ว า ร ส า ร เ มื อ ง โ บ ร า ณ
Muang Boran Journal

ISSN 0125-426X
ปีที่ ๒๗ ฉบับ ๓ กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๔๔
Vol. 27 No. 3 July-September 2001

วารสารวิชาการรายสามเดือน เพื่อการอนุรักษ์มรดกไทย
ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ และวัฒนธรรม
วารสาร เมืองโบราณ เดือน กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๔๔ ฉบับที่ ๓ ปีที่ ๒๗

ส า ร บั ญ
แดนนี้เคยมีอารยะ:

พระบรมธาตุวัดโพธิ์ทัยมณี เพชรบุรี... ปราณี กล่ำส้ม

The Supreme Relic of Wat Phothaimani...Prenee Glumsom

พระพุทธเจ้า: แบบอย่างของการปฏิบัติตน เพื่อพุทธภูมิ... วิไลรัตน์ ยังรอด
The Buddha of the Future... Wilairat Yongrot

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร: กรณีศึกษาเกี่ยวกับการตั้งเมือง นครศรีธรรมราชิ... นงคราญ สุขสม

Wat Mahathat and the Rise of Nakhon Si Thammarat... Nongkran Suksom

เจดีย์บริวารประจำทิศทั้งแปด และพระศรีมหาธาตุ วัดพระศรีมหาธาตุ สุโขทัย... สันติ เล็กสุขุม

The Mahathat of Sukhothai... Santi Leksukhum

องค์ประกอบสถาปัตยกรรม รูปสามเหลี่ยม ของเจดีย์ล้านนา มาจากไหน... จิรศักดิ์ เดชวงค์ญา

เมียวดี: สังเขปประวัติศาสตร์ และตำนานที่น่าสนใจชายแดนพม่า... สิทธิพร เนตรนิยม
ลำปาง: จากหัวเมืองประเทศราช สู่จังหวัดในภาคเหนือ... ปริเชต ศุขปราการ

จิตรกรรมจากพุกามของพม่า... น. ณ ปากน้ำ

แหล่งเตาแม่น้ำน้อย... สุนิสา มั่นคง
นกขมิ้นเหลืองอ่อน... กรวิน กระเวนวัน

ปากคลองตลาดเมื่อกาลก่อน... ปราณี กล่ำส้ม

Pak Khlong Talat Yesterday... Prenee Glumsom
ขูด-คั้น-กัน-กรอง... ลักขณา จินดาวงษ์
รายงาน
ข้อมูลใหม่
ก่อนหน้าสุดท้าย
คลิกดูภาพใหญ่
 
วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
กรณีศึกษาเกี่ยวกับการตั้งเมืองนครศรีธรรมราช
นงคราญ สุขสม
 
คลิกดูภาพใหญ่
     เมืองคอนเหอ แต่ก่อนเขาเล่าลือ
พระศรีธรรมโศกราชมีวาสนา  ก่อพระบรมธาตุยอดทองคำ
มีมหาชนมาบูชา  ผู้คนมานับถืออุปถัมถ์
ก่อพระบรมธาตุยอดทองคำ  เช้าค่ำคนมาไหว้
     เมืองคอนเหอ  มีพระนอนแจ่มหน้า
มีโพธิ์ลังกา  มีพระอุ้มทอง
มียักษ์เขี้ยวยาว  ถือไม้ตะบอง
มีพระอุ้มทอง  ฆ้องกลองอยู่เคียงกัน
     ไปคอนเหอ  ไปแลพระนอนพระนั่ง
พระพิงเสาตั้ง  หลังคามุงเบื้อง
เข้าไปในห้อง  ไปแลพระทองทรงเครื่อง
หลังคามุงเบื้อง  ทรงเครื่องดอกไม้ไหว
     เมืองคอนเหอ  มีพระนอนทรงเครื่อง
มีศาลาหน้าเมือง  เจดีย์ทองสูงใหญ่
มีตลาดวัดศพ  สองปากประตูชัย
เจดีย์ทองสูงใหญ่  ใครไปยกมือไหว้
คลิกดูภาพใหญ่     เพลงร้องเรือ หรือเพลงกล่อมเด็กบทนี้ (วิมล ดำศรี ๒๕๓๔: ๑๙๖ - ๑๙๗) นิยมร้องกันในแถบจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา มีบทที่กล่าวถึงพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชอยู่หลายบท สะท้อนภาพความเจริญรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาอย่างสูงสุด ของเมืองนครศรีธรรมราช อย่างยากที่จะหาเมืองใดเทียบได้
     ศูนย์รวมความเจริญทางพุทธศาสนานี้อยู่ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึงเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง
     ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร
     เดิมวัดนี้เรียกว่า "วัดพระบรมธาตุ" ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๘ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีประกาศของกระทรวงธรรมการ แผนกสังฆการี เรื่องจัดระเบียบพระอารามหลวง ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ให้เรียกว่า "วัดพระมหาธาตุ" 
     คติการสร้างวัดคู่บ้านคู่เมืองที่เรียกว่า วัดพระธาตุ วัดพระมหาธาตุ วัดบรมธาตุ วัดหัวเมือง หรือวัดศีรษะเมือง น่าจะเกิดขึ้นแล้วอย่างน้อยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังจะเห็นได้ว่า เมืองโบราณสำคัญๆ จะปรากฎวัดคู่บ้านคู่เมืองชื่อวัดมหาธาตุ หรือวัดพระบรมธาตุเสมอ เช่น วัดพระมหาธาตุ สุโขทัย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเชลียง วัดมหาธาตุ สรรคบุรี (ชาวบ้านเรียกวัดศีรษะเมือง) วัดพระบรมธาตุ ชัยนาท วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรี วัดพระมหาธาตุ ราชบุรี เป็นต้น
     บริเวณที่ตั้งวัดคู่บ้านคู่เมืองมักเป็นศูนย์กลางของชุมชน หรือเป็นศูนย์กลางของเมือง เมื่อพิจารณาดูผังเมืองโบราณนครศรีธรรมราช ปรากฎว่าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารตั้งอยู่ภายในเมืองโบราณ โดยอยู่ในตำแหน่งค่อนลงมาทางทิศใต้
     ตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชกล่าวว่า การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชโปรดให้สร้างในระยะเวลาไล่เลี่ยกับการสร้างเมืองบนหาดทรายแก้ว
     ดังนั้น การวิเคราะห์เรื่องประวัติวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และประวัติการสร้างเมืองนครศรีธรรมราช จึงต้องวินิจฉัยจากหลักฐานหลายประการประกอบกัน
     โดยเฉพาะการวิเคราะห์องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดในวัด
ประวัติความเป็นมาของพระบรมธาตุ

คลิกดูภาพใหญ่     ปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดสามารถบ่งชี้ถึงประวัติความเป็นมาของการสร้างพระบรมธาตุได้แน่นอนชัดเจน เนื่องจากหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระบรมธาตุ แม้จะมีมากมาย แต่ก็ระบุศักราชการสร้างแตกต่างกัน จึงทำให้เกิดความสับสนว่าควรตัดสินใจเชื่อหลักฐานใดกันแน่ อีกทั้งตัวผู้ศึกษาประวัติศาสตร์เอง  ต่างก็ให้ความสำคัญกับหลักฐานแต่ละประเภท แตกต่างกันไปตามพื้นฐานความรู้ของตน จึงเกิดการตีความไปตามความถนัด  ทำให้ไม่สามารถยุติประเด็นเกี่ยวกับการสร้างพระบรมธาตุ และการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชลงได้
     ผู้เขียนในฐานะนักโบราณคดี มองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากการเลือกใช้ข้อมูล และการให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลแต่ละประเภท
     ในช่วงที่ผ่านมา การเขียนประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ผูกติดอยู่กับตำนานเป็นหลัก ซึ่งเอกสารตำนานนั้น จัดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ขั้นที่สอง (ทุติยภูมิ) คือเขียนขึ้นภายหลังเหตุการณ์ที่ปรากฎในเนื้อเรื่องเป็นเวลานาน การใช้ข้อมูลจากตำนานจึงควรใช้ในเชิงวิเคราะห์ มิใช่ตำนานเขียนว่าอย่างไร ก็เชื่อตามนั้นทั้งหมด และควรวิเคราะห์เจตจำนงค์ของผู้เขียนด้วยว่า เขียนตำนานขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด เพื่อจะได้นำมาประกอบการวิเคราะห์ต่อไป
คลิกดูภาพใหญ่     ส่วนหลักฐานทางโบราณคดี ได้แก่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ จัดเป็นหลักฐานขั้นที่หนึ่ง (ปฐมภูมิ) คือเป็นหลักฐานที่ถูกสร้างขึ้นร่วมสมัยกับเหตุการณ์ในช่วงนั้น ๆ หรือในระยะเวลาใกล้เคียงกันแม้ว่าจุดอ่อนของหลักฐานประเภทนี้ จะขาดรายละเอียดความเป็นมาในเชิงบอกเล่าเหตุการณ์ แต่ความสำคัญที่มีอยู่ในตัวของมันเอง คือการให้ข้อมูลว่ามันคืออะไร (what) พบที่ไหน (where) อายุประมาณเท่าใด (when) มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในช่วงนั้นๆอย่างไร (how) และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น (why)
ข้อมูลเหล่านี้จะมีปฎิสัมพันธ์กัน สามารถสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้
     ดังนั้น หากนำหลักฐานทางโบราณคดีมาจัดเรียงตามลำดับอายุสมัย จัดแบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน น่าจะได้ภาพของระยะเวลา และสถานที่ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราชได้
     ขั้นแรกสุดของการคลี่คลายข้อสงสัยเกี่ยวกับการสร้างพระบรมธาตุ อันเกี่ยวพันไปถึงกำเนิดของเมืองนครศรีธรรมราชด้วยนั้น อยู่ที่การจัดจำแนก (classification) หลักฐานทางประวัติศาสตร์เสียใหม่ โดยพิจารณาว่าอะไร คือหลักฐานขั้นที่หนึ่ง อะไรคือหลักฐานขั้นที่สอง อะไรคือข้อสันนิษฐานของนักปราชญ์ในอดีต และอะไรคือสิ่งที่ต้องศึกษาค้นคว้าหรือพิสูจน์กันต่อไป
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระบรมธาตุ
หลักฐานทางเอกสาร

คลิกดูภาพใหญ่     ๑. ตำนาน ได้แก่ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และพระนิพพานโสตร (ตำนานพระบรมธาตุฉบับกลอนสวด) ให้ข้อมูลที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปีที่สร้างพระบรมธาตุ ดังต่อไปนี้
     ๑.๑ พระนิพพานโสตร เป็นตำนานพระบรมธาตุสำนวนร้อยกรอง (กลอนสวด) แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ หรือประมาณรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนิพพานโสตรมีหลายสำนวน ต้นฉบับเป็นหนังสือบุด (สมุดข่อย) แต่งเพื่อใช้สวดอ่าน ลักษณะคำประพันธ์มี ๓ ประเภท คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ และกาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เนื้อหาของเรื่องกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญ ๖ ประการ คือ การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระเจ้าอชาตศัตรูกับพระบรมสารีริกธาตุ พระเจ้าธรรมโศกราชกับพระบรมสารีริกธาตุ การอัญเชิญพระธาตุไปลังกา การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ หาดทรายแก้ว และการสร้างบ้านแปลงเมืองของนครศรีธรรมราช (พระนิพพานโสตรฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สำนวนที่ ๑ ๒๕๒๘: ๑)
     ศักราชที่กล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุในพระนิพพานโสตร สำนวนที่ ๓ กล่าวว่า
     "...ฝ่ายพระเจ้าลังกา เมื่อถึงเวลาแห่งพุทธทำนายว่าในศักราช ๗๐๐ เจ้าพระยาโศกราชจะสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่หาดทรายแก้ว จึงได้รับสั่งให้แต่งสำเภาบรรทุกเงินทอง เสื้อผ้ามากมาย เพื่อช่วยสร้างพระบรมธาตุเจดีย์..." (พระนิพพานโสตร ฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สำนวนที่ ๓ ๒๕๒๘: ๑๓, ๑๘)
     พระนิพพานโสตรเป็นเอกสารที่แต่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้ำจุนและเผยแผ่ศาสนาเป็นหลัก มิได้ตั้งใจจะบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เค้าโครงเรื่องในตอนต้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินเดีย และลังกา ส่วนในตอนท้ายเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางศาสนา ระหว่างลังกากับนครศรีธรรมราช ดังนั้น ศักราชที่ปรากฎควรใส่เครื่องหมายคำถาม (?) ไว้ด้วย
คลิกดูภาพใหญ่     ๑.๒ ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นเอกสารร้อยแก้ว สันนิษฐานว่า แต่งขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนต้นเรื่องกล่าวถึงพระนางเหมชาลา และเจ้าชายทนทกุมาร อัญเชิญพระทันตธาตุหนีภัยสงครามไปยังลังกา แต่บังเอิญเรือสำเภาที่ใช้เป็นพาหนะเดินทางเกิดอัปปาง เจ้าสองพี่น้องมาขึ้นฝั่งที่หาดทรายแก้ว ซึ่งต่อมามีการทำนายว่า ณ หาดทรายแก้วแห่งนี้ ในเบื้องหน้าจะมีพระยา ชื่อศรีธรรมาโศกราชมาตั้งเป็นเมืองใหญ่ และก่อพระธาตุสูง๓๗ วา หลังจากนั้นเจ้าสองพี่น้องก็โดยสารเรือจากท่าเมืองตรัง กลับไปยังลังกา จนกระทั่งเมื่อศักราช ๑๐๙๘ ปี พระยาศรีธรรมโศกราชก็สร้างนครลง ณ หาดทรายชเลรอบ เป็นเมืองนครศรีธรรมราชมหานคร แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระธาตุ
     ศักราชที่ปรากฎว่าพระยาศรีธรรมโศกราชสร้างเมือง และสั่งให้ก่อสร้างพระธาตุ คือ ศักราช ๑๐๙๘ ซึ่งมีผู้ตีความว่าเป็นปีพุทธศักราช ทำให้มีบทความ และหนังสือประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชหลายเล่ม นำศักราชนี้เป็นตัวกำหนดอายุเมืองนครศรีธรรมราช ว่าสร้างมาแล้วประมาณ ๑,๕๐๐ ปี และพยายามอธิบายต่อไปว่า พระธาตุที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๐๙๘ เป็นพระธาตุศิลปะศรีวิชัย ซึ่งต่อมา ได้สร้างพระธาตุทรงลังกาครอบทับอีกทีหนึ่ง
     ๑.๓ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเอกสารร้อยแก้ว วิเคราะห์สำนวนภาษาที่ใช้ น่าจะเก่ากว่าตำนานพระบรมธาตุเล็กน้อย เนื้อความในตอนต้นเรื่องคล้ายกันชนิดที่ว่าฉบับหลัง (ตำนานพระบรมธาตุ) น่าจะคัดลอกมาจากต้นฉบับตำนานเมือง ในย่อหน้าที่กล่าวถึงการสร้างเมืองนครศรีธรรมราช ความว่า
     "...เมื่อมหาสักราชได้...(ต้นฉบับลบเลือน)...ปีนั้น พระยาศรีธรรมโศกราชก็สร้างสถานลหาซายนั้นเป็นกรุงเมือง ชื่อเมืองนครศรีธรรมราชมหานคร อัครมเหสีชื่อนางสังคเทวี จึงพญาศรีธรรมโศกราช แลพญาพงศากษัตริย์ แลบาคูตริริด้วยมหาพุทธเพียร ซึ่งจะทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุ..." (ดูรายละเอียดในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช)
     จากข้อความนี้ทำให้อาจตั้งข้อสงสัยได้ว่า ปี ๑๐๙๘ ในตำนานพระบรมธาตุไม่น่าจะเป็นปีพุทธศักราช แต่ควรเป็นปีมหาศักราชมากกว่า ซึ่งปีมหาศักราช ๑๐๙๘ จะตรงกับ พ.ศ. ๑๗๑๙ หรือประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘
     เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องหาหลักฐานอื่นมาประกอบการวิเคราะห์ต่อไป
     การวิเคราะห์เอกสารประเภทตำนานนั้น หากไม่ทราบว่าอะไรคือแก่น อะไรคือกระพี้ ย่อมจะนำมาซึ่งความสับสนเรื่อยไปไม่สิ้นสุด
     แก่นข้อหนึ่งที่มองเห็นคือความสัมพันธ์ทางศาสนา ระหว่างลังกากับนครศรีธรรมราช หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การรับอิทธิพลศาสนาพุทธเถรวาท แบบลังกาวงศ์ของนครศรีธรรมราช
     เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในปีใด ?
คลิกดูภาพใหญ่     เรื่องพุทธทำนายปีที่สร้างเมืองในพระนิพพานโสตร เป็นเรื่องที่ค้นหาความจริงได้ยาก เพราะเป็นเพียงคำทำนาย ผู้แต่งมิได้ประสงค์จะบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์  เพียงแต่อ้างถึงพุทธทำนานเท่านั้น
     ส่วนเรื่องพระนางเหมชาลา และเจ้าชายทนทกุมาร ซึ่งตีความกันว่า น่าจะเกิดขึ้นในสมัยที่กษัตริย์ลังกาทรงพระนามว่า พระเจ้าทศคามมุนี (ซึ่งอาจเป็นองค์เดียวกับพระเจ้าทุฏฐคามณี แห่งอนุราธปุระ) ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. ๓๘๒ - ๔๐๖ นั้น ผู้เขียนวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอินเดียและลังกา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนครศรีธรรมราชเลยแม้แต่น้อย  ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารราชามหาวิหาร วัดกัลยาณีสีมา กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เขียนเล่าเหตุการณ์ครั้งที่พระนางเหมชาลา และเจ้าชายทนทกุมาร  นำพระบรมธาตุหนีข้าศึกจากเมืองทนทบุรี มายังลังกา เป็นเรื่องราวพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในลังกา ส่วนปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในตำนานที่เขียน เชื่อมโยงถึงเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เป็นการพยายามผูกเรื่องโยงให้สัมพันธ์กับตำนานลังกา  ทั้งนี้ เพราะจุดประสงค์ของผู้แต่งตำนาน ต้องการแสดงความสำคัญของพุทธศาสนา ที่รับมาจากลังกา จึงเขียนตำนานให้ไปอิงกับตำนานลังกา
     การปั้นเรื่องให้เจ้าสองพี่น้องมาขึ้นฝั่งที่หาดทรายแก้ว ภายหลังเรือสำเภาอัปปาง (เรือสำเภามุ่งหน้าไปลังกา) รอนแรมเวิ้งว้างเกาะไม้กระดานแผ่นเดียวข้ามมหาสมุทรอินเดียมาขึ้นฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู แล้วเดินทางบกข้ามคาบสมุทรมายังหาดทรายแก้ว อันเป็นที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมราช เพียงเพื่อมาฝังพระทันตธาตุ แล้วหลบซ่อนตัวเพื่อรอโอกาสโดยสารเรือกลับไปลังกานั้น เป็นได้แค่เหตุการณ์ปาฏิหาริย์
     อันที่จริง เส้นทางที่กล่าวมานี้ เป็นเส้นทางการเผยแผ่พุทธศาสนา มิได้หมายความว่าเจ้าสองพี่น้องจะเดินทางมาจริงๆ แต่ผู้แต่งตำนานซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระสงฆ์ มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความศรัทธา และคงได้รีบอิทธิพลจากตำนานลังกา จึงนำมาแต่งตำนานศาสนาในท้องถิ่นของตนบ้าง
     พระนิพพานโสตรซึ่งเป็นตำนานในรุ่นรัตนโกสินทร์ น่าจะได้รับอิทธิพลจากตำนานเมือง และตำนานพระบรมธาตุ ฉบับร้อยแก้วที่แต่งในสมัยอยุธยา เพราะฉะนั้น ศักราชใดๆ ที่ปรากฎในพระนิพพานโสตร ก็น่าจะมีน้ำหนักน้อยกว่าตำนานที่เขียนมาก่อนหน้านั้น
     สำหรับศักราช ๑๐๙๘ ผู้เขียนค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นปีมหาศักราช เนื่องจากรับกับหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับลังกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช รวมทั้งหลักฐานทางโบราณคดีอื่นๆ ที่พบในเมืองนครศรีธรรมราชด้วย

คลิกดูภาพใหญ่     ๒. จารึก ไม่มีจารึกหลักใดกล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุ แต่มีจารึกบางหลักกล่าวถึงพระนามของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช สอดคล้องกับชื่อที่ปรากฎในตำนาน จารึกดังกล่าวคือจารึกหลักที่ ๒๔ และหลักที่ ๓๕
     จารึกที่ ๒๔ หรือที่รู้จักกันในนามจารึกพระเจ้าจันทรภาณุ  พบที่วัดเวียง อำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี จารึกหลักนี้ ระบุศักราชซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๗๗๓ กล่าวถึงพระผู้เป็นใหญ่ในพรลิงค์ ทรงมีราชนิติเทียบเท่าพระเจ้าธรรมาโศกราช ทรงพระนามจันทรภาณุศรีธรรมราช แห่งราชวงศ์ปทุมวงศ์ (ศิลปากร ๒๕๒๙: ๑๔๖)
     จารึกที่ ๓๕ พบที่ดงแม่นางเมือง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ จารึกระบุปีมหาศักราชซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๗๑๐ กล่าวถึงมหาราชาธิราชผู้มีนามว่ากรุงศรีธรรมโศก ทำบุญอุทิศถวายพระสรีรธาตุของกมรเตงชคตศรีธรรมโศกผู้ล่วงลับ โดยมีราชโองการมายังพระเจ้าสุนัตให้เป็นผู้ดำเนินการตามกระแสพระราชโองการ ถวายที่นา ข้าทาส และสิ่งของบูชาพระธาตุฯ (หมายถึงพระสรีรธาตุของกมรเตงชคตศรีธรรมโศกผู้ล่วงลับ)
     จากหลักฐานที่ปรากฎในจารึก ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ขั้นที่ ๑ ระบุเรื่องราวของกษัตริย์ผู้มีสมัญญาว่า พระเจ้าศรีธรรมโศก อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘
     ส่วนจารึกอีกหลักหนึ่งที่พบในนครศรีธรรมราช ซึ่งรู้จักในชื่อจารึกพระเจ้ากรุงศรีวิชัย หรือจารึกหลักที่ ๒๓ (วัดเสมาเมือง) นั้น กล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัย หรือที่จารึกใช้คำว่า ศรีวิชาเยนทรราชา ศรีมหาราชา หรือพระราชาธิราช จารึกหลักนี้ระบุปีมหาศักราชซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๓๑๘ แสดงว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวยังไม่มีพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช หรือยังไม่มีพระราชาพระองค์ใด อ้างตนเทียบเท่าพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดียเลย
     สรุปหลักฐานจากจารึก ชื่อพระราชาผู้ทรงพระนามว่าศรีธรรมโศกราชเริ่มปรากฎตัวตนอยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘
Wat Mahathat and the Rise of Nakhon Si Thammarat
Nongkran Suksom
Bigger       Historically and geographically, the founding of Wat Mahathat, where the Lord Buddha's relic is housed in its principal stupa, was inseparable from the rise of the city of Nakhon Si Thammarat. However there is still another question needed to be answered: how old is Wat Mahathat ?
       It seems that the principal stupa itself is the oldest edifice in the temple. This stupa with decorated elephants around the base is under the influnce of Ceylonese Stupa and could not have been built before the 13th century, while other architectures in the temple are of much later period.
Bigger       According to some local chronicles, the building of Wat Mahathat as the center of the city was dated back to 6th century. But most artifacts found in Nakhon Sithammarat from that period were Hinduism icons ie. lingam and images of Vishnu. Moreover, the recent archaeological excavations revealed that berore the 10th century, the settlements around Nakhon Sithammarat were so scattered and unpopulous, though some sites might be dated as early as the beginning of the Christian era.
       So the rise of the city of Nakhon Si Thammarat, with the "Stupa of the Supreme Relic" and the Buddhist Kingship could not have been earlier than 13th century.