นิ้วกลม
แม่ครับ,
ผมคิดถึงแม่เหลือเกินระหว่างเปิดอ่านจดหมายของ วิลเลียม ซาโรยัน อีกครั้ง ผมกำลังพูดถึง The Human Comedy หรือความสุขแห่งชีวิต หนังสือที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นจดหมายฉบับยาวที่เขาเขียนขึ้นมาเพื่อส่งถึงมนุษย์โลกทุกคน มิเพียงแค่ในยุคสมัยของเขาเท่านั้น แต่ยังต่อเนื่องยาวนานยังยุคสมัยถัด ๆ ไป
ผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านเป็นครั้งที่ ๒ ห่างจากครั้งแรก ๑๖ ปี ในวันวัยที่มองเห็น “ความสุข” และ “ความดีงาม” ของโลกและชีวิตน้อยลงและยากขึ้น บอกตามตรงครับแม่-ว่าผมแทบจดจำเนื้อหาในหนังสือไม่ได้เลย แต่เมื่อได้อ่านมีบางสิ่งที่ผมจำได้ นั่นคือความคิดดี ๆ ที่คุณลุงวิลเลียมพยายามจะส่งต่อแก่เด็ก ๆ ผ่านตัวหนังสือ เช่นกันกับที่มีอยู่ในวรรณกรรมเยาวชนหลายเล่ม ผมจำได้ว่าตัวเองโตขึ้นมากับการอ่านความคิดดี ๆ เหล่านี้ ผมนึกถึงแม่ที่ซื้อนิทานอีสปให้อ่านตั้งแต่ยังเด็ก ผมไม่แน่ใจว่าแม่ตั้งใจปลูกฝังความคิดดี ๆ หรือแม่ซื้อให้เพียงเพราะเห็นว่าผมอยากอ่าน เพียงเพราะแม่รักผม
อีกอย่างที่ทำให้ผมคิดถึงแม่ก็คือ มิสซิสแมคคอลี่-คุณแม่ของ โฮเมอร์ แมคคอลี่ ซึ่งต้องประคับประคองความรู้สึกของลูกทุกคนในครอบครัวท่ามกลางบรรยากาศสงคราม กระนั้นแม่ก็คือแม่ ยังคงให้คำแนะนำที่อ่อนโยนแก่ลูกเสมอ มาถึงยุคนี้มิสซิสแมคคอลี่อาจถูกประณามว่าโลกสวยก็เป็นได้
แต่ก่อนตอนเป็นเด็กผมไม่เคยทำความเข้าใจหรอกครับว่าแม่จะปลูกฝังความคิดดี ๆ ให้พวกเราไปทำไม เวลาแม่พูดอะไรเกี่ยวกับโลกและผู้คนในแง่มุมดี ๆ ผมมักคิดเสมอว่าแม่ก็แค่ปลอบใจให้เรารู้สึกดีขึ้นกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ แต่พอโตขึ้นผมจึงค่อย ๆ รับรู้ว่าความคิดดี ๆ ที่แม่พยายามสื่อสารและส่งมอบให้ผมนั้นมีคุณค่ามากกว่าคำปลอบประโลม และมากไปกว่ายารักษาอาการเจ็บช้ำเพียงประเดี๋ยวประด๋าว
ที่แม่ทำอย่างนั้นก็เพราะรู้ดีว่าแม่ไม่ได้อยู่กับผมไปตลอด วันหนึ่งเราต้องจากกัน เมื่อวันนั้นมาถึง หากผมมีช่วงเวลาที่รู้สึกแย่กับโลกและผู้คน แม่ก็คงไม่ได้นั่งข้าง ๆ เพื่อปลอบประโลมผมอีกต่อไป แม่ไม่สามารถพูดถ้อยคำที่มอบสติปัญญาให้ผมได้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่เคยทำมาตลอด ฉะนั้นแม่จึงหย่อนเมล็ดพันธุ์ความคิดดี ๆ ใส่ไว้ในตัวผมตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งเติบโต ด้วยหวังว่าผมจะพึ่งพาร่มเงาจากต้นไม้ความคิดเหล่านี้ได้ในวันที่แม่ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ
ซึ่งนั่นหมายความว่า แม่จะอยู่กับผมเสมอ
ส่วนหนึ่งส่วนนั้นของแม่ที่มอบให้ผมมาโดยตลอดจะไม่มีวันหายไปไหน
“หนูต้องจำเอาไว้นะลูก จงให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแก่คนอื่นเสมอ แม้จะต้องทำไปอย่างโง่ ๆ และฟุ่มเฟือย หนูต้องให้แก่ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และจะไม่มีอะไรหรือใครใช้อำนาจใดมาหลอกลวงหนูได้ เพราะถ้าหนูให้แก่ขโมย เขาก็จะขโมยจากหนูไม่ได้ และเขาเองก็ไม่ได้เป็นขโมยอีกต่อไป และยิ่งหนูให้มากเท่าไร ก็ต้องให้มากขึ้นอีกเท่านั้น”
มิสซิสแมคคอลี่สอนโฮเมอร์ คล้ายกันเหลือเกินกับที่แม่สอนผม แม่บอกเสมอว่า ถ้าสามารถให้อะไรกับเพื่อนพี่น้องได้ก็จงให้เขา อย่าเป็นคนขี้งกหรือเห็นแก่ตัว คำสอนเล็ก ๆ เหล่านี้ก็เช่นกัน ล้วนเป็นเกราะกำบังจากความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น อย่างน้อยก็จะมีคนรักเรา ปรารถนาดีต่อเรา ช่วยเหลือเรา เพราะเราทำดีกับพวกเขา แม่คงคิดมาแล้วใช่ไหมครับว่า วันข้างหน้าถ้าแม่ไม่อยู่ อย่างน้อยคำสอนของแม่ก็จะช่วยทำให้มีคนมาดูแลผมแทนแม่
แม่ครับ,
เรื่องราวในหนังสือความสุขแห่งชีวิต ไม่ได้มีความสุขสมชื่อภาษาไทยของมันหรอกครับ ในนั้นมีเรื่องเศร้าและสถานการณ์เลวร้ายเต็มไปหมด แต่แปลกดีที่ผมไม่รู้สึกหดหู่ไปกับความเลวร้ายของสงครามสักเท่าไร อาจเป็นเพราะผู้คนในนั้นมีทั้งเด็กที่ยังมองโลกด้วยสายตาไร้เดียงสา และผู้ใหญ่ที่มองโลกอย่างเข้าอกเข้าใจมีความหวัง รวมถึงหลายคนที่เราน่าจะเรียกเขาว่าคนดีได้เต็มปาก
พอโตขึ้นนิยามคนดีของผมเรียบง่ายขึ้นมากเลยครับ ผมคิดว่าคนดีไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองดี ไม่ใช่คนที่ยึดมั่นในศีลธรรมอันดีงาม หรือกระทั่งศรัทธาในความดีแล้วทำทุกอย่างเพื่อความดีที่ตัวเองยึดถืออย่างถวายหัว แต่คนดีคือคนที่ไม่คิดว่าตัวเองดีที่สุด และมองเห็นความดีในตัวคนอื่นเสมอ แม้คนคนนั้นจะแตกต่างจากตัวเองมากเพียงใดก็ตาม
คนดีคือคนที่เคารพในความดีแบบอื่น นอกจากความดีที่ตัวเองคิดว่าดี
หลายคนในเรื่องนี้จึงเป็นคนดีสำหรับผม เพราะเขาเชื่อมั่นในความดีในตัวมนุษย์
ผมชอบที่มิสเตอร์โกรแกนพูดกับโฮเมอร์ว่า “ฉันจะบอกอะไรให้–เรื่องคนน่ะต้องระวังให้มาก ถ้าเธอเห็นอะไรที่มันผิด อย่าเพิ่งแน่ใจนักว่ามันผิด…แล้วมันก็โง่ที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ใครว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร–มาจากไหน–ทำไมถึงเป็นอย่างนี้–แต่ฉันก็พอใจกับที่เห็นอยู่–แล้วก็รู้สึกขอบคุณ คนที่ใกล้ตายเข้าไปทุกวันจะรู้สึกขอบคุณเสมอที่มีคนดี ๆ อยู่” แต่ที่พีกก็คือ “ถ้าฉันไม่เมาก็คงจะไม่บอกเธอเรื่องนี้…มันดีที่ฉันบอกเธอตอนที่กำลังเมา เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม”
อย่ารีบตัดสินคน, คนเมาก็เช่นกัน อย่ารีบตัดสินว่าเมาคือสิ่งไม่ดี
หรืออย่างที่มาร์คัส-พี่ชายของโฮเมอร์บอกเขาในจดหมายที่ส่งมาจากสมรภูมิรบ “พี่ไม่เคยเห็นคนเป็นศัตรู ขึ้นชื่อว่าคนแล้ว จะเป็นศัตรูของพี่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ผิวสีอะไร มีความเชื่อผิดแค่ไหน เขาก็ต้องเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู เพราะเขาไม่ได้ต่างอะไรจากพี่ พี่ไม่ได้มีเรื่องวิวาทกับเขา แต่ถ้าพี่จะทำลายอะไรในตัวเขา ก็ต้องทำลายในตัวพี่เองเสียก่อน”
ผมอ่านคำพูดที่มิสซิสแมคคอลี่พูดกับโฮเมอร์ในคืนที่เขาสะอื้นไห้แล้วได้ยินเป็นเสียงของแม่ “แม่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว มันไม่ใช่เสียงของลูกหรอก ไม่ใช่เสียงของมนุษย์คนไหน แต่เป็นของคนทั้งโลก พอได้รู้ความโศกเศร้าของโลกก็เท่ากับมีหนทางของตัวเองแล้ว” นี่คือคำสอนให้มองเห็นความทุกข์ร้อนของคนอื่นและโน้มนำมาใส่หัวใจตัวเอง “ไม่ว่าลูกจะต้องทำอะไรผิดก็อย่ากลัวที่ได้ทำลงไปหรือกลัวว่าจะผิดอีก ไว้ใจตัวเองเถอะว่าเราเป็นคนมีจิตใจดี จงทำเรื่อยไป–อย่าหยุด ถ้าล้ม ถูกคนอื่นแกล้ง โกง หรือแม้แต่ถูกตัวเองหลอก ก็จงลุกขึ้น อย่าหันหลังกลับ มีหลายครั้งที่ลูกจะต้องหัวเราะ และมีหลายครั้งที่จะต้องร้องไห้ สลับกันไปมาอยู่เสมอ จะไม่มีเวลาไหนเลยในชีวิตที่จะโหดร้ายหรือทำให้ลูกหมดกำลังใจ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นรอง จะกระจ้อยร่อยเกินกว่าจิตใจที่กระฉับกระเฉง จะมีความสำคัญน้อยมากจนไม่อยู่ในสายตาของลูกเลย”
หรือที่เธอบอกลูกว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่เปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป
สงครามนำชีวิตคนในครอบครัวของพวกเขาไปถึงสองคน พ่อและพี่ชายของโฮเมอร์ แต่โชคดีเหลือเกินที่โฮเมอร์อยู่ท่ามกลางผู้คนจิตใจดี เขาจึงสัมผัสได้ว่าทั้งพ่อและพี่ชายที่รักไม่ได้จากไปไหน และจะไม่มีใครพรากพวกเขาไปได้ “สิ่งที่ดีไม่เคยสูญ เพราะถ้ามันสูญ ก็จะไม่มีคนเหลืออยู่ในโลกอีกแล้ว–ไม่มีชีวิตเหลืออยู่เลย แต่ในโลกนี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนและชีวิตที่แสนสุข” แม่บอกโฮเมอร์เหมือนที่คุณสแปงเกลอร์พูดกับเขาหลังการจากไปของพี่ชาย “ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องอยู่ บางทีเขาอาจจะอยู่ในตัวเธอ ในตัวยูลิสซิสน้องชายของเธอ บางทีเขาอาจจะอยู่ในความรักที่เธอมีต่อเขา…จำเถอะว่า คนดีไม่มีวันตาย เธอจะได้เห็นเขาอีกหลายครั้ง…เธอจะรู้สึกถึงเขาได้ในทุกอย่างที่เกิดจากความรัก คนอาจจะจากไป แต่ส่วนที่ดีที่สุดของคนดีจะคงอยู่ มันจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ความรักเป็นอมตะและทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอมตะ แต่ความเกลียดชังจะตายไปทุกนาที”
แม่ครับ,
ผมไม่แน่ใจนักว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมากน้อยแค่ไหน แต่อยากให้แม่มั่นใจว่า เราทั้งคู่จะไม่มีวันหายไปจากชีวิตของกันและกัน สิ่งดี ๆ ในตัวแม่จะแวดล้อมอยู่รอบตัวผมเสมอ ในโลกที่ผมอาศัย ในทัศนคติที่ผมมองโลกใบนี้ ในทุกคนที่ผมปฏิสัมพันธ์ด้วยคำสอนอันอ่อนโยนของแม่ แม่จะปรากฏอยู่ทุกที่ที่มีความรัก เพราะความรักที่แม่ปลูกไว้ในตัวผมย่อมงอกงามผลิดอกออกใบไปรอบตัวทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่เปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป
สิบหกปีผ่านไป ผมจึงเข้าใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงถูกตั้งชื่อว่า
ความสุขแห่งชีวิต