เรื่อง : ปริญญา ก้อนรัมย์
ภาพ : ธีรภัทร กระจ่างวุฒิชัย
ผลงานเขียนดีเด่นจากงานค่ายสารคดี ครั้งที่ 9

อุปกรณ์ในการเล่นหมากยูโด้คือมีกระดานล้อมกรอบมีการแบ่งช่องภายใน กระบอกไม่ไผ่สำหรับใส่ลูกเต๋า ลูกเต๋า และตัวหมาก โดยแบ่งออกเป็นสี่สีคือ เหลือง เขียว แดง และน้ำเงิน

ณ…ช่องว่างระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ‘สายสัมพันธ์’ เป็นดั่งเส้นดายที่เย็บกระชับความเหินห่างให้กระเถิบกลายมาเป็นความใกล้ชิด แต่สิ่งใดกันเล่าที่ทำให้สายสัมพันธ์เหล่านั้นก่อเกิด คำตอบคงไม่ใช่ความว่างเปล่าแน่นอน กวาดสายตามองโลกรอบๆ ตัวในวันนี้ ผู้เขียนอาจจะทึกทักไปเองกระมังว่า ต้อนตอสายสัมพันธ์ของผู้คนในวันนี้ คือสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า ‘เงิน’

ใครที่หาเงินได้มากเป็นคนเก่ง ใครที่มีทรัพย์ศฤงคารผู้คนจะนับหน้าถือตา ทุกกลวิธีจึงถูก ‘มนุษย์’ สรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อจะหาเงินให้มากที่สุด เงินกลายมาเป็นดรรชนีชี้วัดความสุข-ความทุกข์ของมนุษย์ ราวกับเป็นพระเจ้าที่ใครหลายๆ คนต้องบูชา

กลับกันถ้าคำถามนี้ถูกเอ่ยขึ้นมาเมื่อสัก 30 ปีก่อน ในวันที่คนเราไม่ได้อุทิศชีวิตเพื่อ ‘เงิน’ กันถึงขนาดนี้ สิ่งใดกันเล่าที่ทำให้หัวใจของคนเราเคลื่อนไหว คำตอบที่เราได้อาจจะเป็นเพียงคำสั้นๆ หนึ่งคำว่า…‘มิตรภาพ’

บรรยากาศของวงหมากยูโด้บริเวณศาลเจ้าพ่อเสือ ผู้เล่นทุกคนต่างจับจ้องไปยังลูกเต๋าที่กำลังหมุนวนออกมาจากกระบอกไม่ไผ่

วงหมากยูโด้บริเวณริมแม่น้ำใกล้กับโกดังเกลือ ทุกคนต่างสนุกกับการเล่นหมากยูโด้ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นจนถึงคนรุ่นสูงอายุ

ทุกคนต่างมีท่าในการทอยทีเป็นเอกลักษณ์และถือว่าท่าทอยเต๋าเป็นสีสันอย่างหนึ่งของการเล่นยูโด้ด้วยเช่นกัน

อารยะธรรมที่สูญสลาย

แดดยามบ่ายส่งอุณหภูมิใต้ผิวกายให้ร้อนฉ่า ขับเม็ดเหงื่อบนใบหน้าให้ไหลเยิ้มลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก เหมือนจิตกรฝีมือแย่ที่แต่งแต้มผ้าใบโดยไม่ปาดสีจากพู่กัน เท้าของผมกำลังย่ำอยู่บน ‘ชุมชนสวนสมเด็จย่า’ ชุมชนเล็กๆ ในเขตคลองสาน ย่านฝั่งธนฯ หรือที่ชาวบ้านเคยเรียกกันว่า ‘ชุมชนซุ้มประตูแขก’

ชุมชนสวนสมเด็จย่า…เคยเป็นชุมชนหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองมากในอดีต เพราะด้วยภูมิศาสตร์ของชุมชนที่ตั้งติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้นสมัยกรุงศรีอยุธยาพ่อค้าชาวต่างชาติที่ต้องการมาค้าขายในพระนครฯ ต้องมาจอดเรือเทียบท่าที่ชุมชนสวนสมเด็จย่าแห่งนี้ เพราะเส้นทางที่ทอดยาวเข้าสู่พระนครฯ ไม่เอื้ออำนวยให้เรือขนาดใหญ่แล่นผ่านไปได้ ชุมชนแห่งนี้จึงกลายมาเป็นแหล่งพักพิงสินค้าของชาวต่างชาติ ส่งผลให้เกิดชุมชนที่หลอมรวมด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งของชาวไทย จีน และมุสลิม นับว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่และเป็นจุดยุทธศาสตร์การค้าที่รุ่งเรืองมากแห่งหนึ่งในอดีต

แต่อย่างไรก็ตามอดีตก็คืออดีต ปัจจุบันอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองกลับหลงเหลือแต่เพียงเศษซากของความทรงจำ วิถีชีวิตที่เริ่มจากแม่น้ำและอยู่ด้วยแม่น้ำหายไป เมื่อความเจริญเข้ามามีอิทธิพลต่อทางเดินชีวิตของผู้คนในชุมชน ‘ถนน’ กลายเป็นสิ่งสำคัญทดแทนแม่น้ำ ยิ่งแสงสีของความเจริญส่องสว่างเท่าใด คราบเงาของคนที่เคยอาศัยอยู่ในชุมชนก็เริ่มจางหายไปเท่านั้น แต่ถึงแม้ชุมชนสวนสมเด็จย่าจะสูญเสียสิ่งต่างๆ ไปมากเพียงไร ก็ยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำของผู้คนเหลือทิ้งไว้ให้ชุมชนแห่งนี้ ความทรงจำที่ว่าบรรจุอยู่ใน ‘หมากยูโด้’

“ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมก็เห็นมันแล้วละไอ้หมากยูโด้เนี่ย รุ่นพ่อผมเขาก็มีเล่นกันแล้ว จนตอนนี้พ่อผมเสียไปแล้วก็ยังมีเล่นกันอยู่ เขาว่ากันว่ามันเป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของอินเดีย โดย ชุมชนเดิมจะเรียกว่า ซุ้มประตูแขก มันเริ่มมาจากที่ชุมชนนั้นก่อนเลย” ต้อย ชายรูปร่างสูงใหญ่ ร่องรอยบนใบหน้าของเขาบ่งบอกได้ว่า เวลากว่า 50 ปีเขาได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมาอย่างโชกโชน เขาบอกกับเราว่าตนเองเป็นคนที่นี่ตั้งแต่เกิด มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงของชุมชนนี้มาตลอด และจากปากคำที่เราได้รับ ทำให้เรารู้ว่า หมากยูโด้ เป็นการละเล่นที่ปรากฏในชุมชนซุ้มประตูแขกมานมนานแล้ว

ที่มาของชื่อ ‘ชุมชนซุ้มประตูแขก’ มาจาก นายมูฮัมหมัด อาลี นานา พ่อค้าชาวอินเดียที่มาจากตำบลแลนเดอร์ เมืองสุหรัต ได้ระดมทุนร่วมกับพ่อค้าจากภูมิลำเนาเดียวกันก่อตั้งบริษัทชื่อ “Randery Braramakran Company” ขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1913 เพื่อดำเนินธุรกิจซื้อและให้เช่าที่ดิน ได้สร้างซุ้มประตูใหญ่สีขาว สลักอักษรย่อของบริษัทและปีที่ตั้งบริษัทไว้ว่า “1913 RBMCO” ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนในเวลาต่อมา

ในชุมชนซุ้มประตูแขก เคยมีคนมุสลิมจำนวนมากอาศัยอยู่ โดยเช่าที่พักของตระกูล นานา ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากในแถบนี้ แต่ในปี พ.ศ.2536 นายเล็ก นานา และนายแดง นานา ผู้ที่ถือครองกรรรมสิทธ์ของที่ดินแห่งนี้ ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 4 ไร่ ให้จัดสร้าง ‘อุทยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘สวนสมเด็จย่า’ จากการเวนคืนที่ดินในครั้งนั้นทำให้ชาวมุสลิมจำนวนกว่า 100 ครอบครัว ที่เช่าที่พักอยู่ในที่ดินแห่งนี้ ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานออกไป จนในปัจจุบันหลงเหลือครอบครัวชาวมุสลิมอยู่เพียงไม่กี่ครอบครัวในชุมชน นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่วัฒนธรรมอันทรงคุณค่าหลายอย่าง ถูกกลืนหายไปกับชุมชนที่สูญสลายไป แต่อย่างไร หมากยูโด้ ก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวชุมชนซุ้มประตูแขกเหลือทิ้งไว้ให้กับชุมชนแห่งนี้

เนื่องจากการเล่นยูโด้ใช้เวลาต่อเกมค่อนข้างนานจึงมีการพักดื่มน้ำหรือสูบบุหรี่บ้างในขณะที่ยังไม่ถึงตาที่จะทอยแต่สายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับเกม

พอผ่านพ้นตาการเล่นของตัวเองก็ถึงเวลาพักจิบน้ำบ้างเป็นระยะ

กระดานมิตรภาพหรือเกมการพนัน

“มันเป็นหมากที่มีความหลากหลาย แต่ไม่ซับซ้อน เรื่องการแพ้ชนะมันอยู่ที่ลูกเต๋าอย่างเดียว การเล่นหมากชนิดนี้เก่งก็ไม่กลัว แต่เขากลัวคนที่ทอยแต้มหกได้เยอะที่สุด เพราะแต้มหกมันทำอะไรได้ทุกอย่าง” ต้อย พูดถึงการละเล่นดั้งเดิมของชุมชนให้เราฟัง

กระดานของหมากยูโด้มีรูปลักษณ์แตกต่างจากกระดานหมากชนิดอื่นๆ ในกระดานจะมีลูกศรสี่ดอกวางหันหัวชนกันอยู่ แต่ละดอกจะมีสีที่ต่างกัน และรอบๆ ลูกศรทั้งสี่จะแบ่งเป็นช่องๆ เอาไว้ให้ตัวหมากเดิน จำนวนผู้เล่นก็สามารถเล่นได้แบบสองคน หรือสี่คนในกระดานเดียวก็ได้ ทั้งสี่คนจะยึดหัวหาดของลูกศรสีตัวเองไว้ และใช้ตัวหมากสีเดียวกันเดินวนจนครบรอบตารางที่แบ่ง เพื่อจะกลับมายังบ้านของตัวเอง หมากในกระดานของใกล้กลับบ้านได้หมดก่อนก็จะเป็นผู้ชนะ และสิ่งกำหนดชะตาชีวิตของตัวหมากก็คือ ‘ลูกเต๋า’

“เราจะมีหมากอยู่สี่ตัว มีตัวพร้อมเดินบนกระดานสองตัว และอยู่ในถังรอเกิดอีกสองตัว ถ้าทอยได้หกหนึ่งครั้งเขาเรียกว่า ‘เกิด’ จึงจะหยิบหมากในถังมาเดินได้ และระหว่างทางเดินของลูกศรจะมีสีแต้มเอาไว้ หากเราทอยได้หก เราสามารถข้ามตาไปหลบอยู่ในสีที่แต้มไว้ได้ในทันที และเมื่ออยู่ในนั้นใครจะทำอะไรตัวหมากเราไม่ได้ เขาเรียกว่า ‘หลบ’” ต้อย เล่าวิธีการเดินกับเรา พอเราหันไปสังเกตกระดานก็เห็นสีที่แต้มอยู่ระหว่างทางเดินของลูกศร ดอกละสองช่องอย่างที่บอกจริงๆ และนอกจากข้อดีที่ต้อยพูดไปแล้วของแต้มหก ยังมีสิทธิ์พิเศษของผู้ที่ทอยเต๋าดังกล่าวอยู่อีกอย่างที่เมื่อใดเราทอยได้แต้มหก เราก็จะสามารถทอยเต๋าอีกครั้ง และเอาคะแนนที่ทอยได้ใหม่มาสะสมกับที่ทอยได้ไปเรื่อยๆ เรียกว่าใครทอยได้ ‘แต้มหก’ มากยิ่งได้เปรียบ

“มันจะมีการ ‘เตะ’ กันด้วย ถ้าหมากของเราจี้ตูดติดกับอีกตัวหนึ่งข้างหน้า และเราทอยเต๋าได้แต้มหนึ่ง ตัวหมากที่อยู่ติดกับเราข้างหน้าก็จะถูกเตะออกจากกระดาน แล้วลงไปอยู่ในถัง ต้องรอทอยหกให้ได้ถึงจะได้เกิดใหม่” ต้อยอธิบายกติกาของเกมให้เราฟังอีกเรื่อยๆ ทำให้เรารู้ว่าหมากยูโด้มีกติกาหลายอย่างจริงๆ ทั้งการ ‘ขี่’ ที่เมื่อตัวหมากของเราเดินไปทับหมากของคนอื่น หมากของคนที่ถูกทับก็ต้องลากหมากเราไป ทำให้ย่นระยะเวลาในการเดินกลับบ้านลงไป เพราะไม่ต้องทอยเต๋าเพื่อจะหาแต้มเดินเอง หรือการ ‘ดัก’ เป็นการเอาหมากของเราไปดักไว้ที่หน้าบ้านของคนอื่น เมื่อหมากของบ้านสีที่ว่าเดินวนครบรอบพร้อมที่จะเข้าบ้านแล้ว แต่ดันดวงตกทอยเต๋าให้หมากเดินมาทับเรา เราก็สามารถพาหมากของเขาเดินออกจากประตูบ้านไป ทำให้เขาต้องเดินวนรอบกระดานเพื่อจะกลับมาเข้าบ้านอีกครั้ง เรียกว่าเป็นการซื้อเวลาให้เข้าบ้านช้านั้นเอง กติกาเหล่านี้ทำให้หมากยูโด้มีความสนุกและแตกต่างจากหมากชนิดอื่นๆ

“เมื่อเราวนกลับมาที่บ้านของเราอีกครั้งแล้ว ตัวหมากก็จะเดินเข้าไปในลูกศร และในลุกศรมันก็จะแบ่งตารางไว้ห้าช่อง หมากของเราจะต้องเดินไปให้สุดบ้าน ถึงจะเรียกว่า ‘สุก’ หรือเข้าบ้านแล้วนั้นเอง นอกจากเสียว่าเราทอยเต๋าได้หก หมากของเราในลูกศรก็จะสุกได้ทันที” กลับกันหากเราทอยเต๋าได้แต้มเกินกว่าจำนวนช่องที่เราต้องการ เมื่อเดินไปสุดบ้านเราก็ต้องเดินหมากของเราย้อนกลับมาตามจำนวนแต้มที่เหลือ ซึ่งพวกเขาคิดคำเปรียบเทียบที่ทะลึ่งตึงตัง เอาไว้เรียกว่า ‘ถอก’ อันมาจากรูปลักษณ์ของลูกศรที่คล้ายกับแก่นกายของผู้ชาย และกริยาการเดินของตัวหมากที่คล้ายกับกิจกรรมนั้นเสียเหลือเกิน

จากคำบอกเล่า…สมัยก่อนหมากยูโด้ล้วนเป็นที่นิยมของคนในชุมชนซุ้มประตูแขกเป็นอย่างมาก แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ชุมชนที่มีลดขนาดเล็กลง คนเก่าคนแก่ที่รู้จักการละเล่นชนิดนี้เริ่มกระจัดกระจายหายไป ทำให้คนที่ยังเล่นหมากชนิดนี้อยู่แทบจะนับหัวได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความนิยมหมากชนิดนี้เสื่อมลงไปก็คือ ‘การพนัน’

“เมื่อก่อนคนในชุมชนเขาทำงานเสร็จเขาก็นั่งเล่นเดิมพันกินน้ำ กินกาแฟกัน เหมือนเป็นเกมเชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชนนั่นแหละ แต่พอตอนหลังมันก็เริ่มมีการพนันเข้ามา มันก็เริ่มหายสาบสูญลดน้อยลงไป” ชั่วขณะที่พูดออกมาประกายตาของชายวัยห้าสิบหม่นแสงลง และฉายแววเศร้าสร้อยออกมา

เราพยายามนึกภาพตามถ้อยคำที่เขาพูดไว้ ภาพเวลายามเย็นที่คนในชุมชนออกมาล้อมวงนั่งเล่นหมากยูโด้ มือใช้เดินหมากพลางใช้ปากไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ราวกับกระดานเป็น ‘สะพาน’ คอยเชื่อมความสัมพันธ์ของชุมชน ให้เกี่ยวกระหวัดรัดตรึงเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน แต่ในทุกวันนี้ ภาพบนกระดานของหมากยูโด้แปรเปลี่ยนเป็นสนามต่อสู้ ที่คนใช้ห้ำหั่นแย่งชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยมีสิ่งๆ เดียวเป็นเดิมพันนั่นคือ ‘เงิน’

“ยูโด้มันทำให้พี่น้อง เพื่อนรักทะเลาะบาดหมางกันมามากแล้ว เพราะมันเป็นเกมที่เสียดหัวใจมาก ดักเข้า พาออก ดักเตะ บางครั้งเพื่อนรักกันก็ลุกขึ้นต่อยกัน แค่กระดานละ 5 บาท ของอย่างนี้มันไม่ได้อยู่ที่เงินทอง มันอยู่ที่จิตใจ” จากคำพูดของเขา ต้นเหตุของความบาดหมางอาจจะไม่ได้มาจากเม็ดเงิน แต่เป็นจิตใจของคนเราต่างหากที่ทำให้เราทำร้ายกัน

พูดคุยกันได้อีกสักพัก เราก็ตัดสินใจจบบทสนทนากับชายวัยกลางคนผู้นี้ลง และสอบถามถึงสถานที่ที่ยังมีการละเล่นหมากยูโด้อยู่ เพราะเราอยากเห็นการเล่นของจริง ว่าบรรยากาศที่ได้รับฟังมาจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบถึงสถานที่ที่เราต้องการว่า ‘ศาลเจ้าพ่อเสือ’ เป็นสถานที่หนึ่งที่ยังมีหมากชนิดนี้เล่นอยู่ เราสอบถามเส้นทางพบว่าไม่ไกลจากที่อยู่ตอนนี้มากนัก จึงตัดสินใจออกเดินทางไปทันที

เป็นการเข้าไปพูดคุยกับคนที่เล่นแถวนั้นของนักเขียนและถือโอกาสศึกษาวิธีการเล่นไปด้วย

ติดปลายนวม…

ดวงอาทิตย์ยามบ่ายยังคงทำงานของมันอย่างซื่อตรง แผ่ไอร้อนลามเลียสรรพสิ่งอย่างสม่ำเสมอ เมื่อไปถึงที่หมาย ภาพแรกที่เราเห็นคือศาลเจ้าขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแดดบ่ายร้อนเกินไปหรืออย่างไร จึงไม่เห็นผู้คนเดินทางมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้เลย กลับกันเราเห็นชายสองคนหน้าตาไล่ไปทางคนจีนนั่งอยู่ใต้เก๋ง เบื้องหน้าของชายทั้งสองมีกระดานหมากยูโด้วางเอาไว้ เมื่อเราเดินเข้าไปถึงทั้งสองกล่าวทักทายกับเราอย่างเป็นมิตรทันที

หลังจากการพูดคุยดำเนินไปได้ซักพัก เราก็ได้รู้ว่าชายเบื้องหน้าสองคนมีชื่อว่า รัตน์ และ เฮียตี๋ ทั้งสองเป็นขาประจำของกระดานยูโด้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ แม้ว่าช่วงหลัง เฮียตี๋จะบอกว่ามาเป็นผู้ชมเสียมากกว่า เพราะเดินสู้เขาไม่ค่อยได้ ระหว่างที่เก้าอี้ในวงยังว่างเพราะขาข้างที่เหลือยังเดินทางมาไม่ถึง เราก็ถือโอกาสยึดครองและซักถามสิ่งที่เราสงสัยกับพวกเขาทันที

“ที่นี่เขาเล่นกินตังค์ ที่หนึ่งกับที่สองจะได้ตังค์ ส่วนที่สามที่สี่จะเสียตังค์ และถ้าถูกเตะลงถังต้องเสียตังค์หนึ่งร้อย” เมื่อถามเข้าประเด็นรัตน์ก็บอกกับเราอย่างไม่มีปิดบัง ว่ากระดานยูโด้ของที่นี่ใช้เงินเป็นสิ่งเดิมพัน

“เขาเรียก 1,2,4 หนึ่งก็คือเตะเสียร้อยหนึ่ง สองก็คือที่สองเสียสองร้อย สี่ก็คือที่สี่เสียสี่ร้อย จับคู่กันที่หนึ่งได้ตังค์ที่สี่ ที่สองได้ตังค์ที่สามยกเว้นเตะนี่จ่ายสด” เฮียตี๋กล่าวเสริมถึงธรรมเนียมอัตราได้เสียในวงให้ฟัง

ระหว่างที่เราพูดคุยกัน ก็เริ่มมีคนทยอยเดินทางมาถึงศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ ดูจากลักษณะของผู้คนที่เดินทางมา ไม่น่าจะใช่ผู้ที่อยากมาสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากศาลเจ้าแห่งนี้สักเท่าไหร่ แต่น่าจะเป็นขาประจำของกระดานหมากยูโด้ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเรานี่เสียมากกว่า หลายๆ คนที่มาถึงเริ่มให้ความสนใจกับบทสนทนาของคนแปลกหน้าอย่างเรา เราหันกลับมาคุยกับ เฮียตี๋ และ รัตน์ อีกครั้ง พร้อมเอ่ยถามทั้งสองว่า ทำไมต้องเป็น ‘เงิน’ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องเดิมพันบนกระดานแห่งนี้

“เขาไม่ได้เรียกว่ากินตังค์ แต่เรียกว่าติดปลายนวม” รัตน์กล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ และเสริมต่ออีกว่า “ที่เขาเล่นกินตังค์เพราะเล่นธรรมดามันไม่สนุกไง มันก็รู้สึกเฉยๆ ของแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของลูกผู้ชาย” เรานึกภาพตามที่รัตน์เปรียบเปรยให้ฟัง ถ้านักมวยทั้งสองฝั่งติดใบมีดแหลมไว้ที่ปลายนวม ทุกการออกหมัดคงจะกระตุ้นเร้าจิตใจของทั้งคนชกและคนดูให้คอยสั่นไหว แต่ทุกความตื่นเต้นเต้นที่ได้มาก็แฝงไปด้วยภยันตรายจากอาวุธที่สวมใส่ แต่ดูจากท่าทางของผู้คนเบื้องหน้าเราเหล่านี้ กลับมิได้มีความกริ่งเกรงต่อใบมีดพวกนั้น ราวกับว่าชีวิตที่ผ่านมาได้อาศัยอยู่กับคมมีดที่แหลมคมเหล่านั้นจนคุ้นชินเสียแล้ว

ระหว่างที่เราจมอยู่ในห้วงความคิด ชายวัยห้าสิบปีที่เรามารู้ภายหลังว่าชื่อ ปิง ได้ติดตามฟังบทสนทนามาซักพัก ก็พูดขึ้นมาว่า “มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเวลาที่เราเล่นเกมนั่นแหละ ที่เฮ้ย! มึงเดิมพันกันหน่อยซิ…ของแบบนี้มันเป็นไปของมันเอง เราก็อย่าไปเล่นเยอะ ถ้าสมมติคุณมีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง คุณเล่นกลับไปเล่นสองร้อย อันนี้คุณก็ติดหนี้ คุณชีวิตก็พัง คนที่มาเล่นที่นี่ส่วนใหญ่เขาทำงานกันแล้วยามว่างเขาก็มาเล่นกัน”

“เราเดินกันก็แค่พอติดปลายนวมเท่านั้นแหละ ที่เราเล่นเนี่ยว่างๆ เราก็ได้อยู่ด้วยกัน พอมีเหตุการณ์อะไรก็เราก็ช่วยเหลือกันได้” รัตน์สำทับตามหลังมาอีก

เมื่อขาประจำที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีมาครบ วงกระดานยูโด้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ก็เริ่มขึ้น ทำให้เราต้องหยุดตั้งคำถามกับพวกเขาโดยปริยาย ครั้นกระดานพร้อมขาพร้อมคนทั้งสี่ก็กระโจนสู่เวทีโลดแล่นด้วยลีลาที่คุ้นเคยทันที

เราจับจ้องพวกเขาอยู่ซักพัก ทุกหมากที่วางทุกตาที่เดิน ล้วนมีเสียงหยอกล้อต่อกระซิกของคนในวงส่งผ่านให้แก่กัน บ้างเหน็บแนมให้เกมเกิดสีสัน บ้างไถ่ถามข่าวคราวในรอบวันระหว่างรอตาเดิน บ้างครุ่นคิดถึงวิธีหลบหนีคมมีดที่เรียงรายรอตนเองอยู่เบื้องหลัง แม้จะมีถ้อยคำหยาบโลนผุดโผล่ออกมาให้สมาชิกบางคนขุ่นข้องหมองใจกันบ้าง แต่ตามวิถีของลูกผู้ชายที่ไม่มีการลงไม้ลงมืออย่างไร้เหตุผล ต่างคนต่างจับจ้องและหาทางเล่นงานกันบนกระดานก็เท่านั้น

ตอนนี้สายใยของความสัมพันธ์ที่เรามิอาจเข้าใจได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว เรารับรู้ได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเราอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่สำหรับพวกเขาผู้ที่ก่อร่างสายใยพวกนี้ขึ้นมาเท่านั้น คำอำลาจึงถูกเอ่ยออกจากปากของเรา พร้อมเท้าที่ก้าวเดินจากมา ทิ้งเสียงเฮโลของพวกเขาไว้เบื้องหลัง…

 

เมื่อหัวใจเคลื่อนไหว

หากคนในสมัยก่อนใช้ ‘มิตรภาพ’ เป็นแรงในการขับเคลื่อนหัวใจ และสานสายใยก่อให้เกิดความสัมพันธ์ แต่ ณ วันนี้คนบางคนอาจใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘เงิน’ สร้างสายใยของความสัมพันธ์ที่แสนซับซ้อนและเข้าใจได้ยากยิ่งขึ้นมา เรานึกย้อนไปถึงคำพูดหนึ่งที่ ต้อย ชายวัยห้าสิบเคยกล่าวกับเราไว้ว่า

“ยูโด้มันสร้างคนขึ้นมาหลายๆ แบบ มันสร้างคนดีก็มี มันสร้างคนเลวก็มี มันเป็นที่คลายทุกข์ ที่ก่อกำเนิดทุกข์ได้ทั้งหมด อยู่ที่คนๆ นั้นจะพาตัวเองเข้าไปในฐานะอะไร”
หัวใจอาจจะต้องการบางสิ่งเพื่อทำให้มันเคลื่อนไหว แต่จะเป็นสิ่งใด คำตอบเราล้วนต้องค้นหาด้วยตนเอง…
หมายเหตุ : ขอสงวนการเผยแพร่ชื่อจริงและนามสกุลจริงของผู้คนในเรื่อง เพื่อเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น อย่างที่มนุษย์ควรจะปฏิบัติต่อมนุษย์

 

  • ในต่างประเทศปรากฏหลักฐานชี้ชัดว่า มีหมากกระดานที่มีรูปร่างและกฎกติกาการเล่นเหมือนกับ หมากยูโด้ ของชุมชนประตูแขก เป็นการละเล่นที่มาจากประเทศอินเดีย มีชื่อว่า ‘Ludo’ (อ่านว่า-ลูโด้) ทำให้สันนิฐานกันว่าหมากยูโด้ที่ปรากฏที่ชุมชนซุ้มประตูแขกนี้ น่าจะเข้ามาพร้อมเรือสินค้าของพวกแขกที่เข้ามาค้าขาย แต่ช่วงเวลาที่หมากเกมชนิดนี้ยังคงระบุได้ไม่ชัดเจน เมื่อวันเวลาผ่านไปเสียงเรียกชื่อจากเดิมของหมาก Ludo (ลูโด้) ก็ผิดเพี้ยนจนกลายมาเป็นหมากยูโด้ ในปัจจุบัน
  • หมาก Ludo ถูกพัฒนามาจากหมากกระดานเก่าแก่ของประเทศอินเดีย ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 6 ที่ชื่อว่า Pachisi มีรูปร่างกระดานและกฎกติกาคล้ายหมาก Ludo ในปัจจุบัน
  • ในการทอยลูกเต๋า ชาวชุมชนซุ้มประตูแขกจะมีประเพณีการเล่นที่ใช้กระบอกไม้ไผ่เป็นตัวบรรจุลูกเต๋า และใช้กระบอกดังกล่าวทอยลูกเต๋าออกมา โดยระหว่างที่ทอยนั้นปากกระบอกจะต้องสูงกว่ากระดานอย่างน้อยหนึ่งคืบ ด้วยเหตุผลที่ว่าหน้าเต๋าในกระบอกไม่มีใครมองเห็น จะได้ไม่สามารถโกงกันได้

ที่มา : วิกิพีเดีย
สืบค้นได้ที่ : http://en.wikipedia.org/wiki/Ludo_(board_game)