เรื่องและภาพ : ณรงค์ สุวรรณรงค์
ผมตามรอยควายป่าไปจนพบบริเวณที่คาดว่ามันลงแช่น้ำ แต่จุดตั้งบังไพรที่อยู่ใกล้มีมุมมองแคบไปหน่อย ผมจึงเลือกตั้งบังไพรริมตลิ่งสูง ได้มุมกว้างมองเห็นลำน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบ ๒๐๐ เมตร
วันต่อมาระหว่างอยู่ในบังไพรผมพบฝูงนากใหญ่ขนเรียบว่ายน้ำผ่านตอน ๗ โมงเช้า ราว ๘ โมงฝูงนกยูงตัวเมียเดินหากินมาตามทางด่านด้านซ้ายมือ ชั่วโมงต่อมาฝูงหมูป่าพาลูกเล็กลายแตงไทยมาข้ามน้ำทางขวามือ
เมื่อนกกระแตหาดส่งเสียงโวยวายเป็นยามประจำลำน้ำ ผมมองตามไปก็เห็นเหยี่ยวใหญ่บินไปเกาะบนต้นไม้สูง พอหันไปทางเสียงของตัวอะไรที่พุ่งลงน้ำก็พบนกกระเต็นใหญ่ธรรมดาที่คว้าน้ำเหลวจากการจับปลา
ช่วงเที่ยงเหมือนสัตว์หยุดทำการ นกกระแตหาดทั้งคู่ยืนนิ่ง นกยางเปียสองสามตัวที่เดินหากินตั้งแต่เช้าพากันยืนไซ้ขน ราวบ่ายโมงครึ่งสัตว์ถึงเริ่มทำกิจกรรมอีกครั้ง
การรอถ่ายภาพในบังไพรเหมือนจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่ต้องออกแรงทำอะไร แต่สายตาแทบไม่เคยหยุดพัก ต้องเหลือบซ้ายแลขวากวาดสายตาไปทั่วลำน้ำ เผลอเมื่อใดอาจพลาดโอกาสถ่ายภาพได้ง่าย ๆ …แต่สำหรับสัตว์ป่า เผลอเมื่อใดชีวิตอาจจบสิ้น
แวบหนึ่งผมเหลือบเห็นเหยี่ยวใหญ่บินมากลางลำน้ำก่อนทิ้งตัวดิ่งลงใช้กรงเล็บจับนกยางเปียอย่างแม่นยำ นกยางเปียคงมัวเผลอก้มจ้องจับปลาจึงตกเป็นเหยื่อเสียเอง
ไวเท่าความคิด ผมหันเลนส์ไปหาเหยี่ยวใหญ่ซึ่งยืนบนร่างเหยื่อที่จมใต้น้ำ กดชัตเตอร์ตามสัญชาตญาณ จากช่องมองภาพแน่ใจว่าคือเหยี่ยวต่างสี เมื่อนักล่าบินพาร่างไร้วิญญาณของเหยื่อขึ้นจากน้ำ ผมกดชัตเตอร์ค้างไว้และวาดกล้องตาม ระบบโฟกัสอัตโนมัติทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ใกล้ค่ำควายป่าสองตัวเดินลงมานอนแช่น้ำริมตลิ่งจนมืดก็ไม่ยอมลุก ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเลย
หากผมหวังแต่ถ่ายภาพควายป่าก็คงไม่ได้เห็นชีวิตสัตว์อื่น และคงพลาดเสี้ยววินาทีสำคัญ
เป้าหมายยังคงอยู่ แต่การเลือกรื่นรมย์กับวิถีชีวิตระหว่างทางก็สำคัญ