เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล

สภาพน้ำท่วมสูงมิดศีรษะ บริเวณถนนเพชรเกษม
ช่วงหน้าหอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่
จ.สงขลา บ่ายวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

หลังพายุดีเปรสชันเคลื่อนขึ้นฝั่งที่ จ.สงขลา
ส่งผลให้ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งจังหวัด
กระแสน้ำจากพื้นที่รอบนอกไหลเข้าท่วม อ.หาดใหญ่ ซึ่งมีสภาพเป็นแอ่งกระทะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน
ในเขตเทศบาลเกินร้อยละ ๘๐ ของพื้นที่ (ภาพ : วันชัน พุทธทอง)

กระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาเศษขยะ โคลนตม
ไม่เว้นกระทั่งรถยนต์ไหลไปตามกระแสน้ำ (ภาพ : วันชัย พุทธทอง)

“กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากอย่างกับมีน้ำตกจากสิบภูเขามารวมกัน”

ไพรัช ทองเจือ เจ้าของร้านหนังสือนายอินทร์สาขาหาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่เมื่อคืนวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

“ความจริงที่หาดใหญ่มีฝนตกหนักติดต่อกันตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคมแล้ว เพิ่งจะมาซาลงบ้างเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ก่อนจะตกหนักอย่างกับฟ้ารั่วอีกครั้งก่อนพลบค่ำของวันที่ ๑ พฤศจิกายน ด้วยอิทธิพลของลมพายุดีเปรสชันเคลื่อนเข้าสู่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก  แม้ก่อนหน้านี้ ๓-๔ วันจะมีฝนตกติดต่อกัน แต่เทศบาลนครหาดใหญ่ก็จัดการระบายน้ำออกไปได้ จนทำให้ชาวหาดใหญ่หลายรายมั่นใจว่าน้ำจะไม่ท่วมเมือง…

“…แต่เราเพิ่งรู้ว่าเราคาดการณ์ผิดไป เมื่อถึงวันที่เห็นน้ำมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนของเราแล้ว”

วันแรกของเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓  หลังจากไพรัชกับภรรยาเริ่มวิตกว่าน้ำอาจท่วมหาดใหญ่ ทั้งสองก็แยกย้ายกันขับรถยนต์ ๒ คันไปจอดที่ห้างโรบินสันและธนาคารกรุงเทพ  ส่วนรถประจำสำนักงานให้พนักงานขับไปจอดที่ช่องเขาขาด ใกล้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ตลอดวันที่ ๑ พฤศจิกายน พื้นที่ ๘๕๒ ตารางกิโลเมตรของ อ.หาดใหญ่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง  ราวห้าโมงเย็น เทศบาลนครหาดใหญ่ออกแถลงการณ์รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ มีเนื้อความประกาศยกระดับการเตือนภัยเป็น “ธงแดง” หมายถึงสภาวะเตรียมการอพยพ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ขอให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ในขณะนั้นว่ายังคงมีกลุ่มฝนเสริมเข้ามาในพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง

หากแต่การแจ้งเตือนของทางราชการก็ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง ชาวหาดใหญ่หลายคนเพิ่งรู้ว่ามีประกาศชักธงแดงเมื่อตอนค่ำ ขณะที่บางคนระบุว่าเห็นมีการชักธงแดงตั้งแต่บ่ายแต่ไม่นานก็ถูกชักลง

๑๙.๐๐ น. อิทธิพลของพายุดีเปรสชันยังทำให้ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทั่ว อ. หาดใหญ่เจ้าของร้านนายอินทร์และภรรยาตัดสินใจถามหาอาสาสมัครที่จะอยู่เฝ้า ร้านในคืนนี้  เมื่อพบว่ามีผู้เสนอตัว ๙ คน  ทั้งหมดจึงช่วยกันตระเตรียมเสบียงกรัง หุงข้าวเต็มหม้อทุกใบในสำนักงาน ก่อนที่ไพรัชจะขับรถตระเวนสำรวจรอบเมืองโดยไม่มีโอกาสรู้ว่าตนเองจะไม่อาจ เดินทางกลับร้านได้เป็นเวลา ๒ วัน  เป็นชะตากรรมตรงกันข้ามกับอาสาสมัครทั้ง ๙ ชีวิตที่ถูกขังอยู่ภายในร้านด้วยระดับน้ำสูงมิดศีรษะ

ไพรัชเล่าว่า “ผมตั้งใจจะขับรถตระเวนดูรอบ ๆ เมือง เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เตรียมรับมือทัน  แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ผมไม่สามารถ หันหลังกลับได้อีก”

ราวสี่ทุ่ม เจ้าของร้านนายอินทร์โทรศัพท์ไปบอกอาสาสมัครทั้ง ๙ ชีวิตให้เริ่มขนย้ายหนังสือขึ้นชั้น ๒ ก่อนกำชับให้เร่งขนย้ายอย่างสุดกำลังในอีกชั่วโมงถัดมา  เขาอธิบายว่าสาเหตุที่ไม่จัดแจงเก็บหนังสือขึ้นที่สูงเสียแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากในรอบหลายปีที่ผ่านมาชาวหาดใหญ่ได้รับคำเตือนให้ระวังน้ำท่วม แต่ อ. หาดใหญ่ก็รอดพ้นมาได้ทุกที  “พนักงานของเราเคยเก็บแล้วจัด-จัดแล้วเก็บหนังสืออยู่หลายครั้งแต่ไม่เคย เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจริง คิดไม่ถึงว่าวิกฤตการณ์ที่ทำให้หาดใหญ่จมอยู่ใต้บาดาลจะเกิดขึ้นจริงในปี นี้”

ภาพเหตุการณ์กลางดึกคืนวันที่ ๑ พฤศจิกายนที่ถูกบันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิดหน้าร้าน อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี  กล้องจับภาพฟุตบาทหน้าร้านและลานจอดรถ เวลา ๒๒.๐๖ น. หน้าจอแสดงภาพฝนตกหนัก  ๒๒.๑๑ น. น้ำเริ่มเอ่อทะลักขึ้นจากท่อระบายน้ำ  ๒๓.๔๐ น. น้ำเพิ่มสูงจนปริ่มฟุตบาท  ๒๓.๕๘ น. น้ำท่วมมิดฟุตบาทอย่างรวดเร็ว ยังผลให้ลานจอดรถมีสภาพไม่ต่างจากบึง

ย่างเข้าวันใหม่ราวครึ่งชั่วโมง กระแสน้ำที่ไหลบ่ามาจากทางสถานีรถไฟสมทบกับน้ำที่เอ่อล้นขึ้นมาจากท่อระบาย น้ำไหลทะลักเข้าสู่ร้านหนังสือนายอินทร์  ความแรงของน้ำดันผนังกระจกหน้าร้านกระเด็นออกทั้งแผ่น ขณะที่ประตูเหล็กบุบบี้เข้าไปเป็นรูปตัว U  ไม่นานหลังจากนั้นก็ปรากฏภาพเศษขยะจำนวนมหาศาลไหลตามน้ำผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ผมอยากให้คุณดูความแรงของน้ำ มันไม่ต่างจากคลองหรือแม่น้ำที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวเลย” เจ้าของร้านนายอินทร์กล่าว

๐๐.๓๗ น. ภาพบนจอก็ดับมืดลง ตรงกับเวลาที่ทางการประกาศตัดไฟ  หาดใหญ่กลายเป็นเมืองใต้แสงเทียน

รุ่งเช้าวันที่ ๒ พฤศจิกายน น้ำท่วม อ. หาดใหญ่เกินร้อยละ ๘๐ ของพื้นที่  ระดับน้ำบางจุดท่วมสูงมิดหลังคารถยนต์ บางจุดสูงถึงชั้น ๒ ของอาคาร  ขณะที่ถนนสายเศรษฐกิจสำคัญอย่างถนนนิพันธ์อุทิศสาย ๑-๓ ถนนเสน่หานุสรณ์ ตลอดจนย่านการค้าอย่างตลาดกิมหยง ตลาดสันติสุข ระดับน้ำสูงเฉลี่ย ๒-๓ เมตร

สภาพภูมิประเทศของ อ. หาดใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมีภูเขาโอบล้อม เป็นเมืองแอ่งกระทะซึ่งพื้นที่ด้านหนึ่งทางเหนือถูกบิดให้งุ้มลงเป็นช่อง ระบายน้ำไปออกทะเลสาบสงขลา  หาดใหญ่เป็นเมืองน้ำผ่าน เป็นพื้นที่รองรับน้ำจากพื้นที่รอบนอกเพื่อไหลออกสู่ทะเล แม้แต่ฝนที่ตกบนเทือกเขาสันกาลาคีรีพรมแดนไทย-มาเลเซียก็ยังต้องไหลผ่านคลอง อู่ตะเภาซึ่งมีความยาวราว ๙๐ กิโลเมตรจากอำเภอสะเดามายังหาดใหญ่

บุญจง จรัสดำรงนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันวิกฤตน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วม อ. หาดใหญ่ครั้งนี้ว่ามาจากอิทธิพลของลมพายุดีเปรสชันจากอ่าวไทยเข้าสู่เขต เมือง ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกอย่างต่อเนื่องมากกว่าวันละ ๓๐๐ มิลลิเมตร  ขณะที่คลองอู่ตะเภาซึ่งมีสถานะเป็นคลองระบายน้ำปรกติสามารถรองรับปริมาณน้ำ ได้ ๙๐๐ ลบ.ม. ต่อวินาที  แต่วันที่ ๑ พฤศจิกายนมีน้ำระบายลงคลองมากถึง ๑,๖๐๐ ลบ.ม. ต่อวินาที

น้ำท่วมครั้งนี้ยังมีสาเหตุจากการตัดถนนเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ทางทิศตะวันออก เฉียงเหนือ คือถนนลพบุรีราเมศวร์ ถนนสายสนามบิน-ควนลัง รวมทั้งเส้นทางรถไฟ ตัดผ่านพื้นที่ซึ่งเดิมเป็นป่าพรุผืนใหญ่คอยรองรับน้ำ ทำให้ถนนมีสภาพไม่ต่างจาก “ผนัง” กั้นน้ำไม่ให้ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาอย่างสะดวก

ตลอดวันที่ ๒ พฤศจิกายน แม้ไม่มีฝนตกแต่ระดับน้ำใน “เมืองหลวงภาคใต้ตอนล่าง” ยังทรงตัว  ตามสถานพยาบาลอย่างโรงพยาบาลหาดใหญ่ได้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นสู่ชั้น บน รวมถึงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ทางเฮลิคอปเตอร์

ระบบไฟฟ้า น้ำประปา การสื่อสารถูกตัดขาด  เมืองทั้งเมืองอยู่ในภาวะโดดเดี่ยวถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ขณะกำลังแจกจ่ายสิ่งของช่วยผู้ประสบภัย อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ทหารพบศพชายนิรนามลอยตามน้ำมาบริเวณสี่แยกสะพานดำ

เจ็ตสกีที่หน่วยงานเอกชนใช้บรรทุกสิ่งของมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยประสบปัญหา ในการลงปฏิบัติการในพื้นที่ เนื่องจากในน้ำมีเศษขยะจำนวนมากรวมทั้งเศษผ้าที่สร้างความเสียหายให้เครื่อง ยนต์

อย่างไรก็ตาม ราว ๒ คืนกับอีก ๑ วัน สถานการณ์อุทกภัยในเขตตัวเมืองชั้นในของอำเภอหาดใหญ่ก็คลี่คลาย  ปิยพร แซ่อึ้ง บ้านอยู่สุดสาย ๓ (ถนนนิพัทธ์ภักดี) เชื่อมต่อกับถนนนิพันธ์-อุทิศ ๓ อันเป็นถนนสายเศรษฐกิจสำคัญของหาดใหญ่ เล่าว่า หลังจากวันที่ ๒ พฤศจิกายน ระดับน้ำสูง ๑.๖-๑.๗ เมตร  รุ่งเช้าวันถัดมาเวลาหกโมง ระดับน้ำลดลงอยู่ระดับหัวเข่า เจ็ดโมงเช้าน้ำลดเหลือครึ่งแข้ง สิบเอ็ดโมงน้ำลดเหลือตาตุ่ม และเที่ยงวันน้ำก็แห้ง

เย็นวันที่ ๓ พฤศจิกายน น้ำมหาศาลแห้งเหือดสิ้น คงเหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างที่ไม่อาจต้านทานความ เชี่ยวกรากของกระแสน้ำได้  รั้วบ้านหลายหลังเอียงระเนนลงเป็นแถบ  ถนนทุกสายมองเห็นร่องรอยความเสียหาย สองฝั่งเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล กองขยะ โคลนตม เศษไม้ ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่งรถยนต์และจักรยานยนต์ที่ถูกน้ำพัดพามากองระเกะระกะไม่มี ชิ้นดี

ขณะที่ผู้คนเริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านเรือน ฉีดน้ำล้างโคลนเลน คัดแยกสิ่งของเสียหายที่ยังพอใช้งานได้มาชำระล้างซ่อมแซม รื้อถอนเศษซากหักพังและขยะไปทิ้ง