ภัควดี วีระภาสพงษ์

มันฝรั่งที่เราพบเจอในอาหารจานฝรั่งจนคิดว่ามันเป็นพืชกินได้ที่มีต้นตอมาจากฝรั่งนั้นแท้ที่จริงไม่ใช่

ต้นกำเนิดของมันฝรั่งไม่ได้มาจากยุโรป เช่นเดียวกับข้าวโพด พริก พริกไทย โกโก้ สับปะรด มะละกอ ฯลฯ ล้วนแต่มีถิ่นกำเนิดและผ่านการคัดผสมสายพันธุ์มานานนับพันปีด้วยฝีมือของเกษตรกรชาวอินเดียนแดงในอารยธรรมอันเคยรุ่งเรืองของทวีปอเมริกาใต้

ตอนที่พวกสเปนเข้ารุกราน ชาวอินคาพัฒนามันฝรั่งที่แตกต่างกันถึง ๓,๐๐๐ ชนิด ซึ่งเหมาะต่อการเพาะปลูกทุกสภาพแวดล้อม นี่คือความยั่งยืนทางเกษตรกรรมรูปแบบหนึ่ง พืชอาหารเหล่านี้สามารถปกป้องตัวเองจากโรคหลายชนิดทั้งมีความทนทานต่อเนื้อดินและภูมิอากาศที่แตกต่างกัน  หลังจากชาวสเปนทำลายล้างอารยธรรมอินคาและขนทองคำกลับ สิ่งที่พวกสแปเนียร์ด (Spaniard) ขนกลับไปด้วยและอาจมีคุณค่ายิ่งกว่าทองคำก็คือมันฝรั่ง

มันฝรั่งกลายเป็นพืชอาหารสำคัญของยุโรป ช่วยแก้ปัญหาความอดอยากและเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชากรยุโรปขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในช่วงศตวรรษที่ ๑๙  แต่เนื่องจากมันฝรั่งที่นำกลับมามีเพียงสายพันธุ์เดียว การขาดความหลากหลายทางพันธุกรรมทำให้มันฝรั่งอ่อนแอต่อโรค เมื่อเกิดโรคระบาดโศกนาฏกรรมที่ตามมาคือทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงดังเช่นที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์เมื่อ ค.ศ. ๑๘๔๕-๑๘๕๒

หากเราเดินทางรอนแรมกลับไปยังถิ่นกำเนิดมันฝรั่งในประเทศเปรู จะพบเจอชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองที่มุ่งมั่นรักษาสายพันธุ์มันฝรั่งอันหลากหลายไว้ด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ผสมผสานกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

สวนมันฝรั่ง

ในหุบเขากุสโก (Cusco) กลางเทือกเขาแอนดีส มีประชากรชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ราว ๖,๐๐๐ คนบนพื้นที่ประมาณ ๕๘,๐๐๐ ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Parque de la Papa แปลว่า potato park หรือสวนมันฝรั่ง

สวนมันฝรั่งหรือไร่มันฝรั่งเป็นการริเริ่มของชาวพื้นเมืองเกชัว (Quechua) หกชุมชนที่รวมตัวกันก่อตั้งองค์กร Asociación ANDES ด้วยวัตถุประสงค์ต้องการรักษาภูมิปัญญาชาวพื้นเมืองและความหลากหลายทางชีวภาพ  โครงการสำคัญขององค์กรคือเขตอนุรักษ์ไร่มันฝรั่งซึ่งเพาะปลูกเพื่อเก็บรักษาสายพันธุ์มันฝรั่งพื้นเมืองของเปรู ๒,๓๐๐ ชนิด  ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่พบในแปลงเพาะปลูกเพียงแปลงเดียวอาจมีมากถึง ๑๕๐ สายพันธุ์  นอกจากมันฝรั่งยังเพาะปลูกพืชพันธุ์พื้นเมืองอย่างถั่ว ข้าวโพด ข้าวสาลี เมล็ดควินหวา (quinoa พืชตระกูลข้าวของชาวอินคา)

กสิกรรมในไร่มันฝรั่งประกอบด้วยการเกษตรและปศุสัตว์ มีการปลูกพืชหมุนเวียนทุก ๓-๙ ปี หลังเกษตรกรเพาะปลูกมันฝรั่งระยะหนึ่งจะพักที่ดินเพาะปลูกส่วนนั้น ระหว่างรอให้ผืนดินฟื้นตัวพบว่ามีพืชสมุนไพรงอกขึ้นมากมายในแปลง  การเลือกพันธุ์เพาะปลูกจะแบ่งสัดส่วนตามการใช้งานและคุณภาพมัน เช่น เพาะปลูกเพื่อการบริโภค เก็บเมล็ดพันธุ์ ขาย เป็นอาหารสัตว์ แลกเปลี่ยนสินค้า

ในระดับครัวเรือนใช้การแลกเปลี่ยนสินค้ากันเป็นหลัก ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญต่อการจัดระบบแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีความรู้เรื่องปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเป็นอย่างดี ทั้งยังมีบทบาทเด่นในกระบวนการคัดเลือกมันฝรั่งเพื่อการใช้งานแต่ละประเภทด้วย

เป้าหมายประการหนึ่งของไร่มันฝรั่งคือสร้างโมเดลการพัฒนาที่คำนึงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการอนุรักษ์มรดกด้านชีวเกษตรเพื่อให้ชุมชนเลี้ยงตัวเองได้  ชาวพื้นเมืองจึงพยายามใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนผสมผสานระบบเศรษฐกิจแนวสร้างสรรค์ อย่างการผลิตพืชสมุนไพรเพื่อลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลแก่สมาชิกครอบครัวไร่มันฝรั่ง ขณะเดียวกันก็ผสานความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตก  นอกจากนี้ยังผลิตพืชสมุนไพรขายนักท่องเที่ยว รวมทั้งจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน  องค์กร Asociación ANDES เป็นหนึ่งในไม่กี่องค์กรที่ดำเนินการบริหารโดยชาวพื้นเมืองและสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมตัดสินใจ

ภูมิปัญญาโบราณกับวิทยาศาสตร์ทันสมัย

การเก็บรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เช่นกัน องค์กรหนึ่งที่ทำงานด้านนี้คือศูนย์วิจัยมันฝรั่งนานาชาติ (International Potato Center - CIP) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเอกวาดอร์ มีธนาคารพันธุกรรมที่เก็บรักษาสายพันธุ์มันฝรั่งหลายชนิดจากทั่วโลก  แม้สายพันธุ์มันฝรั่งในศูนย์วิจัยจะปลอดเชื้อไวรัส แต่ปลูกในแปลงทดลองที่มีการควบคุมสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด จึงไม่สอดคล้องกับสภาพการเพาะปลูกจริง มีตัวอย่างจำนวนไม่น้อยที่พันธุ์พืชจากศูนย์วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอยู่รอดในสภาพธรรมชาติอันเต็มไปด้วยความแปรปรวน

ตอนแรกชาวพื้นเมืองไม่ค่อยไว้วางใจและไม่อยากร่วมมือกับศูนย์วิจัยเพราะเกรงจะถูกปล้นชิงทางชีวภาพ (biopiracy) แต่ในที่สุดโครงการไร่มันฝรั่งก็จับมือทำสัญญากับ CIP ในเดือนธันวาคมปี ๒๕๔๗ ปัจจุบัน CIP มอบสายพันธุ์มันฝรั่งปลอดไวรัส ๔๑๐ ชนิดให้แก่ไร่มันฝรั่งเพาะปลูก แลกเปลี่ยนกับเมล็ดพันธุ์พื้นเมืองที่ชาวเกชัวเก็บรักษาไว้  ชาวพื้นเมืองเองก็ได้เรียนรู้วิธีเพาะปลูกสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิต ดังที่เกษตรกรเกชัวกล่าวว่า “เมื่อก่อนนักวิทยาศาสตร์มักนำเมล็ดพันธุ์ไปจากเรา แต่ไม่ยอมรับภูมิปัญญาของเรา  เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้ที่จะร่วมมือกับเรา พวกเขาต้องเคารพความรู้ของเรา  ถึงเวลาแล้วที่ความรู้ดั้งเดิมกับวิทยาศาสตร์จะทำงานร่วมกัน”

ความร่วมมือข้ามทวีป

ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไร่มันฝรั่งจัดการประชุมพบปะระหว่างเกษตรกรท้องถิ่นผู้เพาะปลูกในพื้นที่สูงจากคนละซีกโลก  หลายคนรอนแรมข้ามทวีปมาจากจีนและภูฏาน กระนั้นวัฒนธรรมของพวกเขาก็มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าที่คาดไว้  ในที่ประชุมพูดคุยกันด้วยความหวั่นเกรงการคุกคามแผ่นดินบรรพบุรุษอันเนื่องมาจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เกษตรกรเล่าว่า เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลา ๑๕ ปีที่ผ่านมาและเด่นชัดมากช่วง ๓ ปีหลัง  บางคนต้องเพาะปลูกในพื้นที่ต่ำลงไป ขณะบางคนต้องเพาะปลูกพืชจำพวกถั่วและข้าวโพดในพื้นที่ที่สูงกว่าเดิม ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาลและมักตกหนักกว่าปรกติ

ตัวแทนเกษตรกรชาวเกชัวสรุปว่า “ชุมชนไม่สามารถแก้ปัญหาตามลำพังเพราะนี่เป็นปัญหาร่วมกัน (ของเราทุกคน)  …เราสามารถ
เรียนรู้เทคโนโลยีที่อาจมีประโยชน์ยิ่งขึ้นจากคนอื่นที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน”

ที่มารูป

  • http://www.flickr.com/photos/iied/5217539752  by The International Institute for Environment and Development
  • http://nkxms1019hx1xmtstxk3k9sko.wpengine.netdna-cdn.com/wp-content/uploads/2014/03/4-potato-park-community.jpg
  • http://www.yesmagazine.org/planet/indigenous-seed-savers?utm_source=YTW&utm_medium=Email&utm_campaign=20140801