เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์ patwajee@gmail.com
ภาพประกอบ : จัน-เจ้า-ค่ะ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข่าวคราวเกี่ยวกับกลูต้าไธโอนในบ้านเรามักเป็นข่าวร้าย เป็นต้นว่าวัยรุ่นคลั่งความขาวกระจ่างใสสไตล์เกาหลี พากันไปฉีดหรือไม่ก็กินผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า “กลูต้า” หรือ “ไวต์” เป็นส่วนประกอบ แต่เกิดอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ปลอมจนหน้าเห่อ บางรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ล่าสุดผู้เขียนได้ข่าววงในมาจากโรงพยาบาลในจังหวัดภาคอีสานว่า หญิงวัยกลางคนฐานะดี การศึกษาระดับปริญญาเอก กินอาหารเพื่อสุขภาพและออกกำลังกายสม่ำเสมอ เสียชีวิตแบบฉับพลันทั้งที่ไม่เคยเป็นโรคร้ายใดๆ มาก่อน และแพทย์ไม่อาจหาสาเหตุการตายได้ เมื่อผ่าชันสูตรศพพบว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันทำลายเชื้อโรคในร่างกายต่ำมาก นอกเหนือจากสภาพผิวที่ดูขาววาวผิดธรรมชาติ จากการสอบประวัติพบว่าเธอกินกาแฟลดความอ้วนที่อ้างว่ามีส่วนผสมของกลูต้าไธโอนซึ่งโฆษณาตามโทรทัศน์และวิทยุเป็นประจำ แพทย์จึงตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าสารพิษจากผลิตภัณฑ์ข้างต้นทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจนเสียชีวิต
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างชื่อเสียให้กลูต้าไธโอนเป็นอันมาก และก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากลูต้าไธโอนคือสารที่ทำให้ผิวขาว ซึ่งไม่ใช่สรรพคุณที่แท้จริงที่วงการแพทย์ยอมรับและให้ความสำคัญ
แท้จริงกลูต้าไธโอนเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่งจนนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยดูที่สาเหตุของโรค (Functional Medicine) อย่างนายแพทย์มาร์ก ไฮแมน (Mark Hyman) ถึงกับยกให้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวแม่ เป็นสุดยอดของนักล้างพิษ หรือเป็นเจ้าแห่งระบบภูมิคุ้มกันเลยทีเดียว
เหตุที่กลูต้าไธโอนมีความสามารถกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษโลหะหนักต่างๆ เพราะการเป็นเซลล์ที่มีความเหนียวและเคลื่อนไหวล่องลอยไปทั่วร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระและสารพิษเช่นปรอทและโลหะหนักมาเกาะแล้วถูกนำไปกำจัด เคยมีรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในต่างประเทศสาธิตให้ผู้ชมเห็นภาพการทำงานของกลูต้าไธโอนอย่างชัดเจนด้วยการหย่อนลูกตุ้มแม่เหล็กที่ปลายมีลูกกลมสีเขียวซึ่งหมายถึงเซลล์กลูต้าไธโอน ลงไปในกลุ่มลูกกลมสีแดงซึ่งหมายถึงอนุมูลอิสระและสารพิษ ปรากฏว่ามีลูกกลมสีแดงติดมาเป็นแถว
นพ.มาร์กบอกว่าตลอดการรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อรังมากว่า ๑๐ ปี พบว่าผู้ป่วยแทบทุกประเภท เช่น ภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง โรคหัวใจ มะเร็ง ติดเชื้อ เบาหวาน ออทิสติก อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ไขข้ออักเสบ โรคไต โรคตับ ล้วนขาดกลูต้าไธโอนทั้งสิ้น จึงสรุปได้ว่าปริมาณกลูต้าไธโอนคือตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของร่างกาย ซึ่งบทความทางการแพทย์กว่า ๗.๖ หมื่นชิ้นก็มีข้อค้นพบเดียวกัน
ข่าวดีที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นย้ำกันมากนักก็คือ ร่างกายสามารถผลิตกลูต้าไธโอนได้ตามธรรมชาติโดยการกินอาหารและทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพ แต่ข่าวร้ายก็คือกลูต้าไธโอนในร่างกายจะลดต่ำลงเพราะอาหารแย่ๆ และมลพิษในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะจากภาคอุตสาหกรรม ยา ความเครียด ความเจ็บป่วย ความชรา การติดเชื้อและสัมผัสรังสีต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ นำมาสู่ภาวะติดเชื้อ มะเร็ง และโรคร้ายต่างๆ
เป็นที่น่าสังเกตว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่าง นพ.มาร์กไม่แนะนำให้เพิ่มปริมาณกลูต้าไธโอนแก่ร่างกายด้วยการกินหรือฉีดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกลูต้าไธโอนดังที่กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเรา ทั้งนี้เพราะสารกลูต้าไธโอนจัดเป็นโปรตีนซึ่งจะถูกย่อยสลายเปลี่ยนสภาพโดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ดังนั้นต่อให้กินผลิตภัณฑ์ราคาเป็นพันเป็นหมื่นก็ไร้ประโยชน์ ยังไม่รวมผลิตภัณฑ์ปลอมหรือใส่สารเคมีที่หวังเห็นผลรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งการฉีดกลูต้าไธโอนเข้าเส้นเลือดดำยังเป็นอันตรายถึงชีวิต
สอดคล้องกับความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ผสมผสาน (Integrative Medicine) อย่างนายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ (Andrew Weil) ที่เน้นย้ำว่าการเพิ่มกลูต้าไธโอนนั้นทำได้ไม่ยากและไม่ใช่การหาหยูกยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากิน หากแต่คือการลดรับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย และขับสารพิษออกจากร่างกายโดยดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยระบบขับถ่าย ออกกำลังกายเพื่อล้างพิษออกมากับเหงื่อ และบริหารการหายใจโดยหายใจออกยาวกว่าหายใจเข้า เช่นการหายใจแบบโยคะ เป็นต้น
เรื่องแบบนี้ฟังผู้รู้ไว้ไม่เสียหลายค่ะ ทั้งไม่เสียเงินและไม่เสียสุขภาพซึ่งอาจรวมถึงการเสียชีวิตนั่นเลยทีเดียว
เพิ่มกลูต้าไธโอนด้วยวิธีธรรมชาติ• กินอาหารที่อุดมด้วยซัลเฟอร์ เช่น กระเทียม ต้นหอม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี คะน้า ที่มา : Essential Glutathione: The Mother of All Antioxidants (http://drhyman.com/blog/conditions/glutathione-the-mother-of-all-antioxidants/)
|
ข้อควรระวังมีรายงานการใช้สารกลูต้าไธโอนในหลายกรณี อาทิ โรคทางระบบประสาทเช่นพาร์กินสัน โดยฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ ใช้รักษาภาวะการเป็นพิษจากโลหะหนัก พิษจากยาพาราเซตามอล ทำลายพิษในตับ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในผู้ป่วยเอดส์และมะเร็ง และใช้ต้านความชรา แต่การใช้รักษาฝ้าและทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเหมือนมีแสงออร่านั้นยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน และพบว่าเป็นผลข้างเคียงจากการใช้สารนี้ที่ใช้รักษาโรคอื่นแล้วผิวขาวขึ้น ๑. ผลข้างเคียงที่น่ากลัวคือการฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ขณะนี้มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนขนาดสูงมีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ๒. สารกลูต้าไธโอนที่ใช้กันอยู่นั้นลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สารนี้ในทางการแพทย์มีชื่อว่า Tationil ซึ่งผลิตโดยบริษัท Roche ประเทศอิตาลี แต่บริษัท Roche ประเทศไทย ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย และยังพบว่ามียาปลอมผลิตที่เวียดนามและจีนแต่พิมพ์ว่าผลิตในอิตาลี ๓. การฉีดสารกลูต้าไธโอนมักจะให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย ซึ่งการฉีดวิตามินซีขนาดสูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้ ๔. การได้รับสารกลูต้าไธโอนเป็นเวลานานๆ จะทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นในอนาคต วารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกาจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา ๕. การใช้สารกลูต้าไธโอนในผู้ป่วยมะเร็งทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดลดลง ๖. การได้รับกลูต้าไธโอนปริมาณมากมีผลต่อแร่ธาตุในกระบวนการเมตาบอลิซึม และตัวมันเองอาจกลายเป็นอนุมูลอิสระมาทำร้ายร่างกายได้ ๗. สารกลูต้าไธโอนที่ขายกันตามเว็บไซต์ราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหมื่นบาท แนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เมื่อคนไปซื้อหามาทดลองฉีดกันเองอาจเกิดอาการแพ้ ติดเชื้อ และผลข้างเคียงตามมามากมาย ที่มา : สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย (http://www.dst.or.th/news_details.php?news_id=62&news_type=oth) |