นับเนื่องมาเป็นเวลาถึงสามชั่วอายุคนแล้ว ที่ช่างสานคุ หมู่บ้านดอนแก้ว อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้รวมกลุ่มกันในช่วงปลายฝนต้นหนาวของทุกๆ ปี เพื่อช่วยกันสานภาชนะขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า "คุตีข้าว" ในปริมาณตามความต้องการของชาวนา ที่จะมาซื้อหาเพื่อใช้ตีข้าวในแต่ละปี ให้แล้วเสร็จทันฤดูกาลเก็บเกี่ยว ซึ่งจะเริ่มประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงประมาณกลางเดือนธันวาคม รูปทรงและขนาดของคุถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างเหมาะสม มีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิประเทศแบบภูเขา สลับพื้นที่ราบแบบภาคเหนือได้อย่างน่าทึ่ง ส่วนการสานคุนั้น นับว่ามีขั้นตอน และกรรมวิธีที่ชาญฉลาด แม้แต่การจัดการเรื่องแรงงานภายในกลุ่ม ก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะยังอยู่ในลักษณะที่เรียกได้ว่า เป็นแบบ "ดั้งเดิม" คือใช้วิธีการร่วมแรงกันทำงานภายในกลุ่มให้แล้วเสร็จ โดยไม่มีการจ่ายค่าจ้างซึ่งกันและกัน เรียกว่า "เอามื้อ" งานของช่างสานคุจะแบ่งออกเป็น ๒ ช่วงคือ ๑. การเตรียมวัสดุ และอุปกรณ์ ๒. การสานคุ
การที่ช่างสานคุ หมู่บ้านดอนแก้ว อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ คิดสร้างแม่แบบสานคุ ด้วยการขุดหลุมดินเพื่อทำเป็นแม่แบบ ถือเป็นภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง ต่อการคิดแก้ปัญหาการทำภาชนะจักสานขนาดใหญ่ขึ้นมาใช้ ตามปกตินั้น ช่างจักสานมักจะใช้ภาชนะเก่า ที่มีรูปทรง และขนาดเดียวกันกับภาชนะที่ต้องการสานมาทำเป็นแม่แบบ เพื่อให้ง่ายต่อการบังคับวัสดุให้เป็นไปตามขนาด และรูปทรงที่กำหนดไว้ เช่นการสานกระบุงก็มักจะใช้กระบุงเก่า หากเป็นงอบหรือหมวก ก็อาจจะใช้ไม้กลึงให้มีรูปทรง และขนาดที่ต้องการ โดยมีวิธีการสานคือ วางเส้นตอกทาบลงบนแม่แบบแล้วสานขัดกัน พร้อมกับใช้มือกดบังคับเส้นตอก ให้แนบไปกับรูปทรง และขนาดของแม่แบบนั้นๆ แต่การสานคุกลับมีกรรมวิธีที่ต่างไป จากการสานภาชนะขนาดเล็กทั่วๆ ไป ทั้งนี้ก็เพราะคุมีขนาดใหญ่ เส้นตอกก็หนา และยาวเกินกว่าที่ช่างจะออกแรงใช้มือกดบังคับ ให้แนบไปกับแม่แบบ เหมือนกับการสานภาชนะขนาดเล็กได้