วันดี สันติวุฒิเมธี : รายงาน

เมื่อแผนการคุมกำเนิดผิดพลาด เช่น ถุงยางรั่ว ลืมกินยา เกินสองวัน นับวันผิด ฯลฯ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ หรือถูกข่มขืน “ยาคุมฉุกเฉิน” อาจนับเป็นทางเลือกที่ดี

แต่ในกรณีที่นอกเหนือไปจากนี้ หากทางเลือกของคุณยังคงเป็นยาคุมฉุกเฉิน … มีเรื่องอีกมากที่คุณต้องรู้

ปัจจุบันยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (emergency contraceptive pill) หรือ  “ยาคุมฉุกเฉิน” ซึ่งชื่อของมันบอกวัตถุประสงค์ในการใช้ไว้อย่างชัดเจน ได้ถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์มากขึ้น  และข้อมูล ในใบกำกับยาเองก็ขัดแย้ง กับผลงานวิจัยในหลายประเทศ ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้กลุ่มศึกษาปัญหายา  สถาบันวิจัยประชากรและสังคม  มหาวิทยาลัยมหิดล และสภาประชากร (The Population Council) จึงร่วมกัน จัดเวทีประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิชาการ และผู้สนใจขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ ๑ ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรม รอยัลริเวอร์  เพื่อเผยแพร่ ข้อมูลที่ถูกต้อง และหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมี รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล   และ คุณกนกวรรณ ธราวรรณ เป็นผู้ดำเนินรายการ  ร่วมด้วยวิทยากรจากภาครัฐ และภาคเอกชน

รศ.ดร.กฤตยา กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานสัมมนาครั้งนี้ว่า

“ทุกวันนี้บ้านเราต้องเผชิญกับความสูญเสียจากการทำแท้งปีละมากมายมหาศาล ถ้าเราเอาตัวเลขการทำแท้งที่พูดกัน ตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ปีก่อน ปีละ ๓ แสนคน คูณค่าใช้จ่ายคนละ ๑ หมื่นบาท ก็เป็นเม็ดเงินถึงปีละ ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงความเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการทำแท้ง ความบอบช้ำทางร่างกายและจิตใจ ที่ประเมินค่าไม่ได้   ดิฉันคิดว่าถ้าหากเราให้ความรู้เรื่องวิธีการใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง ก็น่าจะเป็นทางออกหนึ่งของผู้หญิงที่ไม่พร้อมจะตั้งครรภ์ และไม่ต้องการทำแท้ง”

ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นยาที่มีส่วนประกอบเหมือนยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา แต่มีปริมาณยามากกว่า มีสองแบบ คือ แบบฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว และแบบฮอร์โมนผสม ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสตินรวมกัน แบบฮอร์โมนเดี่ยว มีข้อดีคือมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าแบบฮอร์โมนผสม ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ และมีผลข้างเคียง (เช่น คลื่นไส้อาเจียน) น้อยกว่า ในตลาดยาบ้านเรามีเฉพาะยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบฮอร์โมนเดี่ยว อาจารย์กฤตยาอธิบายกลไกการทำงานของยาคุมฉุกเฉินว่า

“ยาคุมตัวนี้จะเข้าไปขัดขวางการตกไข่ หรือทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิม และอาจมีผลทำให้เนื้อเยื่อของผนังมดลูกที่กำลังก่อตัวหนาขึ้น เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่อ่อนแอลง รวมทั้ง มีผลอื่น ๆ ที่จะไปขัดขวางการผสมระหว่างไข่กับอสุจิโดยตรง  พูดง่าย ๆ ว่ามันจะทำงานตั้งแต่ตัวอ่อนยังไม่เกิด ถ้าตัวอ่อนเกิดแล้วมันจะไม่ไปขัดขวางการพัฒนาของตัวอ่อนเลย ดังนั้นยาตัวนี้จึงไม่ใช่ยาทำแท้ง”

โดยทั่วไปเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน เช่น คุมกำเนิดผิดพลาด ถูกข่มขืน ฯลฯ ผู้ใช้จะต้องกินยาเม็ด คุมกำเนิดฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน ๗๒ ชั่วโมง หรือภายในสามวัน และกินเม็ดที่ ๒ หลังจากนั้นอีก ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งวิธีนี้ได้รับการยืนยันผลจากงานวิจัยในหลายประเทศว่าสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง ๗๕-๘๕ เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็คือ  ได้มีผู้หันมานิยมใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดแบบปรกติ   ซึ่งวิธีดังกล่าวเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ทั้งยังเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่า ที่สำคัญผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินมากพอ   และข้อมูลในใบกำกับยาเองก็ยังเป็นปัญหา การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ จึงเกิดขึ้นตามมา

เภสัชกรสามิตร เหลียวเจริญ กล่าวถึงปัญหาของกลุ่มผู้หญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์ว่า

ทุกวันนี้มีผู้หญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์มาขอคำปรึกษาที่ร้านของผมมากขึ้นเรื่อย ๆ พอถามว่า ทำไมถึงปล่อยให้เกิดภาวะอย่างนี้ คำตอบที่ได้รับทำให้รู้ว่า ผู้หญิงหลายคนขาดความรู้เรื่องการคุมกำเนิดที่ถูกต้อง และบางคนก็ได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน เช่น เข้าใจว่ายาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาคุมธรรมดา โดยจะกินกี่ครั้งก็ได้ แต่ต้องกินหนึ่งเม็ดภายในหนึ่งชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ความเข้าใจผิดเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์

ขณะที่ผลงานวิจัยในหลายประเทศระบุว่า ต้องกินยาทั้งหมดสองครั้ง ครั้งละหนึ่งเม็ด แต่ข้อมูล ในใบกำกับยาที่มีขายในบ้านเรากลับระบุให้กินเพียงหนึ่งเม็ดภายในหนึ่งชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยที่ไม่มีผลงานวิจัยยืนยันถึงประสิทธิภาพของยาแต่อย่างใด (ทั้งนี้จากงานวิจัยของ สงวน ลือเกียรติบัณฑิต ซึ่งทำการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ พบว่า ข้อมูลในใบกำกับยาดังกล่าวมาจากงานวิจัยของผู้ผลิตเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น) ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้ยา ส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่าหากกินยาหลังร่วมเพศเกินหนึ่งชั่วโมง ยาจะไม่ได้ผล หลายคนจึงปล่อยเลยตามเลย จนแน่ใจว่าตั้งครรภ์แล้วค่อยกินยาขับหรือทำแท้ง ทั้งที่หากทราบข้อมูลการใช้ยา ที่ชัดเจนถูกต้องเพียงพอ  คือรู้ว่ายาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ภายในระยะเวลา ๗๒ ชั่วโมงหลังร่วมเพศ และรู้ถึงวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง คือต้องกินสองครั้ง ครั้งละหนึ่งเม็ดตามเวลาที่กำหนด ซึ่งจะทำให้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ จนต้องมาจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันภายหลัง

นอกจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินแล้ว วิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินอีกแบบหนึ่งที่ใช้ได้เมื่อถึงคราวจำเป็น คือ การกินยาคุมแบบธรรมดาแต่เพิ่มปริมาณมากขึ้น อาจารย์รวงทิพย์ ธัญพิสิฐ จากภาควิชาเภสัชศาสตร์สังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงวิธีกินยาแบบนี้ว่า

“ตามปรกติยาคุมแบบธรรมดาจะมีฮอร์โมนอยู่ในระดับต่ำ แต่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยต้องกินทุกวัน ถ้าต้องการกินเพื่อคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินจะต้องเพิ่มปริมาณยาเป็นสอง หรือสามเม็ด เพื่อให้ปริมาณฮอร์โมนสูงเท่า ๆ กับ ยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว แต่ผู้ใช้ยาควรศึกษา ให้ดีก่อนเพิ่มปริมาณยา เพราะยาคุมแบบธรรมดาแต่ละยี่ห้อมีปริมาณฮอร์โมนในยาแต่ละเม็ด ไม่เท่ากัน”

ปัญหาที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ คือ จำนวนผู้ใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่ได้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากงานวิจัยของ สงวน ลือเกียรติบัณฑิต  ซึ่งทำการสอบถามผู้ใช้ยาจำนวน ๖๐ คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างใช้ยาเฉลี่ย เดือนละ ๓.๖ เม็ด   ซึ่งแสดงว่ากลุ่มตัวอย่าง ใช้ยาอยู่เป็นประจำ ไม่ได้ใช้ในกรณีฉุกเฉินตามที่ควรจะเป็น นายแพทย์มงคล ณ สงขลา กล่าวถึงสถานการณ์การใช้ยาคุมฉุกเฉินในปัจจุบันว่า

“เพื่อนหลายคนที่เปิดร้านขายยาเล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้มีคนใช้ยาตัวนี้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ที่น่าตกใจก็คือ คนซื้อกลับเป็นผู้ชายซึ่งไม่ใช่คนกิน ส่วนผู้หญิงซึ่งเป็นคนกินกลับไม่ได้ซื้อ”

สาเหตุหนึ่งที่ผู้ชายจำนวนมากหันมาซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินให้คู่นอนของตน มาจากทัศนคติไม่ดีเกี่ยวกับถุงยางอนามัยที่ว่า “ใช้แล้วไม่เป็นธรรมชาติ”   หรือ “ถุงยาง เหมาะสำหรับโสเภณี”   บ้างก็อ้างว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่จากประสบการณ์ของอดีตนักเที่ยวซึ่งเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ด้วย พบว่าเหตุผลหนึ่งที่ผู้ชายนิยมใช้วิธีนี้ก็คือสะดวกดี  ผลจากทัศนคติดังกล่าว ผู้หญิงจึงตกอยู่ในอันตรายโดยไม่รู้ตัว เพราะการกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินบ่อยครั้ง ทำให้ผู้หญิงได้รับฮอร์โมนบางตัวสูงเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย และการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ยังทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ง่ายขึ้นด้วย ผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่ง เล่าประสบการณ์จากการทำงานกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานในโรงงานให้ฟังว่า

“เดี๋ยวนี้แฟชั่นยอดฮิตของผู้ชายในโรงงาน คือ พกยาคุมฉุกเฉินติดกระเป๋าตลอดเวลา เขาบอกว่าเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน ไม่เลือกสถานที่ และไม่เลือกเวลา ดิฉันถามเขาว่า เวลาให้ผู้หญิงกินพูดว่าอย่างไร เขาบอกว่า จะอ้างว่าเป็นยาบำรุงพอให้กิน บ่อยครั้งผู้หญิงเริ่มสงสัยก็เปลี่ยนเป็นใช้วิธีอื่นแทน”

อาจารย์สำลี ใจดี จากกลุ่มศึกษาปัญหายา กล่าวถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้ยาว่า

“งานวิจัยเมื่อปีที่แล้วได้ผลออกมาว่า ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงมากมายทั้งคลื่นไส้อาเจียน ปวดหัว ประจำเดือนมามาก หรือน้อยเกินไป ซึม ง่วง ท้องเสีย ทั้งยังพบว่ามีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งเต้านมด้วย ผู้หญิงที่กินยาตัวนี้มากเกินไป อาจเป็นอันตรายอย่างคาดไม่ถึง เพราะยาตัวนี้ผลิตขึ้นมาสำหรับกรณีฉุกเฉิน ไม่ใช่สำหรับใช้เป็นประจำ”

ในงานสัมมนาครั้งนี้   วิทยากรได้สรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเม็ดยาคุมกำเนิดฉุกเฉินว่า ควรเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แก้ไขใบกำกับยาให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด และองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงสาธารณสุข องค์กรพัฒนาเอกชน ร้านขายยาและสื่อมวลชนจะต้องช่วยกัน เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนเพื่อลดอันตรายจากการใช้ยาพร่ำเพรื่อ รวมทั้งเผยแพร่ยานี้ให้เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้หญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์แต่อยู่ในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ