งานจากค่ายสารคดีครั้งที่ 10
เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร
ภาพ อภินัยน์ ทรรศโนภาส

 

ลิ้ม ฮะ หลี ร้านขายมีดหมู - ละแล้ว ทิ้งแล้ว ทิ้งสิ่งที่ถูกส่งต่อจากคนรุ่นเก่าก่อน
ลิ้ม ฮะ หลี ร้านขายมีดหมู - สิ่งที่ถูกส่งต่อ ค่อยๆเลือนลางลงเรื่อยๆ กำลังก้าวไปสู่สิ่งใหม่ ที่อาจจะดีกว่าชัดเจนกว่า
เฮียบเตียง ร้านขายขนมเปี๊ยะ - สุขใจ ที่ได้ทำ
เฮียบเตียง ร้านขายขนมเปี๊ยะ - ยิ้มให้กับสิ่งที่ผ่านพ้นมาอย่างภาคภูมิ
เฮียบเตียง ร้านขายขนมเปี๊ยะ - ยังคงรอคอยคนสานต่อ...
 เฮียบเตียง ร้านขายขนมเปี๊ยะ - รุ่นสุดท้าย...เดียวดายเพียงลำพัง
 เฮงเสง ร้านทำหมอน - เครื่องทุ่นแรง ทำงานได้อย่างเที่ยงตรง ยังสู้ความตั้งใจ สุดแสนจะประณีตมิได้
เฮงเสง ร้านทำหมอน -เจ็บแล้วจำ ทำจนชำนาญ
เฮงเสง ร้านทำหมอน -จากรุ่น สู่รุ่น

 

โลกหมุนเร็วจนทุกคนรู้สึกได้…

การเกิดขึ้น  ตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็วของทุกสรรพสิ่งเป็นมาตรวัดความเร็วของโลกที่กำลังหมุน  ความเร็วนี้ได้หมุนเอาองค์ความรู้และวิถีชีวิตที่ถูกส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่นให้หลุดหายไปตามแรงเหวี่ยงของโลก   วิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีนแถวย่านตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ก็เช่นกัน  หลากหลายอาชีพที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู้รุ่นกำลังเดินมาถึงช่วงสุดท้าย

คำถามคือ  ในช่วงสุดท้ายนี้  รุ่นสุดท้ายจะเลือกดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร

มีความหวัง  หันหลังให้อดีต  หรือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ลิ้มฮะหลีมีดหมู…เพื่อนคู่เขียงกว่า 50 ปี

สายตาของฉันไปสะดุดที่ป้ายสีแดงเล็กๆโดยบังเอิญ

 

“ลิ้มฮะหลีมีดหมู”

หญิงวัยกลางคนนั่งหันหลังให้ป้ายนั้นราวกับกำลังหันหลังให้อดีต  ฉันเข้าไปสอบถามด้วยคำถามง่ายๆว่า  “ขายเฉพาะมีดหมูเหรอคะ”  เลยได้คำตอบที่ทำให้ฉันอยากหยุดอยู่ที่นี่

“ใช่หนู  ร้านนี้ขายเฉพาะมีดหมู ป้าเป็นรุ่นสุดท้ายที่ขาย  เป็นร้านสุดท้ายในย่านตลาดน้อยแล้ว”

รุ่นสุดท้าย…ร้านสุดท้าย  คนพูดอาจไม่คิดอะไร แต่คนฟังใจหายอยู่ตรงนั้น

คุณป้า ณัฎฐรัตน์  แซ่ลิ้ม  เจ้าของร้านพาพวกเราเดินชมร้านบริเวณชั้นล่างของตึกสองชั้นเก่าๆ  สิ่งที่ทักทายเราภายในร้านมีเพียงความเงียบและมีดที่วางเรียงรายในตู้กระจกขึ้นฝ้า  มีดเหล็กกล้าสีดำหลายขนาดติดป้ายราคา 500-1000 บาท   ข้างๆมีมีดสเตนเลสสมัยใหม่วางขายควบคู่กันเพื่อให้ทันยุคสมัย  ข้างตู้กระจกมีลังๆใหญ่วางอยู่  คุณป้าบอกว่าภายในลังคือมีดล็อตสุดท้ายที่พ่อทำเอาไว้ก่อนตาย  และเป็นล็อตสุดท้ายที่ร้านมี

“ ร้านเราเปิดกิจการมาสัก 50 ปี แล้ว   คุณพ่อเป็นเจ้าของร้าน  เดิมทำอาชีพนี้เป็นจากเมืองจีนแต่พอมาเมืองไทยพ่อมาเป็นลูกจ้าง  พอแต่งเมียมีลูกก็เลยไปยืมเงินมาขยายทำเอง  พ่อเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนลำบากมาก  ไม่ได้ทำมีดที่บ้านหลังนี้  ช่วงแรกเช่าบ้านเดือนละ 40 บาทแล้วทำมีด   หลังๆก็เช่าเฉพาะหลังบ้านไว้ทำ  ป้าเองไม่เคยช่วยพ่อทำแต่เคยเห็นวิธีการทำ  ก็เอาก็เหล็กเป็นแผ่นๆมาตัด เผาไฟแล้วตี ”

คุณป้าแนะนำให้รู้จักมีดหมูล๊อตสุดท้ายของร้าน  มีดปลายแหลมหน้ากว้างคือมีดแล่โดยมี 3 ขนาด แล้วแต่คนถือว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย   มีดปลายแหลมยาวคือมีดเชือด  มีดเล่มใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสั้นคือมีดสับใช้สับกระดูก  และมีดเล่มใหญ่รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวคือมีดหั่นเส้นก๋วยเตี๋ยว  มีดทุกเล่มมีด้ามเป็นไม้กลมหนา  คุณป้าบอกว่าร้านลิ้มฮะหลีเคยเป็นจ้าวแห่งมีดหมู  ร้านขายหมูทุกเขียงต้องมาซื้อมีดที่นี่

“เมื่อก่อนขายดีได้วันละหนึ่งหมื่นบาทยังมี  แต่เดี๋ยวนี้เงียบเพราะคนรุ่นใหม่เค้าใช้ใบเลื่อยหมู   ตอนนี้ลูกค้าก็มีแต่คนรุ่นเก่าหรือคนที่ชอบของเก่าเพราะมีดนี่มันใช้แรงคนงานทำ  ค่าแรงมันก็สูง  เมื่อก่อนมีขายกันอยู่สี่เจ้าแต่เค้ากลับบ้านเกิดกันไปหมดแล้วเพราะสู้ไม่ได้  ตอนนี้เราก็รอขายให้มันหมด  เพราะของมันไม่เน่าไม่เสีย  ถ้าหมดก็หมดไป”

ได้ยินคำว่าหมดก็หมดไปเราเลยอดไม่ได้ที่จะถามคุณป้าว่าเสียดายมั้ย   คุณป้าตอบว่าตนเองทำอะไรไม่ได้เพราะงานทำมีดมันเหนื่อย ร้อน  ลำบาก จึงไม่มีคนอยากทำต่อ  มันไม่เข้ากับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่  ป้าเองก็เข้าใจและแค่รอขายมีดให้หมดเท่านั้น

ป้าพูดจบก็ขอตัวไปขายน้ำที่หน้าบ้าน   เรากล่าวขอบคุณและเดินออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก  มันเป็นความเสียดายองค์ความรู้สมัยก่อนปะปนกับความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลง   ฉันเดินออกมากสักพักก็มองกลับไปที่ร้าน  สิ่งที่เห็นจากระยะไกลคือผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังให้อดีต  และหันหน้ารับปัจจุบันด้วยสีหน้าวางเฉย  ไม่เจ็บปวด

แล้วฉันก็เข้าใจเพลงๆหนึ่งที่ร้องว่า “อยู่ที่เรียนรู้  อยู่ที่ยอมรับมัน”

 

เฮียบเตียง…70 ปีแห่งความอร่อย

“นี่คือสถาน  แห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาสู่”

เสียงเพลงจากวิทยุในร้าน “เฮียบเตียง” ร้านขายขนมเก่าแก่ของตลาดน้อยทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้  เพราะบ้านหลังนี้ที่ฉันกำลังก้าวเข้าไปช่างต่างจากบ้านทรายทองของพจมาน  สว่างวงศ์ลิบลับ  ไม่ใช่คฤหาสน์สีขาวใหญ่โต  เป็นเพียงห้องแถวเก่าๆสองชั้นที่ไม่กว้างมาก  ทว่ามีกลิ่นขนมหอมอบอวนรัญจวนใจไปทั่วบ้าน

ป้านี้  แซ่อึ้งเจ้าของบ้านกล่าวทักทายเราอย่างเป็นมิตรขณะที่เชื้อเชิญให้เราเข้าไปดูการทำขนมของแปะปั้กเสี้ยม  แซ่เตียง  ผู้เป็นสามี  เรากลับมาที่ร้านเฮียบเตียงเป็นรอบที่สองเนื่องจากรอบแรกเป็นเวลาพักของแปะ  ครั้งแรกนั้นเราเห็นเพียงชายชรานอนหลับอย่างหมดสภาพ  ต่างจากครั้งนี้ที่ชายชราคนเดียวกันสลัดความชรามาทำขนมอย่างกระฉับกระเฉง

“สวัสดีค่ะแปะ  แปะทำขนมมากี่ปีแล้วคะ”

“หา?”

“ทำขนมมากี่ปีแล้วคะ”

“หา?”

ฉันพูดเสียงดังขึ้นอีก

“ทำขนมมากี่ปีแล้วคะ”

“อ้อ  ทำตั้งแต่ 10 ขวบ ตอนนี้ 84  ก็ 70 กว่าปีแล้ว”

เพียงแค่ไม่กี่ประโยคที่คุยกันก็รู้ว่าแปะหูไม่ดี  เราต้องตะโกนคุยกับแปะสียงดังไปทั้งร้าน   ป้านี้ผู้เป็นภรรยาจึงอาสาเล่าเรื่องราวต่างๆแทนแปะ

“แปะเขาทำขนมมานานแล้วตั้งแต่เขาอยู่เมืองจีน   ก็ทำกับอาเจ็กแล้วมาเมืองไทย  มาเมืองไทยก็ทำโน่นทำนี่หลายปีอาเจ็กเปิดร้านชื่อร้านเฮียบเตียงเป็นชื่ออาเจ็ก  แปะก็มาทำจนเจ็กเสียก็กลายเป็นร้านของแปะเอง  ก็ทำขนมเลี้ยงลูกห้าคน   สมัยก่อนขายดีมีคนมาซื้อเยอะ  ต้องตื่นมาทำตั้งแต่ตีสอง  อั๊วะก็ช่วยขายช่วยไปส่ง  เดี๋ยวนี้ทำๆนอนๆ ไม่ไหวแล้ว  ขายก็ไม่ดี  บางวันก็ไม่พอกิน  แต่แปะมันก็ยังตื่นตีสามมาทำ  มันได้ออกกำลังกายของมัน”

ป้านี้เล่าให้ฟังในขณะที่แปะเดินเตาะแตะไปหยิบกะด้งใส่แป้งมาร่อนอย่างชำนาญ  ป้านี้บอกว่าแปะกำลังทำกะหรี่ปั๊บ กะหรี่ปั๊บที่นี่ขึ้นชื่อเพราะเป็นกะหรี่ปั๊บเจและมีเพียงสองไส้ แต่ละไส้แปะไม่ใช้การแต้มสีระบุไส้แต่ใช้รูปทรง   โดยไส้ถั่วจะปั้นจับกลีบตามแบบทั่วไป แต่ไส้เผือกปั้นเป็นแท่งสี่เหลี่ยม

ป้านี้ลุกขึ้นมาแนะนำขนมที่วางอยู่ในตู้กระจก  ส่วนใหญ่เป็นขนมที่ใช้ในเทศกาลสำคัญของจีน  จันทร์อับ ซึ่งประกอบไปด้วยขนม 5 อย่างด้วยกัน คือ ฟักเชื่อม ถั่วตัด งาตัด ถั่วเคลือบน้ำตาล และข้าวพอง ส่วนขนมอย่างอื่นนั้นก็มี ขนมเปี๊ยะ  ซึ่งที่ร้านนี้จะทำทั้งหมด 3 ไส้ คือ ไส้ถั่วเหลือง ถั่วแดง และฟัก  ฉันอดไม่ได้ที่จะซื้อกะหรี่ปั๊บไส้เผือกและไส้ถั่วเหลืองมาลองชิม  รสชาติของมันไม่หวานและไม่มันมาก  สำหรับฉันมันอร่อยกำลังดี

ป้านี้พยายามชี้ให้ฉันดูรูปถ่ายที่ติดอยู่ตรงข้างฝาบ้านแต่ฉันเข้าใจว่านั่นเป็นรูปสิงโตธรรมดาจึงไม่ได้ไถ่ถามอะไรมากมาย  ฉันตามแปะเข้าไปในครัว  แปะเอาอุปกรณ์ที่ใช้เสร็จแล้วมาล้างอย่างคล่องแคล่ว  ทำทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่หลงลืม  ยิ่งมองดูแปะทำงานยิ่งรู้สึกถึงคำว่า “เป็นหนึ่งเดียวกันกับงาน”  ความชำนาญในการทำขนมของแปะเหมือนถูกฝังอยู่ในเลือดเนื้อและจิตวิญญาณจริงๆ

ฉันถามแปะเรื่องสูตรขนมว่ามีใครทำเป็นบ้าง  แปะเล่าให้ฟังอย่างติดๆขัดๆว่าตนเองมีลูกห้าคน  แต่ลูกทุกคนก็ออกไปทำงานสบาย  เปิดร้านขายอะไหล่และค้าขายในกรุงเทพฯ  ลูกๆหลานไม่มีใครทำขนมเป็น  เคยจ้างคนมาช่วยทำแต่พอเขาทำเป็นก็เอาสูตรไปทำเอง  ช่วงหลังๆหลานๆเคยมาขอเรียนแต่แปะก็แก่เกินกว่าจะสอนแล้ว

ออกมาอีกครั้งป้านี้ยังชี้รูปถ่ายสิงโตให้เราดูและบอกว่าแปะปั้นเอง  ฉันเริ่มงง  ป้านี้เลยอธิบายว่าสิงโตที่เราเห็นเป็นขนมชื่อว่าขนมสิงห์น้ำตาล  ทำมาจากแป้งและถั่วเหลือง  ใช้สีผสมอาหารวาดลวดลาย  แปะจะเป็นคนปั้นและลงสีทุกขึ้นตอน  ฉันมองสิงโตตัวสวยสลับกับแปะที่เดินง่กๆเงิ่นๆอยู่ในครัวด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ   แปะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร?  ป้านี้เล่าว่าแปะเรียนรู้เรื่องพวกนี้เอง  ฝึกเอง  หัดเอง  จนคนรู้ก็มาจ้างให้ทำในงานเทศกาลสำคัญของจีน

“มันเป็นคนเก่ง  เก่งมากๆ” ป้านี้ชมสามีอย่างภาคภูมิใจ

ด้วยความรู้สึกเสียดายในวิชาที่แปะมี  ฉันอดไม่ได้ที่จะกลับไปถามแปะว่าถ้าแปะไม่อยู่  ไม่มีใครทำต่อ แปะไม่เสียดายหรือ   แปะตอบมาด้วยคำสั้นๆว่า  “ ไม่เป็นไร “  ยิ้มน้อยๆให้ฉันแล้วทำขนมต่อไป

ฉันลาแปะและป้านี้พร้อมซื้อขนมออกมาหลายชิ้น  แม้ในใจจะรู้สึกเสียดายสูตรขนมแสนอร่อยของร้านเฮียบเตียงแต่ก็ดีใจที่วันนี้ฉันยังมีขนมอร่อยๆให้กินอีกหลายชิ้น

อย่างน้อยในวันที่มีแปะ  ขนมอร่อยเหล่านี้ก็ยังอยู่แน่นอน

 

เฮงเสง…หมอนไหว้เจ้าร้อยปี

ผู้หญิงสามคนสองรุ่นนั่งเย็บหมอนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม   เป็นความประทับใจแรกพบ

“อ้าวคนแก่  ยิ้มหน่อย”  พี่เจี๊ยบ  วิมล  เหลืองอรุณ เจ้าของร้านเฮงเสง รุ่นสามแซวมาราดาของตน

“คนแก่ไม่มี  ฉันยังหนุ่มๆสาวๆ” อาม่าเมี่ยวลั้ง  แซ่อิ๊ว  เจ้าของร้านรุ่นที่สองรับมุกทันควัน  ในขณะที่คุณป้านิภา  พุทธังกุล  ช่างเย็บเบาะที่อยู่ในร้านมายาวนานกำลังจับริมเบาะไหว้เจ้าและฮัมเพลงจีนอย่างอารมณ์ดี

เมื่อรู้ว่าพวกเรามาทำอะไร  อาม่าเมี้ยวลั้งก็ไม่รอช้ารีบเล่าถึงกิจการอายุกว่าร้อยปีของตนอย่างภาคภูมิใจ  กิจการเย็บเบาะเริ่มทำในรุ่นพ่อของพ่อ  โดยสมัยก่อนจะทำเบาะรองนั่งและที่นอนซึ่งลูกๆทุกคนต้องช่วยกันทำ  ตัวอาม่าเองต้องทำตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆขาเหยียบจักรไม่ถึง

“สมัยไม่มีโซฟามีแต่ใช้เก้าอี้หวาย  ก็เลยต้องทำเบาะรองนั่ง  สมัยก่อนขายดี พ่อฉันทำส่งวันนึงร้อยลูก  เราก็ระดมคนแถวนี้มาช่วย แต่ช่วงหลังพอมีโซฟามันเริ่มขายไม่ดีเราก็เลยเปลี่ยน  เมื่อก่อนเค้าไหว้เจ้าคุกเข่ากับพื้น  เรามองเห็นตรงนั้นเราเลยคิดว่าควรมีเบาะรองแล้วก็ทำขาย  คนก็เอามาใช้”

อาม่าเล่าถึงจุดเริ่มต้นของกิจการ  พี่เจี๊ยบทายาทรุ่นสามก็เล่าต่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นคนจากศาลเจ้าที่ยังคงมาสั่งทำ โดยจะสั่งขนาดและจำนวนเสร็จสรรพ  พี่เจี๊ยบ  อาม่า และป้านิภาก็จะชวยกันตัดผ้าดิบ  แล้วเอาไปเย็บ  หลังจากนั้นมาสู่ขั้นตอนที่ยากและต้องมีเทคนิคเฉพาะของทางร้านคือการยัดใยมะพร้าวและนุ่น  เมื่อเสร็จก็เอาไปจับริมแล้วใส่ปลอกหุ้มพลาสติกส่งขายที่เยาวราช

“สมัยนี้ก็ขายได้เรื่อยๆไม่ถึงกับขายดี  ก็ต้องขายหมอนยัดนุ่นคู่ไปด้วย  จริงๆทุกวันนี้ก็ไม่พอกิน  ที่ทำก็เพื่ออนุรักษ์ไว้  หาอะไรให้คนแก่ทำแก้เซ็ง”  พี่เจี๊ยบแซวอาม่าจนอาม่ายิ้มเขินๆ

พี่เจี๊ยบพาฉันเยี่ยมชมร้าน  อุปกรณ์การทำล้วนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น  จักรเย็บผ้าอายุกว่าร้อยปี  โต๊ไม้ยาวน้ำตาลคล้ำ  ตู้กระจกโบราณ  ทุกอย่างเป็นเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในบ้านที่พี่เจี๊ยบพยายามดูแลให้ดีที่สุด  พี่เจี๊ยบเล่าเพิ่มเติมว่าความจริงแล้วในพี่น้องทั้งห้าคนของพี่เจี๊ยบเย็บหมอนเป็นทุกคน  แต่งานเย็บหมอนมันร้อน  ลำบากและได้กำไรน้อยเลยไม่มีคนทำ  พี่เจี๊ยบเคยพยายามจะสอนลูกค้าเพื่อช่วยกันอนุรักษ์แต่ลูกค้าก็ไม่เอา  ส่วนลูกหลานในตระกูลก็ไม่มีใครทำเป็น  ฉันได้ยินก็อดถามคำถามเดิมๆที่ถามมาแล้วถึงสองครั้งในวันนี้ไม่ได้

พี่เจี๊ยบเสียดายมั้ย

“เสียดาย  แต่ทำไง”

อาม่าเมี่ยวลั้งที่เข้ามาได้ยินบทสนทนาระหว่างเราพอดีก็แทรกขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีว่า

“ โอ๊ย  ไม่ได้เงินจะไปเสียดายทำไม  มันไม่พอกิน  พูดตรงๆทำก็เพราะปากท้อง ทำแล้วไม่พอกินก็ต้องเปลี่ยนอาชีพ  มันจำเป็น  มันไม่พอกินนี่ ”

พี่เจี๊ยบและฉันยิ้มให้อาม่า พออาม่าออกไปพี่เจี๊ยบก็บอกฉันว่าความภูมิใจในงานนี้คือการได้อนุรักษ์สิ่งที่    บรรพบุรุษให้มาให้คงอยู่  คนรุ่นหลังจะได้เห็น  พร้อมทิ้งท้ายประโยคที่เป็นแสงสว่างเล็กๆสำหรับคนรุ่นหลังอย่างฉัน

“พี่อาจไม่ใช่รุ่นสุดท้ายก็ได้  อนาคตยังไม่แน่นะ”

ฉันก็หวังอย่างนั้นเช่นกัน  หวังว่าเข็มกับด้ายและวิชาความรู้ในการทำเบาะที่ส่งต่อกันมากว่าร้อยปี  พี่เจี๊ยบจะได้ส่งมันให้ใครสักคนที่เห็นความสำคัญ  อย่างที่พี่เจี๊ยบเห็น

 

ก็เหมือนตอนจบของหนัง  เมื่อบางสิ่งมันเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย  ตัวละครบางตัวอาจจะเลือกหันหลังให้อดีตและอยู่กับปัจจุบัน  บางตัวอาจจะเลือกทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  และบางตัวอาจฝากความหวังไว้กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราในฐานะของคนดูไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนตัวละครนั้นๆ  เราทำได้แค่เพียงเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและยอมรับมัน

เท่านั้นใจเราก็เป็นสุข

และจงเชื่อมั่นว่าตัวละครทุกตัว  เลือกทางที่ดีที่สุดของตนเองเสมอ