|
ฉบับหน้า แต่งงานกับชาวเย้า |
อ่านข่าวนักเรียนช่างกลสาดกระสุนปืนลูกซองเข้าใส่คู่อริบนรถเมล์ แต่กระสุนพลาดมาโดนนักศึกษาสาวปีสี่ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทะลุหัวใจและปอด แฟนหนุ่มพาส่งโรงพยาบาล แต่ขาดใจตายระหว่างทางเสียก่อน |
||
เวลานักเลงจะตีกัน ต้องแฟร์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ช่างกลรุ่นเก๋าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเวลาตีกัน ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการใช้หมัดล้วน ๆ บางทีก็มีไม้ที หรือเหล็กขูดชาร์พมาร่วมผสมโรงบ้าง แต่ตีกันแค่สั่งสอน ให้บาดเจ็บเลือดตกยางออก ใครที่ถูกตีจนยกมือไหว้ยอมแพ้ก็ปล่อยไป ไม่จำเป็นต้องตีให้ตายคามือ ส่วนคนที่พกปืนนั้นมีน้อยมาก นักเลงจริงจะไม่พกปืน เพราะถือว่าเอาเปรียบคู่ต่อสู้ และที่สำคัญนักเรียนนักเลงสมัยนั้นยังมีคติว่า เวลาจะตีกันคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องต้องไม่เดือดร้อน แต่เด็กวัยรุ่นทุกวันนี้มีแนวโน้มใช้ความรุนแรงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เวลาตีกันก็กะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เราจึงไม่เคยเห็นการชกต่อยกันของเด็กช่างกลเพราะกลัวเจ็บกันอีกต่อไป นอกจากการใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกันอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพียงแค่เปิดดูหัวเข็มขัดคู่อริว่าอยู่ต่างสถาบัน ก็มีสิทธิ์ตายได้ ภาพที่ผมเคยเห็นคือเด็กช่างกลกระชากดาบญี่ปุ่นไล่ฟันอีกฝ่ายริมถนนราชดำเนิน บางคนเคยเห็นช่างกลเอาขวานไล่จามหัว คู่อริตรงป้ายรถเมล์ทั้ง ๆที่อีกฝ่ายยกมือไหว้แล้วบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และภาพของนักเรียนนักเลงที่สาดกระสุนปืนเข้าใส่คู่อริบนรถเมล์ สำนึกที่ว่าอาวุธเหล่านี้จะทำให้คนอื่นโดนลูกหลงไปด้วย ไม่เคยเกิดขึ้นเวลาที่เหนี่ยวไกปืน พอเกิดเหตุขึ้นมีคนตาย ก็พูดเพียงคำว่า เสียใจขอให้อโหสิกรรม แต่พรุ่งนี้เด็กช่างกลอีกกลุ่มก็ยกพวกตีกันต่อไป ผมคิดว่าการยกพวกตีกันของกลุ่มเด็กช่างกลคงไม่มีทางสูญพันธุ์ ตราบใดที่อารมณ์เลือดร้อนของเด็กวัยรุ่นยังเป็นใหญ่ ความรักสถาบันและพวกพ้องอันไร้เหตุผล ปัญหาครอบครัวแตกแยก และสังคมที่เห็นคุณค่าของเม็ดเงินมากกว่าคุณค่าทางจิตใจยังอยู่คู่สังคม แต่ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วคือ นักเลงตัวจริง |
|||
|