เรื่อง : ผกามาศ อร่ามผล
ภาพ : ณัชชา เจียรไพศาลเจริญ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบหรือไม่ก็ตาม เวลาคุณเดินไปตามสถานที่ต่างๆ คุณเคยสังเกตและมองคนเหล่านี้ดูบ้างหรือไม่ หรือพวกเขาเป็นเพียงอากาศที่คุณเดินผ่านแล้วเค้าไม่มีตัวตน ทุกคนเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอาจเพื่อกลับบ้านหรือไปทำงาน ในขณะที่เขาอาจไม่มีที่ให้ไปแม้บางครั้งอยากจะไปก็ตาม
“ไร้บ้าน ไม่ได้ไร้หัวใจเสียหน่อย”
หลายครั้งที่ฉันเห็นสายตาที่สุดแสนจะเวทนาของผู้คนที่มองคนไร้บ้านประดุจว่าพวกเขามีความทุกข์แสนสาหัส แต่เขาและเธอเหล่านั้นต่างก็ย่างเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ มีเพียงการปรายตาที่ดูจะตั้งใจมอบให้พวกเขา คล้ายว่าสิ่งนั้นจะช่วยบรรเทาความหิวโหยของใครสักคนได้
ปัญหาคนไร้บ้านเป็นปัญหาซ้ำซาก ยาวนาน ชินชา เป็นสิ่งที่อาจจะพอเข้าใจได้ หากไม่มองถึงระดับโครงสร้าง เพราะทุกคนมีภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบต่างกันออกไป ชั่วพริบตาที่แลเห็นพวกเขา มันจะดีแค่ไหนถ้าเรามองเขาในฐานะของมนุษย์ที่เท่ากัน ไม่ใช่ภาระหรือบุคคลที่น่าเวทนา
หนึ่งในคนไร้บ้านที่จะขอยกธงสำแดงความเป็นมนุษย์ของตนออกมาคือ มาลี เยาวลี อายุ 42 ปี หรือคนแถวนั้นมักเรียกเธอว่าบี หญิงวัยกลางคน ดวงตากลมโต มีผิวสีคล้ำตัดกับผมสีทองสว่าง ด้วยความสูงเพียง 157 เซนติเมตรจึงทำให้เธอดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทราบได้เลยว่าเธอคือเธอ นั่นคือรอยสลักแห่งรักความว่า “บรูโน่” อันมีที่มา
นานา สุขุมวิท ซอย 4
ทันทีที่เราเจอเธอ คล้ายกับเธอจะเหนียมอายด้วยเสื้อผ้าที่มอมแมม ผมเผ้ารุงรัง หญิงสาวผิวคล้ำจึงขอตัวไปชำระร่างกายเพื่อต่อสู้กับหลายประเด็นครหา ในเมื่อเธอไม่มีบ้าน เธอจะอาบน้ำที่ไหน ฉันแปลกใจ ไม่นานเธอก็จะตอบคำถามของฉันด้วยภาพตรงหน้า เธอเร่งก้าวเท้าซ้ายสลับขวา เลี้ยวขวาสลับซ้ายไปมาอย่างชินทาง มาหยุดที่สถานที่แห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นโครงสร้างปูน มีหลายเสา มีรถหลายคันแวะเข้ามา เป็นสถานที่ที่คนทั่วไปแวะเข้าเมื่อเพื่อเติมน้ำมัน แต่สำหรับเธอมันมีความสำคัญกว่านั้น เพราะที่นี่เปิดให้เธอเข้ามาชำระเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนได้
รถคันน้อยใหญ่แวะเวียนกันเข้ามาและขับออกไปหลายต่อหลายคัน เวลาผ่านไปไม่นาน หญิงวัยกลางคนอดีตเนื้อตัวมอมแมม ตอนนี้ดูเกลี้ยงเกลา เธอสวมกางเกงสีแดงสด เสื้อกล้ามสียีนสุดเท่ ริมฝีปากสีบานเย็น พร้อมผมที่ได้รับการหวีจนเรียบแปล้ ฉันมองว่าเธอก็สวยดี ผมสั้นรับกับใบหน้าและดวงตากลมโต เธอมีความสวยที่ปรกติไม่ต่างจากคนทั่วไป
หลังจากสบายใจในเนื้อตัวที่สะอาดและเสื้อตัวเก่งแล้ว ไม่นานเธอก็เริ่มก้าวเท้าใหม่อีกครั้ง นำทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ระหว่างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร สถานบริการ ผับ บาร์ หนุ่มสาวมากหน้าหลายตาคลอเคลียกันอยู่สองข้างทาง เพียงครู่เดียวเท้าทั้งสองของเธอก็ยุติการก้าว หญิงสาวกางเกงแดง หยุดที่ร้านสะดวกซื้อกลางซอย จากนั้นค่อยๆ เดินเลาะไปนั่งบนพื้นปูนที่ยื่นออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ตรงซ้ายมือของเธอมีกระเป๋าเป้สีดำขนาดกลางหนึ่งใบ ถัดจากกระเป๋าใบเก่งยังมีกระดาษหนังสือพิมพ์ย่นๆ กองอยู่ข้างๆ
ฉันมองกองหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ตรงหน้า เหมือนเธอจะเข้าใจในคำถามที่แสดงความฉงนใจออกมาทางสายตา หญิงสาวผมทองชิงตอบคล้ายรู้ใจ “พี่นอนที่นี่แหละ” เธอตอบพลางลูบคางไปมา เธอหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ยับยู่ยี่มาปูข้างตัวและตบเบาๆ ที่กองกระดาษนั้นพลางขยับตัว พยักหน้าชวนฉันไปนั่งด้วย
จากนั้นหญิงเจ้าของกระดาษหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็เอื้อมมือเล็กๆ ไปหยิบกระเป๋าใบเก่งมาวางบนตัก ก่อนจะบอกว่าสมบัติของเธอมีเท่านี้แหละ ทันทีที่พูดจบเธอหยิบของสำคัญในกระเป๋าออกมา ได้แก่ ลิปสติกราคา 39 บาท และธนบัตรสีแดงหนึ่งใบ
การที่เธอมาอาศัยหลับนอนในที่สาธารณะคนส่วนใหญ่มักจะอนุมานว่าเธอไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีบ้าน หรือที่มักจะได้ยิน คำนิยามว่า “คนไร้บ้าน” หากหนักไปกว่านั้นคือ คำจำพวกคนเร่ร่อน คนจรจัด เป็นคำที่ช่างลดทอนความเป็นคนที่เหมือนกันอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในกรุงเทพมหานครจะมีผู้ที่ใช้ชีวิตสาธารณะถึง 3,311 คน ในปี 2558 แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่มีบ้าน
คนส่วนใหญ่มีบ้านให้นอนหลับสบาย แต่คนเร่ร่อนเหล่านี้ต้องอยู่ริมถนน ริมร้านค้าร้านสะดวกซื้อ อย่าง “พี่บีและพี่นัท” ที่เขาทั้งสองล้วนมีภูมิหลัง สิ่งของน้อยชิ้นที่วางไว้เพื่อใช้งาน
บ้านของเธอ (ทุกคนมีที่มา)
บี ก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อได้ยินคำถามว่าเธอไม่มีบ้านหรือ?
หญิงสาวผมทองรีบสวนทันควัน เธอมีบ้าน แววตาและน้ำเสียงที่ดุดันขึ้นของเธอแลดูช่างคล้ายงูหางกระดิ่งที่กำลังสั่นกระดิ่งเพื่อส่งสัญญาณเตือนหากเพลี่ยงพล้ำเข้ามาอาณาเขตของเธอ เป็นสิ่งที่ฉันเข้าใจได้ คำว่าเธอ “ไร้บ้าน” คงเป็นคำครหาทางสายตาที่เพื่อนมนุษย์หลายคนหยิบยื่นให้ตลอดมา แต่เธอคงไม่อยากได้มันจากฉัน
เธอเว้นระยะผ่อนจังหวะหายใจเพื่อดึงสติกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เผยปูมหลังผ่านน้ำเสียงทุ้มต่ำ เธอบอกว่าบ้านเธออยู่มีนบุรี เธอมีพ่อมีแม่ไม่ต่างไปจากฉันหรือจากมนุษย์ทุกคนบนโลก สายตาของเธอสร้างความเข้าใจให้กับฉันใหม่ ว่า สำหรับบางคน บ้านคือวิมานที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันสำหรับหลายคน บ้านอาจจะเป็นเพียง “โครงปูนที่มีหลังคา” เท่านั้น
หญิงผิวคล้ำตาโตคนเดิมบอกต่อว่า เธอมีพี่น้องเก้าคน แต่กลับไม่ใช่ครอบครัวที่ีอบอุ่นนัก ฐานะไม่ดี เรียนเพียงประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อเธออ่านออกเขียนได้ก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะที่บ้านไม่มีเงินมากพอจะส่ง จบ ป.6 จะไปทำอะไร ใครๆ ก็ไม่รับ เพื่อนเลยชวนมาอยู่ที่นี่
“เฮ้ออออออออออออออ ! ”
หญิงผู้อยู่ตรงหน้าเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหวนนึกถึงอดีต เธอบอกว่าเคยทำไม่ดีมาเยอะ อะไรได้เงินทำหมด ส่งม้า วิ่งยา ก็เคยทำ แต่ตอนนี้ไม่กลับไปทำแล้ว สิ้นประโยคเธอหัวเราะเบาๆ ออกมาและมองหน้าฉัน คล้ายจะดูทีท่าว่าฉันยังจะเป็นมิตรกับเธออยู่หรือไม่ หากดวงตาคู่นี้ของเธอพูดได้ เธอคงกำลังอยากบอกว่า
“เสียใจ”
ฉันไม่รู้ว่าเธอต้องการโอกาสสำหรับการแก้ตัวหรือไม่และเพราะอะไรเธอจึงเลือกที่จะไม่กลับบ้าน แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้มากกว่าคือ สำหรับชีวิตของเธอในตอนนี้ อะไรคือความปรารถนาสูงสุด?
คนแถวนี้เล่าว่าเธอคนนี้มีความรัก มีเพื่อน มีแฟน สีหน้าที่ดูไร้ความรู้สึกในภาพนี้เป็นเพราะสิ่งที่เธอรักที่สุดกำลังจะจากไปอีกครั้ง
ความปรารถนาของเธอ (ฝันเล็กๆ ริมทางเท้า)
หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคนไร้บ้านมีหน้าที่อันสำคัญต่อชีวิตเขาหนักหนาสุดเพียงหาสิ่งบรรเทาความหิวโหยในแต่ละวัน แต่นั่นเป็นความเข้าใจจากเบ้าหลอมของนักตัดสิน หรืออาจจะเป็นวิถีของคนไร้บ้านเพียงบางชีวิต แต่ไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอเป็นหญิงสาวผู้ (ยัง) มีฝัน ความฝันของเธอคือการเอาหม้อหุงข้าวและโทรทัศน์หน้าจอสิบแปดนิ้วที่เก็บเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงไปให้พ่อ แต่คล้ายฟ้าจะไม่เป็นใจ หญิงสาวมีทุกอย่างยกเว้น “พี่ไม่มีค่ารถ จริงๆ ไม่มีเงินให้พ่อด้วย ตั้งใจจะให้แกสักพันสองพัน” เธอกล่าวทิ้งท้าย เมื่อสิ้นประโยคฉันรู้สึกว่าความปรารถนาของเธอเป็นความต้องการที่เรียบง่ายที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินมา
ความสวยของเธอ (ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง)
แม้เธอจะไม่ได้สุขสบายเลยแม้แต่น้อยแต่เธอยังคิดถึงพ่อของเธอ ฉันมองเธอสวยมากขึ้นไปอีก และทุกครั้งที่ฉันเห็นเธอ ริมฝีปากของเธอจะมีสีบานเย็นเสมอ บางครั้งเธอจะกังวลว่าสีปากของเธอจะจืดลง ฉันแอบเห็นเธอหันหน้าไปอีกทางแล้วหยิบลิปสติกคู่ใจมาทาก่อนจะเม้มปากไปมาแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ
ความสวยของเธอไม่ได้มีเพียงริมฝีปากสีบานเย็น เมื่อเธอชวนเราเข้ามาในอาคารพาณิชย์สามชั้นแห่งหนึ่ง เสียงจอแจพูดคุยอย่างออกรสออกชาติของหญิงสาวมากหน้าหลายตา แตกต่างอิริยาบถกันไป บ้างนอนลำตัวเหยียดตรง หลับตาพริ้ม เพื่อให้หญิงสาวอีกคนบรรจงใช้มือสัมผัสเส้นผมยาวตรงขึ้นลงไปมา บ้างก็กำลังหยิบแปรงขนฟูสะบัดสีใส่หน้า สายตาจดจ้องที่กระจกบานใหญ่ บ้างก็ใช้ปลายพู่กันอันน้อยจุ่มสีหลากหลายป้ายไปยังเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างพอใจ บี หญิงกางเกงแดงกำลังใช้มือน้อยๆ จับมาสคารามาจัดแต่งขนตาบนดวงตาคู่โตอย่างชอบใจ
City Light Coffee ชั้น 1 เปิดเป็นร้านกาแฟรสชาติดีที่จะมีชาวต่างชาติแวะเวียนมาชิมไม่ขาดสาย ในส่วนของชั้น 3 จะเปิดเป็นพื้นที่การเรียนรู้สำหรับหญิงสาวในเงาของสังคม มีทั้งเสริมสวย แต่งหน้า ทำผม เรียนทำเครื่องประดับ พร้อมสอนกีตาร์และคอมพิวเตอร์ แต่จะสอนเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น หญิงผิวคล้ำ เจ้าของริมฝีปากสีบานเย็นมักจะมาเสริมสวยที่นี่บ่อยครั้ง
อีกหนึ่งเหตุผลที่เธอมักจะแวะมาที่ City Light Coffee เพราะเธอจะได้เจอกับเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายคน คำกล่าวที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมคงเป็นคำกล่าวที่เป็นอมตะจริงๆ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน มนุษย์ย่อมขาดเพื่อนไม่ได้ หญิงสาวที่นั่งข้างๆ ฉันคนนี้เธอก็มีเพื่อน
คนไร้บ้านที่มีอาการป่วยทางจิตอย่างพี่นัท บางครั้งก๋นั่งเหม่อ สูบบุหรี่ไป ร้องไห้ไป หรือหัวเราะเสียงดังอย่างไม่มีเหตุผล
เพื่อนของเธอ (มิตรภาพริมถนน)
เตี้ย ชายวัยกลางคน ร่างท้วม ผู้มีภารกิจหลักคือรับจ้างเข็นเศษขยะจากร้านค้าไปทิ้งหน้าปากซอย เขาทำหน้าที่ของเขาได้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม้ถุงขยะสีดำกลิ่นเหม็นคละคลุ้งนั้นจะกองสูงท่วมหัวเขาก็ตาม เมื่อชายร่างท้วมทำหน้าที่ของตนเสร็จ เขาก็จะได้ผลตอบแทนจำนวนหลักสิบบ้าง ไม่เกินร้อย เมื่อเตี้ยได้รับค่าตอบแทนส่วนนั้นมาก็จะนำมาแบ่งให้บีเป็นค่าข้าว ค่าน้ำ ประจำ ฉันได้แต่จำลองสถานการณ์ในใจ หากว่าวันหนึ่งฉันไม่มีเงินแม้แต่จะเช่าบ้าน ฉันยังจะมีใจนึกถึงคนอื่นแบบที่เตี้ยทำไหม
สายชล จวบรัมย์ อายุ 43 ปี เธอเป็นผู้หญิงที่มีดวงตากลมโต รอยยิ้มสดใส ชื่อเล่นของเธอคือ นัท สายชล เพราะละแวกนี้มีคนชื่อนัทหลายคน บ้านเกิดของเธออยู่จังหวัดบุรีรัมย์ มีลูกสาวสองคน ทำงานอยู่ในโรงงาน แต่ด้วยความที่ลูกๆ ต่างมีครอบครัว เธอจึงตัดสินใจมาใช้ชีวิตริมถนน เธอเล่าว่ารู้จักกับบีมานานกว่า 6 ปี แต่เพิ่งจะมานอนข้างร้านสะดวกซื้อร้านเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ เพราะบางทีหากมีเงินเธอก็จะไปเช่าห้องอยู่ บางทีก็ไปนอนข้างป้ายรถเมล์ พอมานอนที่นี่ก็ได้เจอบี รู้สึกถูกชะตา จึงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่นั้น นัทมีท่าทางดีใจมากเมื่อเห็นว่าเรากำลังตั้งใจฟังเรื่องราวของเธอ และยิ้มสู้กล้อง ชูไม้ชูมือไปมา ทันทีที่เธอเห็นตัวเองในกล้อง เธอดูจะมีความสุขมาก ฉันรู้สึกว่าทำไมพวกเขามีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างง่ายดาย แต่สำหรับฉันความสุขดูจะหายากเย็น
หญิงวัยกลางคนเล่าตัวตนของเธอให้ปรากฏอย่างช้าๆ เธออยากบอกว่าเธอมีที่มา มีบ้าน มีครอบครัว มีความต้องการ มีมิตรภาพ มีตัวตน และอีกสิ่งหนึ่งที่เธอมีนั่นคือความรักที่มอบให้ชายคนหนึ่ง
แม้ทั้งคู่จะมาจากคนละที่แต่พี่บีและพี่นัทกลายเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ นี่อาจเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า “ทำไมไม่กลับบ้าน”
เมื่อสังคมไม่สวยงาม คนเร่ร่อนเหล่านี้จึงถูกมองว่าเป็นปัญหาสังคม เป็นขยะรกหูรกตา
ความรักของเธอ (หัวใจหญิงข้างทาง)
ครั้งแรกที่ฉันได้ยินว่าเธอมีคนรัก ฉันรู้สึกแปลกใจ มิหนำซ้ำคนรักของเธอก็ยังนอนข้างถนนเช่นเดียวกันด้วย
Bruno Jakob หนุ่มนัยน์ตาฟ้า ผมทอง สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของหัวใจของบี เคยมีอาชีพเป็นพนักงานธนาคาร ครั้งแรกที่เขามาเมืองไทยคือเมื่อ 9 ปีก่อน หนุ่มตาน้ำข้าวมักจะออกมาซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ประจำเพราะเช่าอพาร์ตเมนต์ไม่ไกลจากตรงที่บีอยู่ เขามักจะเห็นบีนั่งเหม่ออยู่ริมถนน ชายเจ้าของสัญชาติสวิสกลัวว่าเธอจะไม่มีเงินซื้อข้าว จึงมักซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้เป็นประจำ นานวันเข้าจากความสงสารก็ก่อตัวกลายเป็นความเห็นอกเห็นใจ ในที่สุดก็เป็นความรัก และบีก็ตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์หรููของบรูโน่
เส้นทางที่ดูจะถูกเกลี่ยอย่างดีด้วยคอนกรีตของเธอและเขากลับตาลปัตรเมื่ออยู่ๆ บรูโน่เปลี่ยนไป นำเงินที่มีไปซื้อของจนหมดตัว ทำให้เริ่มแรกทั้งสองต้องอาศัยหลับนอนอยู่ป้ายรถเมล์ จากนั้นจึงย้ายมาที่นี่ ด้วยความที่ประเทศบ้านเกิดของบรูโน่มีสวัสดิการที่ดูแลประชากรมนุษย์ของเขาอย่างทั่วถึง ฝรั่งหนุ่มจึงได้เงินจากประเทศตนทุกเดือน ยามต้นเดือนเขาและเธอก็จะไปเช่าโรงแรมอยู่ด้วยกัน พอเงินหมดก็กลับมานอนริมถนนเช่นเดิม แต่ตลอดมาก็ไม่เคยมีใครทอดทิ้งใครเลย จนความรักของทั้งคู่ผ่านมาถึง 9 ปี
บรูโน่ ผู้ชายผู้กำหัวใจของบี ภายนอกเขาเป็นหนุ่มตาน้ำข้าวปรกติ แต่เขามีนิสัยชอบขนขยะจากถังขยะข้างตู้กดเงินแล้วใช้ปากกาเซ็นชื่อตัวเองซ้ำมาซ้ำไป เนื่องจากเขาเคยทำงานธนาคารจึงจำลองกองขยะนั้นเป็นเช็ค และยังคงเข้าใจว่าตนเองมีหน้าที่ต้องเซ็นเช็ค บรูโน่ไม่ใช่เป็นเพียงคนไร้บ้าน แต่เขาเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องได้รับการบำบัด ด้วยความที่บรูโน่เป็นชาวต่างชาติที่มีสวัสดิการดี เขาจึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ในขณะที่คนไร้บ้านของประเทศเรา ไม่ว่าจะแค่ไร้บ้านหรือเป็นผู้ป่วยข้างถนนก็คงถูกจัดรวมไว้ในกลุ่มเดียวกันทั้งหมด ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาเหล่านั้นมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดและช่วยเหลือตามกระบวนการ
พี่บีและพี่นัท ต่างเลือกที่จะอยู่ตรงนี้เพียงเพราะไม่อยากกลับไปเป็นภาระของครอบครัว
การช่วยเหลือเริ่มต้นจากการจำแนก
“สังคมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการจำแนกคนไร้บ้านปรกติกับผู้ป่วยสาธารณะเท่าที่ควร” สมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานมูลนิธิกระจกเงา หรือฉายา บก.ลายจุด ชายวัยกลางคนขยับแว่นสายตาเล็กน้อย ก่อนบอกต่อว่า คนป่วยต้องเข้ารับการรักษา ในมิติของกฎหมายจะมี พรบ.สุขภาพจิต ว่าด้วยเรื่องของการบำบัด หน้าที่ของรัฐคือการบังคับบำบัด โดยจะต้องมีการทำงานร่วมกันของสองฝ่าย ได้แก่จิตแพทย์ที่จะประเมินอาหาร และเจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องคุมตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลจิตเวชหรือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
การจัดการที่เป็นมนุษย์มากกว่า
“หากพูดถึงปัญหาคนไร้บ้านจริงๆ แล้วทุกประเทศบนโลกก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนมีบ้านได้หมด แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา แต่ละรัฐก็ยังมีคนใช้ชีวิตสาธารณะอยู่มาก ไม่ใช่เพียงประเทศเราประเทศเดียว แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือระบบโครงสร้างการจัดการ” ประธานมูลนิธิกระจกเงาเล่าต่อว่า ถ้าให้คุณไปใช้ชีวิตกับคนบ้า คุณจะอยู่ไหม? เนื่องจากบ้านเราไม่แยกคนบ้ากับคนดีออกจากกัน พวกเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีออกมา ยอมใช้ชีวิตแบบอดๆ อยากๆ เสียดีกว่าอยู่กับคนบ้า หากเป็นต่างประเทศเขาจะมีนักบำบัดที่มีวิธีการพูดคุยและให้คำปรึกษากับพวกเขา จึงเป็นการจัดการที่เป็นมนุษย์มากกว่าการปัดกวาด บก.ลายจุดทิ้งท้าย
นานา สุขุมวิท ซอย 4
แสงสุดท้ายของวันนี้กำลังสิ้นสุดลงพร้อมทอดผ่านเงาของช่องแคบที่ไร้หลังคา
ก่อนที่ไฟของท้องถนนจะเข้ามาส่องสว่างแทนที่
ฉันมองดูหญิงวัยกลางคนกำลังมีความสุขกับการพูดคุยกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ถ่ายเลยๆ ถ่ายเยอะๆ ถ่ายไปแล้วไปแจ้งตำรวจ เอาพวกมันไปให้หมด” ปลายเสียงเป็นชายอายุไม่เกิน 50 ปี ใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาแข็งกร้าว มือทั้งสองชี้สลับไปสลับมาผสมกับชี้มาทางบี ชายนิรนามไม่ประสงค์จะบอกชื่อคนนี้บอกต่อว่า “ในซอย 3 ซอย 4 ผู้หญิงพวกนี้เยอะ ไม่ยอมไปไหน รักสบาย เคยไปบำบัดก็กลับมาใหม่ กินเหล้า แล้วนอนเกลื่อน มีกินมีใช้กับคำว่าขอ” สิ้นเสียงชายผู้นี้ก็หันขวับแล้วสาวเท้าเข้าร้านอาหารตามสั่งของตน
ฉันกำลังมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ฉันคงตอบไม่ได้ว่าเธอรู้สึกชินชาหรือเจ็บปวด แต่สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้คือน้ำใสๆ ที่คลออยู่ในดวงตาของเธอ