ผีสางเทวดา เกร็ดเรื่องราวความเชื่อผีสาง เทวดา ในวัฒนธรรมไทยแต่อดีต
“จันทร์เจ้าขา ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า
ขอช้างขอม้า ให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง
ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู…”
สมัยนี้จะยังมีใครรู้จักเพลงนี้บ้างไหม ?
เพลงกล่อมเด็ก “จันทร์เจ้าขา” ก็เหมือนกันกับเพลงกล่อมเด็กทั่วไป คือไม่มีใครรู้ว่าใครแต่ง แต่งเมื่อไหร่ รู้กันแต่ว่าร้องกันมานานแล้ว
เมื่อตั้งใจฟังเนื้อความ เพลงนี้น่าจะ “โบราณ” จริง
เพราะสิ่งต่างๆ ที่คนร้องว่าอยากได้มาให้ “น้อง (ของ) ข้า” นั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “ชีวิตในอุดมคติ” แบบหลายร้อยปีก่อนมากๆ
เช่น ขอแหวนทองแดง ซึ่งคงไม่ได้หมายถึงแหวนที่ทำด้วยโลหะทองแดง แต่น่าจะเป็น “ทอง (คำ)” ซึ่งด้วยกรรมวิธีทำทองแบบเก่า สีที่ได้จะออกแดงๆ อย่างสำนวนโบราณเมื่อจะบอกว่าใครใส่ทองเต็มตัว ก็จะบอกว่าใส่ทองมา “แดง” ไปทั้งตัว ทำนองนั้น
หรืออยากมีช้างมีม้าไว้ขี่ ก็เพราะในยุคนั้นช้างม้าก็คือพาหนะสุดหรู ดีกว่าเดินเป็นไหนๆ
หรือที่ขอเก้าอี้ไว้นั่ง ขอเตียงไว้นอน ก็เพราะสามัญชนชาวบ้านทั่วไปนั่งพื้นนอนพื้น มีแต่เจ้านายหรือพ่อค้าจีนที่จะได้นั่งเก้าอี้ นอนเตียง
หรือที่ร้องขอละคร ก็เพราะนั่นคือความบันเทิงขั้นสุดยอดของสังคมแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หากใครมีคณะละครของตัวเอง คนนั้นก็ต้องถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ เพราะต้องมีทรัพย์สมบัติและมีบารมีมากพอที่จะเลี้ยงบ่าวไพร่ไว้ได้ทั้งคณะ เหมือนมีช่องทีวีส่วนตัว ดูได้ทุกวันตามต้องการ
ความปรารถนาหรือ “กิเลศ” ของมนุษย์เหล่านี้ถูกโอนไปให้แก่ผีสางเทวดาด้วย ว่าท่านเหล่านั้น ถึงจะไม่มีร่างกาย ก็ต้องอยากได้ช้างได้ม้า อยากมีละครไว้ดู ดังนั้น ของแก้บนที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง คงได้แก่สิ่งเหล่านี้นั่นเอง ดังจะเห็นได้ตามศาลพระภูมิทั่วไป ที่มักมีตุ๊กตาช้าง ม้า และละครรำ ตั้งไว้
ถึงศาลพระภูมิบางแห่งจะอลังการเป็นวิมานคอนกรีตทรงโรมันแล้ว แต่คนก็ยังเชื่อว่าพระภูมิเทวดาท่านก็คงพอใจกับช้างม้าละครรำอยู่เหมือนเดิม
เกิดที่จังหวัดพระนคร ปัจจุบันเป็น “นนทบุเรี่ยน” และเป็นบรรณาธิการสร้างสรรค์ นิตยสารสารคดี