พระไพศาล วิสาโล
ภาพประกอบ : อ้อย กาญจนะวณิชย์
ระหว่างการสนทนากับเพื่อนในวงอาหาร หญิงสาวคนหนึ่งเล่าว่า “พ่อแม่รักฉันมากและแสดงความรู้สึกออกมาบ่อยๆ เวลาฉันไม่เห็นด้วยกับแม่ แม่จะหยิบทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่ฉันทันที คราวหนึ่งแม่ขว้างมีดใส่ฉัน ฉันต้องเย็บ ๑๐ เข็มที่ขา หลังจากนั้นไม่กี่ปีพ่อก็บีบคอฉันตอนที่ฉันเริ่มเที่ยวกับผู้ชายที่ฉันชอบ” แล้วเธอก็ตบท้ายว่า “พ่อแม่เป็นห่วงฉันจริงๆ”
ใครได้ฟังก็ย่อมรู้ว่า ความรู้สึกของพ่อแม่ที่มีต่อเธอเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ความรักหรือความห่วงใยอย่างแน่นอน เพราะอาการแสดงออกของพ่อแม่ตามที่เธอเล่านั้นชัดเจนมากว่าเต็มไปด้วยความโกรธและความรุนแรง ซึ่งคงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้ง แต่เกิดเป็นประจำ
อะไรทำให้เธอยืนยันว่านั่นเป็นความรักที่พ่อแม่มีให้แก่เธอ ใช่หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเธอยอมรับไม่ได้ว่าพ่อแม่เกลียดเธอ แม้พฤติกรรมของพ่อแม่จะแสดงออกอย่างชัดเจน แต่เธอเลือกที่จะ“ตีความ” ไปในทางตรงกันข้าม
บางครั้งความจริงเป็นเรื่องเลวร้าย ยอมรับเมื่อใดก็เจ็บปวดเมื่อนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะปฏิเสธความจริง บางคนใช้วิธีตีความปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปในแง่อื่น แต่หลายคนเลือกที่จะปฏิเสธปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเอาเลย
อะไรทำให้เราปฏิเสธความจริงทั้งๆ ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งหรืออยู่ต่อหน้าต่อตา
คำตอบคือความกลัว
บางคนกลัวว่าพ่อแม่ไม่รักหรือเพื่อนไม่คบ เพราะนั่นหมายถึงความรู้สึกไร้คุณค่า ตัวตนไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดรวดร้าวมากเท่ากับการเป็น nobody หรือไม่มีตัวตนในสายตาคนอื่น
ความกลัวตายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนปฏิเสธความจริง คนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมเชื่อเมื่อหมอยืนยันผลวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็ง ในใจเขานั้นได้แต่ตะโกนว่า “ไม่จริงๆ” บางคนถึงกับทักท้วงหมอว่าวินิจฉัยผิดหรือหยิบฟิล์มผิดหรือเปล่า
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีชาวยิวหลายล้านคนถูกกวาดต้อนไปยังค่ายนรกเพื่อรอการสังหารด้วยการรมแก๊สพิษ ปรากฏว่านักโทษหลายคนไม่เชื่อว่ามีห้องรมแก๊สพิษหรือการสังหารโหดในค่ายของตน ทั้งๆ ที่เห็นเตาเผาศพส่งกลิ่นไหม้คละคลุ้งอยู่ห่างไม่กี่ร้อยหลา รวมทั้งได้ยินข่าวลือดังกล่าววันแล้ววันเล่า พวกเขาปฏิเสธความจริง เพราะยอมรับไม่ได้ว่าตนเองกำลังจะตาย
มิใช่แต่คนที่จิตใจอ่อนแอหรือสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงเท่านั้นที่ไม่กล้ายอมรับความจริงอันเจ็บปวด แม้กระทั่งคนที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจหรือมีอำนาจก็อาจมีอาการดังกล่าวด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เพราะกลัวความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้
เมื่อจอมพลเกอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้รับรายงานว่ามีผู้พบเห็นเครื่องบินขับไล่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นครั้งแรกในเขตแดนเยอรมนี ซึ่งไกลจากแนวรบของฝ่ายอักษะมาก นั่นหมายความว่าฝ่ายสัมพันธมิตรได้พัฒนาเครื่องบินพิสัยไกลที่สามารถทิ้งระเบิดปูพรมเยอรมนีได้อย่างสบาย เขาตกใจมาก เฝ้าแต่บอกตนเองว่าเป็นไปไม่ได้ ใช่แต่เท่านั้น เขายังมีคำสั่งกลับไปว่า “ผมขอยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเครื่องบินขับไล่ของอเมริกันมาไม่ถึงเมืองอาเชิน (Aachen) ผมขอออกคำสั่งอย่างเป็นทางการกับคุณว่า เครื่องบินพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น”
แต่ปฏิกิริยาของเกอริงนั้นยังเทียบไม่ได้กับสตาลินซึ่งเป็นตัวอย่างคลาสสิกของผู้นำที่ปฏิเสธความจริงจนวินาทีสุดท้าย ทั้งๆ ที่ข้อมูลข่าวสารพรั่งพรูมาจากทุกทิศทุกทาง
ฮิตเลอร์นั้นประกาศมานานแล้วว่าต้องการยึดรัสเซีย แม้มีการทำสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศว่าจะไม่รุกรานกันใน ค.ศ.๑๙๓๙ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะระเบิด แต่หลังจากที่เยอรมนีบุกโปแลนด์และประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร ก็มีเค้าลางว่าเยอรมนีจะบุกรัสเซีย
สตาลินรู้ดีว่ารัสเซียยังไม่พร้อมทำสงครามกับเยอรมนี จึงหวังพึ่งมาตรการทางการทูตเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง และฝากความหวังว่าวิธีการเหล่านั้นจะได้ผล อย่างไรก็ตามสถานการณ์บ่งชี้ว่าเยอรมนีมีแผนบุกรัสเซียแน่นอน นายพลรัสเซียหลายคนพยายามเตือนสตาลินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สตาลินไม่เชื่อ คราวหนึ่งเขาถึงกับบอกนายพลเหล่านี้ว่า “พวกเยอรมันกลัวเรา เรื่องนี้เป็นความลับนะ จะบอกคุณให้ ทูตของเราได้คุยกับฮิตเลอร์อย่างจริงจังเป็นการส่วนตัวแล้ว ฮิตเลอร์บอกเขาว่าโปรดอย่ากังวลที่ทหารของเรารวมพลกันที่โปแลนด์ กองทัพของเรากำลังฝึกซ้อมกันอยู่”
แม้ได้รับคำเตือนจากอังกฤษเรื่องการบุกของเยอรมนี สตาลินก็ไม่เชื่อ โดยให้เหตุผลว่าเป็นลูกไม้ของอังกฤษที่ต้องการยุแยงให้รัสเซียกับเยอรมนีผิดใจกัน ครั้นสายลับของรัสเซียยืนยันข่าวดังกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน สตาลินก็ตอบว่า “ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่เปิดแนวรบสองด้านในเวลาเดียวกันหรอก” (คือแนวรบด้านตะวันตกกับด้านตะวันออก)
หนึ่งเดือนครึ่งก่อนเยอรมนีบุกรัสเซีย สตาลินได้รับรายงานว่าเยอรมนีส่งเครื่องบินมาลาดตระเวน แทนที่จะตื่นตัว เขากลับบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าฮิตเลอร์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
สตาลินปฏิเสธทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับยุทธการของฮิตเลอร์ เขาไม่ยอมรับ หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้น เขายอมรับไม่ได้ว่าฮิตเลอร์มีแผนร้ายต่อรัสเซีย จนกระทั่งวันที่เยอรมนีกรีธาทัพบุกรัสเซีย สตาลินก็ยังคิดว่านี่อาจเป็นแผนการยั่วยุของนายพลเยอรมัน “ฮิตเลอร์คงไม่รู้เรื่องนี้” ดังนั้นเขาจึงไม่ออกคำสั่งให้ต่อต้านทหารเยอรมันจนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากสถานทูตในเบอร์ลินเสียก่อน
ต่อเมื่อได้รับคำยืนยันจากทูตเยอรมันประจำรัสเซีย สตาลินจึงต้องยอมรับว่าเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียจริงๆ เขาถึงกับนิ่งงันอยู่นาน สีหน้าเหนื่อยล้าและหมดสภาพ ยิ่งได้ข่าวเป็นระยะๆ ว่าเยอรมนียึดได้เมืองแล้วเมืองเล่า เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ สถานการณ์ของฝ่ายรัสเซียวิกฤตหนัก เพราะถูกตีแตกไม่เป็นขบวน มีช่วงหนึ่งสตาลินถึงกับเก็บตัว ไม่คุยกับใคร และไม่สนใจอะไรเลย ได้แต่เดินไปเดินมาเหมือนคนไร้สติ ผลก็คือรัฐบาลของรัสเซียเป็นอัมพาต ๒ วันเต็มๆ ไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมาจากส่วนกลาง แต่ละเมืองที่ถูกโจมตีต้องหาทางเอาตัวรอดกันเอง
กว่าสตาลินจะฟื้นจากฝันร้ายและพร้อมเผชิญหน้ากับความจริง ก็ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ แต่ถึงตอนนั้นรัสเซียก็เพลี่ยงพล้ำไปมากและถอยร่นจนเปิดทางให้กองทัพเยอรมันบุกประชิดกรุงมอสโกได้ในเวลาเพียง ๓ เดือน
ความกลัวพ่ายแพ้แบบหมดรูปทำให้สตาลินไม่ยอมรับความจริงว่าเยอรมนีมีแผนบุกรัสเซีย เขาไม่เพียงปฏิเสธข่าวกรองนานาชนิดที่มาจากทุกสารทิศ แต่ยังพยายามให้เหตุผลทั้งแก่ตนเองและคนอื่นเพื่อยืนยันความเชื่อของตน จนถึงขั้นมั่นอกมั่นใจว่าฮิตเลอร์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนอื่นคิด จะว่าไปแล้วในส่วนลึกคนฉลาดอย่างสตาลินย่อมรู้ดีว่าฮิตเลอร์คิดอะไร แต่เขาไม่อาจยอมรับความจริงดังกล่าวได้ จึงพยายามหลอกตัวเองด้วยเหตุผลและข้ออ้างสารพัด จนกลายเป็นคนดื้อด้านและโง่เขลาในสายตาของผู้คนเป็นอันมาก
กรณีสตาลินยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถของคนเราในการหลอกตนเอง ยิ่งฉลาดเท่าใดก็ยิ่งสรรหาเหตุผลสวยหรูมาเป็นกำแพงปิดกั้นความจริง ยิ่งมีอำนาจล้นฟ้าด้วยแล้วก็อาจบังคับข่มขู่เพื่อมิให้ความจริงนั้นมาถึงตัวหรือย้ำเตือนให้กระเทือนจิตได้ ดังสตาลินแสดงอาการกราดเกรี้ยวกับคนที่พูดไม่ถูกหู จนไม่มีใครกล้าบอกข่าวร้ายแก่เขา แม้กระทั่งทันทีที่รู้ข่าวว่ากองทัพเยอรมันถล่มชายแดนรัสเซียแล้ว นายทหารคนสนิทก็ยังเกี่ยงกันแจ้งข่าวนี้แก่สตาลินเพราะกลัวภัยจากเขา
จะว่าไปแล้วการปฏิเสธความจริงด้วยวิธีการต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีปกป้องจิตใจตนเองไม่ให้เป็นทุกข์หรือเจ็บปวด แม้จะมีประโยชน์แต่ก็เป็นโทษในระยะยาว เพราะทำให้ไม่สนใจเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความสูญเสียที่ตามมาจึงมักร้ายแรงกว่าการยอมรับความจริงเสียตั้งแต่แรก
สตาลินนั้นมีเดิมพันสูง มีราคามหาศาลที่ต้องจ่ายหากพ่ายแพ้แก่เยอรมนี เพราะเขาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศที่ยิ่งใหญ่ จึงยอมรับข่าวร้ายจากชายแดนไม่ได้ แต่จะว่าไปแล้วเดิมพันอะไรจะสูงเท่ากับชีวิต สูญเสียตำแหน่งหรือทรัพย์สมบัติก็ไม่ร้ายเท่ากับสูญเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะไม่ได้เป็นใหญ่อย่างสตาลิน เราทุกคนก็อาจมีอาการอย่างเดียวกับเขาหากพบว่าความตายกำลังจะมาถึงตัว นั่นคือไม่ยอมรับความจริงว่าตนกำลังจะตาย
อันที่จริงแม้ความตายยังไม่ถึงกับประชิดตัว แต่ในส่วนลึกของคนส่วนใหญ่นั้นไม่เชื่อว่าตนจะต้องตายด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังว่ามีคนตายอยู่เนืองๆ หรือถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ใจก็ไม่ได้เชื่ออย่างนั้น ดังนั้นเมื่อถึงคราวที่จะต้องตาย จึงยอมรับไม่ได้ พยายามปฏิเสธ ผลักไส และต่อต้าน ซึ่งเท่ากับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้แก่ตนมากขึ้น
ปัญหาใดๆ ก็ไม่ร้ายแรงหรือน่ากลัวเท่ากับใจที่ปฏิเสธปัญหา เพราะนั่นหมายถึงความประมาท นิ่งดูดาย งอมืองอเท้า ปล่อยให้ปัญหานั้นจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว
ถึงตอนนั้นแล้วหากใจยังปฏิเสธ ผลักไส ตีโพยตีพาย ไม่ยอมรับความจริง ก็ยิ่งเจ็บปวดเพราะถูกความจริงโบยตี จะดีกว่ามากหากยอมรับความจริงเสียแต่ต้น แม้จะเจ็บปวดทีแรก แต่ก็มีโอกาสที่จะรับมือกับมันได้ดีขึ้น ยิ่งยอมรับแต่เนิ่นๆ เท่าไรก็ยิ่งมีเวลาเตรียมการมากเท่านั้น อีกทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ดังผู้ที่เจริญมรณสติอยู่เสมอ ไม่เพียงจะตื่นตระหนกน้อยลงเมื่อความตายมาประชิดตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมัน คือเห็นธรรมจากความตาย ทำให้ปล่อยวางและเผชิญความตายด้วยใจสงบ