ส. แม่ปิง
ชมรมนักวิ่งขอบกำแพงจะขาดสีสันและเสียงหัวเราะไปทันที วันใดที่สนามหญ้าแห่งนี้ไม่มีเงาหนุ่มหน้าใสวัย ๓๐ ต้นๆ คนหนึ่งมาร่วมวิ่ง
เขาคนนี้มักจะวิ่งแทรกไปในกลุ่มเพื่อนๆ พูดแซวคนนั้นทีคนโน้นที พร้อมหัวเราะเสียงดังอย่างไร้เหตุผลแบบไม่ขาดสาย สร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่เพื่อนนักวิ่งได้เป็นอย่างดี
สิทธิเดช หรือ “ชัย” ของเพื่อนๆ เป็นชนเผ่าลีซอ (ลีซู) แห่งดอยวาวี ถิ่นชาดีของอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ชัยอยู่ที่บางขวางมา ๑๓ ปีแล้ว ด้วยคดียอดฮิต-มียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย วันที่ผ่านกำแพงบางขวางเข้ามา เขาเพิ่งอายุเพียง ๒๔ ปีเท่านั้น
ผมสนิทกับชัยที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นเพื่อนคู่หูวิ่งกับผมทุกเช้าแล้ว หนุ่มลีซอคนนี้ยังเป็นลูกศิษย์ของผมด้วย
ชัยเคยเล่าชีวิตตัวเองให้ฟังว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว มีน้องชายหนึ่งคน น้องสาวสองคน
หนุ่มลีซอคนนี้เรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ก็ต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ข้าวโพด ทำสวนลิ้นจี่ แต่ด้วยความขยันและมีหัวการค้า หลังออกจากโรงเรียนได้ไม่นานชัยก็เก็บเงินผ่อนรถยนต์กระบะได้ จากนั้นเขาหาซื้อของใช้ในครัวเรือน จำพวกกะละมัง ถัง ถ้วย รวมทั้งผัก ผลไม้ ขนม บรรทุกรถตระเวนเร่ขายตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่นานฐานะทางบ้านของเขาก็ดีขึ้นเป็นลำดับ
แต่แล้วจุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึงเมื่อชัยอายุย่างเข้า ๒๐ ปี แม้จะมีรายได้อย่างงามจากการตระเวนเปิดซูเปอร์มาร์เกตเคลื่อนที่ไปตามหมู่บ้านต่างๆ ทว่าหลังจากวัยผ่านเข้าขวบฝนที่ ๒๐ ชัยเริ่มติดเพื่อน เที่ยวกลางคืน ทำให้เงินที่เคยเหลือเก็บเริ่มขาดมือ เมื่อเห็นเพื่อนๆ มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ทิปนักร้องได้ครั้งละหลายพันบาท เขาจึงเลียบเคียงถามเพื่อนถึงวิธีหาเงินให้ได้มากๆ
นั่นคือจุดเริ่มที่ทำให้ชัยก้าวเข้าสู่วงการค้ายาเสพติด
ช่วงแรกเขารับจ้างขนยาเสพติดให้กลุ่มเพื่อนในหมู่บ้านเดียวกัน เที่ยวหนึ่งได้ค่าจ้างประมาณ ๑ แสนบาท โดยรับจ้างขนเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคเหนือเช่นจากจังหวัดเชียงรายมาส่งต่อที่เชียงใหม่หรือลำปาง ไกลที่สุดก็ไม่เกินจังหวัดตาก
ความโชคดีเป็นของเขาอยู่หลายปีจนมีเงินเก็บจากการรับจ้างขนยานรกหลายล้านบาท
ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างมีความสุข และดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นใจให้เขาไปหมด แม้กระทั่งเรื่องของความรัก เมื่อเขาพบรักกับนักศึกษาสาวจากสถาบันการศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากเธอสำเร็จการศึกษา ชัยจึงพาเจ้าสาวของเขาขึ้นไปสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกันบนดอย
เพื่อไม่ให้ภรรยาต้องเหงาจนเกินไป ชัยทุ่มเงินก้อนใหญ่เปิดร้านขายเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรให้เธอดูแล ไม่กี่เดือนหลังแต่งงาน ภรรยาคนสวยก็ตั้งครรภ์ สร้างความยินดีปรีดาให้แก่ชัยและพ่อแม่ของเขาที่จะได้หลานคนแรก
แม้จะแต่งงานแล้วและใกล้มีลูก ชัยยังติดเที่ยวและยังรับจ้างขนยานรกตามเดิม ไม่เพียงแต่จะรับจ้างขนยาเสพติดให้เพื่อนๆ เท่านั้น ซ้ำร้ายชัยยังผันตัวเองเป็นนายทุน สั่งยานรกจากประเทศเพื่อนบ้านมาจำหน่ายด้วย เขามีลูกน้อง จึงเริ่มสร้างเครือข่ายในพื้นที่ภาคกลาง เรื่อยมาถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ธุรกิจมืดของชัยดำเนินไปด้วยดี หลายคนเริ่มเรียกเขาว่า “พ่อเลี้ยง” สร้างความกระหยิ่มใจให้แก่เขาเป็นอย่างยิ่ง จนวันนั้นชัยสั่งให้ลูกน้องสองคนลำเลียงยาบ้า ๒ แสนเม็ดไปส่งลูกค้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเขานั่งบัญชาการอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่กับน้องเขย
บ่ายวันนั้นเองชัยได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องที่โทร.มาแจ้งว่าไม่อาจเดินทางต่อไปได้ เนื่องจากรถยนต์กระบะที่ซุกซ่อนยาบ้าจำนวนมหาศาลนั้นเกิดยางระเบิดที่กำแพงเพชร ขอให้ชัยช่วยขับรถลงมาดูไวๆ จะได้ไปต่อให้ทันเวลานัด
ด้วยประสบการณ์การรับจ้างขนยานรกมานาน ชัยซักลูกน้องว่าทำไมจึงไม่ใช้เงินที่ให้ติดตัวไว้จ่ายค่าซ่อมไปก่อน
“ก่อนที่จะออกเดินทาง ผมให้เมียเก็บไว้ เหลือติดตัวมาแค่ ๒,๐๐๐ บาท” ลูกน้องตอบมาตามสาย
แต่ขิงแก่ย่อมแรงกว่าขิงอ่อน มีหรือที่ลูกน้องระดับนี้จะหลอกเขาได้ ชัยรีบโทรศัพท์ไปหาเมียของลูกน้องคนนั้น เพราะเขาหวั่นใจว่าลูกน้องอาจถูกตำรวจจับแล้วบังคับให้โทร.ล่อเขาออกไปติดกับ
แม้เขาอ่านเกมได้ถูกทางด้วยเคยรับรู้เรื่องราวความผิดพลาดของเพื่อนๆ ในขบวนการค้ายานรกมาอย่างโชกโชน แต่คงเพราะกงล้อแห่งกรรมวิ่งมาทัน ในครั้งนี้ตำรวจที่จับกุมลูกน้องของชัยจึงซ้อนแผนขึ้นไปอีกชั้นด้วยการให้ลูกน้องของเขาโทรศัพท์ไปบอกเมียที่บ้านไว้ก่อนแล้ว
เมื่อได้รับคำตอบตามที่ตำรวจซักซ้อมไว้ ชัยจึงหลงเชื่อสนิทใจ ชวนน้องเขยขับรถตามลงไปกำแพงเพชร ทันทีที่เขาก้าวลงจากรถเก๋งคันงามตรงบริเวณที่ลูกน้องแจ้งว่ารถจอดเสียอยู่ ตำรวจจากหน่วยปราบปรามยาเสพติดจึงเข้ามาแสดงตัวพร้อมจับกุมพ่อเลี้ยงหนุ่มกับน้องเขยทันที
อิสรภาพของหนุ่มลีซอจึงสิ้นสุดลงนับแต่วินาทีนั้น
ชัยตกเป็นจำเลยที่ ๑ ในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และถูกส่งตัวเข้าเรือนจำจังหวัดกำแพงเพชรทันที ปีต่อมาศาลจังหวัดกำแพงเพชรมีคำพิพากษาประหารชีวิต ส่วนลูกน้องอีกสองคนให้จำคุก ๒๕ ปี เนื่องจากให้ความช่วยเหลือทางราชการจนนำไปสู่การจับกุมตัวการใหญ่
อดีตพ่อเลี้ยงจากดอยวาวีจึงถูกส่งตัวต่อมาที่เรือนจำกลางบางขวาง เนื่องจากเรือนจำกำแพงเพชรไม่มีอำนาจควบคุมนักโทษประหารชีวิต
ทุกวันเจ้าหน้าที่เขตควบคุมนักโทษประหารจะเปิดประตูกรงขังให้นักโทษออกมาเดินออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ หรือทำธุระส่วนตัวต่างๆ วันละ ๓ ชั่วโมง แบ่งเป็นช่วงเช้า ๒ ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐-๑๐.๐๐ น. และช่วงบ่ายระหว่าง ๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น. อีก ๑ ชั่วโมง
ที่เหลืออีก ๒๑ ชั่วโมงในแต่ละวัน ชัยต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องขังขนาด ๑๒x๖ เมตร รวมกับนักโทษประหารอื่นๆ อีก ๒๐ คนที่ถูกส่งมาจากเรือนจำซึ่งไม่มีอำนาจควบคุมนักโทษประหารชีวิตทั่วประเทศ
ลีซอหนุ่มเล่าถึงความรู้สึกระหว่างนั้นให้ผมฟังว่า แม้จะยังไม่ใช่นักโทษประหารชีวิตซึ่งคดีถึงที่สิ้นสุด และกำลังอยู่ระหว่างการขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ ๒๑ ชั่วโมงต่อวันภายในห้องแคบๆ ที่เหมือนหลุมลึก ร้อนอบอ้าวทั้งกลางวันกลางคืน ทำให้เขารู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันใจของคนเป็นพ่อก็เฝ้าคิดถึงแต่ลูกชาย
วันที่เขาถูกจับ ภรรยาเพิ่งตั้งท้องได้ ๒ เดือนกว่า อีก ๗ เดือนต่อมาภรรยาก็คลอดระหว่างที่เขานอนระทมทุกข์อยู่ในเรือนจำจังหวัดกำแพงเพชร
ความเครียดสะสมทำให้เขาต้องพบจิตแพทย์อยู่บ่อยครั้ง จนคิดว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาคงต้องกลายเป็นคนบ้าแน่ๆ
อย่างไรก็ตามชีวิตของชัยยังไม่ถึงฆาต เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากเขาให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน
แต่แล้วหลังคลอดลูกได้ไม่นาน ภรรยาสาวของเขาก็หนีลงจากดอย ปล่อยให้พ่อแม่ของเขาเลี้ยงดูหลาน ซ้ำร้ายหลังจากหนีไป ๒ ปี เธอก็กลับมาทวงลูกคืน กระชากออกไปจากอ้อมกอดของปู่และย่า
ชัยเล่าว่าเขาต้องเสียทั้งเมียและลูกโดยไม่อาจทำอะไรได้เลย
“ตอนที่เมียหนีไปมีสามีใหม่ ผมยังไม่เสียใจเท่ากับตอนที่เขามาพรากลูกจากพ่อแม่ผม”
เจ็ดปีหลังจากนั้นชัยไม่เคยได้ข่าวอีกเลยว่าลูกชายของเขาจะเป็นอย่างไรหรืออยู่ที่ไหน กระทั่งวันหนึ่งอดีตภรรยาได้พาลูกชายวัย ๙ ขวบที่มีใบหน้าถอดแบบจากเขามาเยี่ยมที่บางขวาง และบอกว่าเลิกกับสามีใหม่แล้ว เธอมาขอคืนดีและรับปากว่าจะเลี้ยงดูลูกรอจนกว่าเขาจะพ้นโทษ
“ลูกต้องการพ่อ” อดีตภรรยาออดอ้อน
ด้วยความรักลูก ชัยยินดีให้อภัยเธอ พร้อมกับตั้งความหวังจะกลับไปใช้ชีวิตคู่กับเธออีกครั้งหลังวันพ้นโทษ
แต่แล้วอีกไม่นานเธอก็หอบลูกไปมีสามีใหม่อีก ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกเสียใจหรือรู้สึกสูญเสียใดๆ เพียงแต่เป็นห่วงลูกชายเท่านั้น
หลังลงจากแดนประหารและถอดตรวนที่ผูกข้อเท้าทั้งสองข้างออกแล้ว เช้าๆ ชัยจึงมาร่วมวิ่งกับเพื่อนๆ ชมรมนักวิ่งริมขอบกำแพง ซึ่งเรามักจะจับคู่กันวิ่ง เพื่อจะได้มีเพื่อนพูดคุยเรื่องต่างๆ ทั้งชีวิตประจำวันและเรื่องราวในอดีต ชัยมักจะวิ่งคู่กับผมเสมอ
“๑๗ ! ๑๘ ! ๑๗ ! ๑๘ !…”
ลีซอพ่อหม้ายเมียหนีมักจะตะโกนให้เพื่อนได้ยินระหว่างวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า เขาว่านั่นเป็นอายุของภรรยาที่เขาจะออกไปหาใหม่หลังพ้นคุก แต่การจะไปแต่งงานกับสาวรุ่นหลานนั้นต้องทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงเสียก่อน
เขาคงพูดเล่น เพราะผมคิดว่าแท้จริงแล้วการที่ชัยมาวิ่งออกกำลังกายกับเพื่อนๆ ทุกเช้า ก็เพื่อต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีชีวิตอยู่รอดจากขุมนรกบนดินแห่งนี้
บางคนออกวิ่งเพื่อต้องการให้มีชีวิตรอดกลับไปพบหน้าลูก บางคนวิ่งเพราะต้องการออกไปตอบแทนบุญคุณพ่อ และหลายๆ คนวิ่งเพื่อหวังจะมีชีวิตรอดกลับไปซบตักแม่ที่โหยหามาแสนนานอีกครั้ง
เบื้องหลังของนักวิ่งริมขอบกำแพงกลุ่มนี้ยังมีร่องรอยและเส้นทางให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่าเส้นทางไหนควรเดิน เส้นทางไหนไม่ควรเหยียบย่ำ ซึ่งแม้เพื่อนๆ และตัวผมเองไม่อาจจะย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วได้อีก แต่รอยอดีตของพวกเราอาจแก้ไขได้โดยคนรุ่นหลัง ด้วยการไม่เดินซ้ำไปบนรอยเท้านั้นอีก
ภาพของคนกลุ่มเล็กๆ พากันวิ่งออกกำลังกายรอบสนามหญ้าริมขอบกำแพงสูงที่มีลวดหนามและสายไฟฟ้าแรงสูงล้อมรอบสลับกับป้อมปืนที่เรียงรายอยู่ทุกทิศ ยังแสดงให้เห็นพลังของความหวัง ที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด ภายใต้สถานการณ์อย่างไร มนุษย์ทุกคนจะต้องมีความหวัง
ทุกรอยเท้าที่พวกเขาเหยียบย่ำลงไป ล้วนมีความหวังแฝงเร้นอยู่ทุกย่างก้าว ความหวัง…ที่จะกลับไปสู่อ้อมกอดของใครสักคนที่เรารักมากที่สุด ถือเป็นการเติมพลังแห่งชีวิตที่แปลกแตกต่างไปจากการวิ่งออกกำลังกายในที่แห่งใดบนโลกใบนี้
เกี่ยวกับผู้เขียน
คนแถบต้นแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ จบปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ ๒) จากประเทศอินเดีย เคยทำงานประจำโต๊ะต่างประเทศของหนังสือพิมพ์ชั้นนำฉบับหนึ่ง เคยเล่นการเมืองท้องถิ่น ปัจจุบันเป็นนักโทษประหาร แดน ๒ เรือนจำกลางบางขวาง ได้เข้าร่วมอบรมในหลักสูตร “โครงการเรื่องเล่าจากแดนประหารรุ่น ๑” และมีผลงานตีพิมพ์ในหนังสือ อิสรภาพบนเส้นบรรทัด ๑๓ นักโทษประหาร สำนักพิมพ์สารคดี งานเขียนชุด “วิ่ง…สู่อ้อมกอด” นี้ถือเป็นผลงานลำดับที่ ๒ ของเขาคือบทบันทึกแห่งความผิดพลาด และความฝันที่ไม่มีใครต้องการจะเผชิญแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว