดวันเช่นกันที่ผมได้อยู่กับนักล่าฝูงนี้
      เหตุการณ์ล่าอย่างเหี้ยมโหดเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่หลังจากนั้นสภาพการณ์ก็เปลี่ยนไป
      เวลาแปดวันไม่เพียงแต่ทำให้หมาในกับผมได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด
      แต่ดูเหมือนว่า พวกมันจะเปิดโอกาสให้ผมได้เห็นความเป็นจริงในชีวิตของพวกมัน
      ความเป็นจริงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของชีวิตนักล่า
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       "ผมกลัวหมาใน"
      โดยประสบการณ์ ทำให้ผมตอบคำถามนี้ได้อย่างรวดเร็วไม่ลังเล
      หลาย ๆ ครั้งผมถูกฝูงหมาในเข้าล้อมซุ้มบังไพร พวกมันตามกลิ่นผมมาจนกระทั่งถึงบังไพร เมื่อรู้ว่าเป็นคน หลายตัวจะอ้อยอิ่งถอยหน้าถอยหลังอย่างไม่แน่ใจ ไม่แสดงอาการตื่นหนีดังเช่นสัตว์ป่าหรือนักล่าตัวอื่น ๆ แม้แต่เสือโคร่งหมายเลขหนึ่งของนักล่า ก็จะผละไปในทันทีที่ได้กลิ่นคน
      แน่นอน ความที่อยู่ร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ พวกมาก หมาในจึงไม่หวั่นเกรงสิ่งใด และความที่มีพวกมากนี่แหละ นักล่าอย่างพวกมันจึงทำงานได้ผลที่สุด
      กว่าร้อยละ ๙๐ ของสัตว์กินพืช ล้มตายลงเพราะหมาใน โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ผมพบซากของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเก้ง กวาง หมูป่า เสมอ ๆ รวมทั้งฉากไล่ล่าของหมาในด้วย
      พูดได้ว่าพวกมันเป็นนักล่าที่ทำงานอย่างได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่ซากสัตว์อย่างเช่นควายป่าที่เสือโคร่งล้มไว้ได้ หากหมาในได้กลิ่นก็ไม่วายจะเข้ารุมทึ้ง โดยไม่หวั่นศักดิ์ศรีนักล่าหมายเลขหนึ่งแม้แต่น้อย
      คนที่ใจอ่อน ถ้าได้เห็นช่วงเวลาที่หมาในทำงาน ย่อมอดไม่ได้ที่จะเวทนาเหยื่อจนต้องเบือนหน้าหนี
      เพราะมันจะเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ไร้ความปรานี ชิ้นส่วนของเหยื่อโดยเฉพาะลูกนัยน์ตา ถูกกระชากไปกินตั้งแต่เหยื่อยังไม่ขาดใจ ก่อนวิญญาณจะหลุดลอยจากร่าง เนื้อช่วงท้องและเครื่องในบางส่วนก็ถูกกินไปแล้ว
      วันหนึ่งผมเห็นหมาในรีบผละจากเหยื่อที่เพิ่งฆ่าได้ วิ่งไล่ตามเหยื่ออีกตัวที่พวกมันได้กลิ่น
      เมื่อไล่เหยื่อไปจนกระทั่งเหยื่อสิ้นแรง การเข้าล้อมทำให้เหยื่อสับสนจะเกิดขึ้น ตัวที่มีโอกาสก็จะกระโจนเข้ากัดทุกส่วน
      ซากกวางรุ่น ๆ ที่ผมยืนดูอยู่เพิ่งถูกกินลูกนัยน์ตาและเนื้อช่วงท้องไปนิดหน่อย ขณะที่เสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดของกวางที่ถูกพวกมันจัดการดังอยู่ไม่ไกล
      การกระทำเช่นนี้ทำให้ผมเชื่อเสมอมาว่า หมาในเป็นนักล่าที่ฉาบฉวย 
      มองในแง่ดี พวกมันเชี่ยวชาญในการฆ่ากินเนื้อไปเพียงบางส่วน ที่เหลือคือผลประโยชน์ของบรรดาสัตว์ชนิดอื่น ๆ 
      แต่กระนั้น บางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า ดูเหมือนพวกมันจะทำหน้าที่ดีเกินไปสักหน่อยเสียแล้ว
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       ห่างออกไปจากซุ้มบังไพรประมาณ ๕ เมตร "เจ้าแดงเพลิง" หมาในตัวผู้รูปร่างล่ำสัน สีเข้มกว่าตัวอื่น นอนเอาท้องแช่น้ำตื้น ๆ จ้องมองมาทางผม สลับกับการหันมองรอบ ๆ นาน ๆ ทีจึงหลับตาลง หัวโยกไปมา แต่พอรู้สึกตัวก็สะบัดหัวและจ้องมาทางผมต่อ
      สีที่เข้มและรูปร่างที่ดูจะโตกว่าตัวอื่น ๆ ในฝูง รวมทั้งอาการระมัดระวังภัยให้แก่ตัวอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมรู้ว่าหมาในตัวนี้เป็นหัวหน้าฝูง
      ในวันแรก หลังจากล้มวัวแดงลงได้ เจ้าตัวนี้เป็นตัวแรกที่ลงมือกิน มันกินลูกนัยน์ตาและเนื้อช่วงท้องไปเพียงหนึ่งชิ้น นี่คือสิทธิของหัวหน้าฝูง ต่อจากนั้นตัวอื่น ๆ จึงเข้าล้อมซากอย่างชุลมุน
      เจ้าตัวหัวหน้าถอยออกห่างและคงได้กลิ่นผมซึ่งอยู่ในซุ้มบังไพรใกล้ ๆ มันก้มลง จมูกดม วิ่งเหยาะ ๆ ไปรอบ ๆ สักพักก็จับทิศทางของซุ้มบังไพรได้ กลิ่นที่มันสัมผัสได้นั้น เป็นสัญญาณของความไม่ปลอดภัย จึงค่อย ๆ ย่องข่อขาลงเล็กน้อย ส่วนคอและหัวล้ำมาด้านหน้า มันเข้ามาใกล้ซุ้มบังไพรมากขึ้น ด้วยท่าทางที่พร้อมจะเข้าโจมตี
      ผมนั่งนิ่ง ในใจเริ่มเต้นระทึก หลังจากรู้แล้วว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ใกล้ ๆ มันก็ไม่ได้มีทีท่าจะถอยหนีแต่อย่างใด
      ผมมองรอบ ๆ ตัว ในบังไพรแคบ ๆ เห็นจะมีแต่ขาตั้งกล้องชนิดขาเดี่ยวเก่าคร่ำคร่าอย่างเดียว ที่พอจะคว้ามาเป็นอาวุธป้องกันตัวได้ หากว่ามันเข้าโจมตี
      เจ้าตัวหัวหน้าเดินเข้ามาชิดบังไพร ใกล้จนกระทั่งผมได้ยินเสียงหายใจของมัน 
      เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับหมาในมากขนาดนี้ ระหว่างมันกับผมมีเพียงผ้าลายพรางบาง ๆ ของบังไพรกั้นไว้เท่านั้น
      บังไพรและกลิ่นคนทำให้มันไม่วางใจ แต่เมื่อยังสงบเงียบ ไม่มีอันตราย มันจึงเดินถอยหน้าถอยหลังอีกครู่ใหญ่ ๆ ก่อนถอยไปนอนเอาท้องแช่น้ำบริเวณร่องน้ำตื้น ๆ ที่อยู่ห่างบังไพรออกไปสัก ๕ เมตร พร้อมกับจ้องเขม็ง มันนอนอยู่เช่นนี้เกือบ ๒ ชั่วโมง ก่อนลุกขึ้นเดินไปที่ซากกวาง สักพักก็กลับมานอนอยู่เช่นเดิม ทุกวันเราจะอยู่ใกล้กันเช่นนี้
      ถึงวันที่ ๒ ดูเหมือนว่าความระแวงของมันจะลดน้อยลง 
      เมื่อท่าทีของมันเป็นมิตร ผมจึงถือวิสาสะเรียกมันว่า "เจ้าแดงเพลิง"
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       ซุ้มบังไพรที่ผมตั้งไว้อยู่ชิดลำห้วย ด้านหลังจากตลิ่งที่ลาดลงมาเป็นดงไผ่ อีกฝั่งของลำห้วย แอ่งน้ำซับเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ถัดไปจากแนวโขดหินนั่นเป็นโป่ง เมื่อสัก ๓ ปีที่แล้วโป่งนี้อยู่ในวงล้อมของดงไม้หนาทึบ แต่ในปีถัดมากระแสน้ำในลำห้วยอันเชี่ยวกรากในฤดูฝนได้พัดพาเอาดงไม้ไปหมดสิ้น สภาพของโป่งเปิดโล่ง การตั้งซุ้มบังไพรอยู่อีกฝั่งห้วย ทำให้ง่ายต่อการมองเห็นเวลามีสัตว์ป่ามาใช้โป่ง
      ในการบันทึกภาพสัตว์ป่า การรู้จักพื้นที่รวมถึงแหล่งที่คาดว่าสัตว์ป่าจะไปเป็นเรื่องจำเป็น แต่กระนั้นพื้นที่ในป่ามักจะเปลี่ยนแปลงเสมอ โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ลำห้วย
      ด้านหลังของบังไพรที่เป็นดงไผ่ ทำให้ในตอนเช้ามืดและย่ำค่ำ ผมเข้าออกบังไพรได้โดยไม่ทำให้เจ้าแดงเพลิง และลูกฝูงตัวอื่น ๆ ระแวง 
      การที่พวกมันไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหน ทำให้ผมคิดว่ามันหวงเหยื่อ
      เพราะครั้งหนึ่งผมเคยเห็นหมาในฝูงหนึ่งเข้ารุมทึ้งซากควายป่าที่เสือโคร่งฆ่าเอาไว้ พวกมันไม่แสดงว่าจะเอื้อเฟื้อกันเลย ต่างก็กระชากเนื้อออกมากิน แม้ขณะเคี้ยวเงยหน้ามองรอบ ๆ มันก็จะใช้เท้าเหยียบชิ้นเนื้อเอาไว้ราวกับกลัวผู้อื่นมาแย่ง
      ในตอนบ่ายของวันแรกที่หมาในฝูงนี้ล้มวัวแดงลงได้ หมูป่าโทนตัวหนึ่งเดินก้มหน้างุด ๆ เข้ามา หมาในสามสี่ตัวเข้าสกัดทันที แต่ขณะที่บางตัวก็เพียงผงกหน้าขึ้นดูนิดหน่อยแล้วก็นอนต่อ หมาในสามสี่ตัวนั่นเข้าล้อมหมูป่าโทนที่ไม่แสดงอาการหวั่นเกรง แถมยังทำท่าวิ่งเข้าใส่ ไล่ให้หมาในไปให้พ้นทาง หมูโทนเดินถึงซาก ดึงและคาบเนื้อชิ้นโตวิ่งปุเลง ๆ ออกไป
      หมาในที่แสดงอาการหวงเหยื่อต่างก็พากันยืนมองเฉย ๆ 
      หมูโทนตัวนี้จะมาเอาเนื้อไปวันละสองครั้งคือช่วงเช้าและบ่าย ในวันหลัง ๆ ไม่มีหมาในตัวใดสนใจ อย่างมากก็ผงกหัวขึ้นมองเท่านั้น
      อาจเป็นเพราะว่าเหยื่อตัวโตพอที่จะแบ่งปันกันได้ หรือเป็นเพราะว่าในการพบกันครั้งนี้ ระยะห่างระหว่างเราใกล้กันมาก
      ใกล้พอที่ผมจะเห็นชีวิตอีกด้านหนึ่งของพวกมัน
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       เช้ามืด เมื่อผมเข้าไปในบังไพร เจ้าแดงเพลิงนอนอยู่บนโขดหินซึ่งดูจะเป็นชัยภูมิที่ดี สามารถมองเห็นได้รอบ ๆ แต่ราวกับรู้ว่าผมมาถึงแล้ว เจ้าแดงเพลิงจะเดินเข้ามาและหยุดอยู่ในระยะ ๕ เมตร นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ตรงนี้ตลอด กิจกรรมของหมาในตัวอื่น ๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการนอนในช่วงก่อนเที่ยงและบ่าย ๆ ซึ่งอากาศร้อนอบอ้าว พวกมันจะลงเล่นน้ำ หรือไม่ก็นอนแช่น้ำ แต่บางครั้งก็จะวิ่งไล่ หยอกล้ออยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนแยกย้ายไปหาทำเลเหมาะ ๆ นอนหลับตาพริ้ม
      สองสามวันผ่านไป ซากเริ่มโชยกลิ่น อีกาสี่ห้าตัวมาบินวนเวียน 
      ช่วงบ่าย เหี้ยก็มาถึง 
      เหี้ยในบริเวณนี้ได้กลิ่นซากจึงฉวยโอกาสเข้ามาร่วมวงด้วย เมื่อเหี้ยเข้ากินซาก หมาในที่ท่าทางง่วงเต็มที ก็เพียงปรือตาขึ้นมอง
      เหี้ยตัวโต ๆ จะเข้าไปกินซากก่อน ส่วนตัวเล็กกว่าต้องรอ เมื่อใดที่ตัวเล็กใจร้อนไม่อยากรอคิว จะถูกเจ้าตัวโตไล่สั่งสอน
      เมื่อสัตว์กินพืชตัวหนึ่งล้มตายลงด้วยคมเขี้ยวของนักล่า มันหมายถึงเวลาเริ่มต้นงานเลี้ยง
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       ดูเหมือนว่าเจ้าแดงเพลิงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะได้ไม่หลับระหว่างที่มาคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ บังไพร อาการสัปหงกและพยายามสั่นหน้าไล่ความง่วงดูจะช่วยไม่ได้มากนัก มันลืมตาอยู่ได้พักเดียว นัยน์ตาก็ค่อยปรือและปิดลงไปอีก ท่าทางง่วงซึม และวางใจเช่นนี้จะเปลี่ยนไปทันที ถ้ามีเสียงผิดปรกติดังขึ้น โดยเฉพาะหากมีเสียงกระรอกซึ่งชอบมาหากินอยู่แถว ๆ ดงไผ่ด้านหลัง เจ้าแดงเพลิงจะลืมตาผงกหัวดูรอบ ๆ เสมอ
      นักล่าอย่างเจ้าแดงเพลิงผู้ทำหน้าที่ดูแลฝูง แตกต่างจากบรรดาสัตว์ฝูงที่กินพืช เพราะสัตว์กินพืชที่อยู่ร่วมกันเป็นฝูงส่วนใหญ่จะนำฝูงโดยสัตว์ตัวเมียอาวุโสที่มากประสบการณ์ พวกตัวผู้จะติดตามมาห่าง ๆ นอกเสียจากในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หรือมีตัวเมียในฝูงอยู่ในช่วงเวลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์ เมื่อนั้นตัวผู้จะเข้ามาอยู่ร่วมอย่างใกล้ชิด
      แต่โดยสัญชาตญาณ เมื่อได้กลิ่นผู้ล่าหรือกลิ่นมนุษย์ ตัวผู้มักจะให้ตัวเมียและลูกเล็ก ๆ หนีไปก่อนเสมอ
      ควายป่าฝูงหนึ่งทำอาการเช่นนี้ให้ผมเห็น ขณะที่ตัวเมียและเด็ก ๆ ตื่นหนีไปเพราะลมเปลี่ยนทิศทาง พวกมันได้กลิ่นผม ตัวผู้จะยืนนิ่งแหงนหน้าสูดดมกลิ่นอันตรายอย่างให้แน่ใจ ก่อนจะค่อยวิ่งเหยาะ ๆ ตามฝูงไป
      และเมื่อกลิ่นหายไป ลมพัดย้อนกลับมา ตัวผู้จะเป็นตัวแรกที่ออกมาสู่ที่โล่ง มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจ ต่อจากนั้นทั้งฝูงจะทยอยตามออกมา
      เจ้าแดงเพลิงทำให้ผมเชื่อมั่นยิ่งขึ้นในเรื่องของระยะห่าง
      โดยประสบการณ์ในการทำงานอยู่ในป่า ผมเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่สัตว์ป่าแสดงอาการก้าวร้าวอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่จากเหล่านักล่า
      สัตว์กินพืชที่นำฝูงโดยตัวเมียอาวุโสนั้นจะมีระเบียบในฝูงดี พวกตัวผู้ที่นิสัยเกเร มักถูกไล่ให้ไปอยู่นอกฝูง นิสัยของพวกนี้จึงค่อนข้างหงุดหงิด
      ผมเคยถูกช้างวิ่งเข้าหาสองครั้ง ควายป่าหนึ่งครั้ง ช้างมาหยุดห่างจากผมในระยะเพียงงวงเอื้อมถึง ควายป่าก็เช่นกัน มันมาหยุดอยู่ตรงหน้าสัก ๓ เมตร
      พวกมันหยุดเปลี่ยนใจหันกลับไป เมื่อผมใช้เสียงและบอกให้ "หยุด"
ไม่ใช่เพราะอยากพิสูจน์ความบ้าบิ่นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผมรู้สึกเสียใจเสมอ เพราะมันหมายถึงผมได้เข้าไปเกินระยะที่พวกมันจะอนุญาต
      และในการเผชิญหน้ากับสัตว์ป่า การวิ่งหนีหรือหันหลังให้ดูจะทำให้เกิดอันตรายมากกว่า
      การป้องกันรักษาระยะห่างที่พวกมันอนุญาตเอาไว้คือเรื่องจำเป็น
      ในป่าไม่ใช่ดินแดนแห่งความสุขสงบ
      แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นดินแดนแห่งสัตว์ร้าย
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       แปดวันที่เจ้าแดงเพลิงกับผมได้อยู่ด้วยกัน มันไม่เพียงแต่จะยอมให้ระยะห่างของเราแคบเข้ามา แต่ราวกับว่าเป็นช่วงเวลาที่มันจะแก้ "ข้อกล่าวหา" ที่ผมเคยรู้จักพวกมันในความเป็นนักล่า
      - ก้าวร้าว
      - เป็นนักล่าที่ฉาบฉวย
      - หวงเหยื่อ ไม่ยอมแบ่งปัน
      - พวกมากจึงไม่กลัวสิ่งใด ฯลฯ
      เหล่านี้ ตลอดแปดวันผมเห็นความเป็นไปในชีวิตอันแท้จริงของพวกมัน
      อาจบางที นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกมันสอนให้ผมรู้ถึงเรื่องธรรมดา ๆ ของความเป็นไปในชีวิตเท่านั้นก็เป็นได้ ก่อนเที่ยงของวันที่ ๘ เจ้าแดงเพลิงลุกขึ้นยืนจากการนอนแช่น้ำ เงยหน้าสะบัดขน มองมาทางผมก่อนค่อย ๆ หันหลังเดินห่างออกไป ขณะที่ลูกฝูงตัวอื่น ๆ ทยอยเดินหายเข้าชายป่าไปหมดแล้ว
      ซากวัวแดงเหลือเพียงกระดูกต่อไปจะเป็นหน้าที่ของเม่นที่จะเข้ามาจัดการ
      ทั่วทั้งบริเวณเหลือแต่ความว่างเปล่า
      ผมออกจากซุ้มบังไพร เดินไปตามด่านเล็ก ๆ 
      จากนี้เจ้าแดงเพลิงคงพาลูกฝูงออกล่าเหยื่อไปตามหน้าที่
      เราต่างเดินมุ่งหน้าไปตามหนทางของตัวเอง
      กับหมาใน ผมเริ่มต้นรู้จักพวกมันในฐานะยอดนักล่า สำหรับสัตว์ป่า ผมเริ่มเห็นความเป็นไปในอีกด้านหนึ่งของชีวิตพวกมัน
      ประสบการณ์ทำให้ผมเปลี่ยนแปลง
      จากคิดถึงสัตว์ป่าโดยใช้สมอง
      ผมเปลี่ยนมาใช้หัวใจ