คอลัมน์ มิติคู่ขนาน
บัญชา ธนบุญสมบัติ
buncha2509@gmail.com,
www.facebook.com/buncha2509
บทความฉบับที่แล้ว ( Einstein vs Hawking มีอะไรเหมือน (ต่าง) กัน ? (ตอนที่ ๑)) ได้เปรียบเทียบไอน์สไตน์และฮอว์คิงในแง่มุมต่างๆ ได้แก่ แรงผลักดันของแต่ละคนที่ทำให้ค้นคว้าฟิสิกส์อย่างลึกซึ้ง ผลการเรียนระดับมัธยมฯ และพฤติกรรมระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย คราวนี้มาดูกันต่อครับ
http://theespressobar.org/leadin/leadin_2_images/13_Science/EinsteinBicycle.jpg
นักฟิสิกส์ทั้งสองเริ่มมีชื่อเสียงตอนไหน ?
ถ้าเป็นชื่อเสียงในแวดวงวิชาการ สำหรับไอน์สไตน์ต้องนับ ค.ศ. ๑๙๐๕ ซึ่งถือว่าเป็นปีมหัศจรรย์ของเขา เพราะอายุเพียง ๒๖ ปีก็ได้ตีพิมพ์บทความห้าเรื่องในวารสาร Annalen der Physik ที่ทำให้วงการฟิสิกส์สั่นสะเทือน บทความทั้งหมดแบ่งเป็นสามด้านหลัก ได้แก่ “แสงเป็นอนุภาคได้” (ในบทความอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก) “อะตอมและโมเลกุลมีจริง” (อธิบายการเคลื่อนที่แบบบราวน์) และ “การผนวกรวมกาล-อวกาศ และมวล-พลังงาน” (ต่อมาเรียกว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ)
ส่วนฮอว์คิงเป็นที่จับตาของคนในวงการเพราะเขาจับผิด เฟรด ฮอยล์ (Fred Hoyle) นักดาราศาสตร์เรืองนามแห่งยุค โดยหลังจากที่ฮอยล์นำเสนอทฤษฎีในที่ประชุมราชสมาคม ค.ศ. ๑๙๖๔ ฮอว์คิงได้ชี้ว่าทฤษฎีนั้นผิดพลาด เนื่องจากตนมีโอกาสศึกษางานชิ้นนี้จากร่างบทความของลูกศิษย์ของฮอยล์ ชื่อ ชยังต์ นาร์ลีกร (Jayant Narlikar) มาก่อนแล้ว (ฮอว์คิงใช้ห้องทำงานร่วมกับนาร์ลีกร)
ส่วนความโด่งดังระดับโลก สำหรับไอน์สไตน์คือวันที่ ๗ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๑๙ โดยในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๑๙ เซอร์อาร์เทอร์ สแตนลีย์ เอ็ดดิงตัน (Sir Arthur Stanley Eddington) ได้นำเสนอผลการสังเกตสุริยุปราคาเต็มดวง (เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๑๙) ที่ราชสมาคม ซึ่งสรุปว่าผลการทำนายเรื่องแสงถูกเบี่ยงเป็นเส้นโค้งตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์นั้นถูกต้อง วันถัดมาคือ ๗ พฤศจิกายน หนังสือพิมพ์
The Times แห่งลอนดอนก็พาดหัวข่าวสามบรรทัดว่า
“REVOLUTION IN SCIENCE
New Theory of the Universe
NEWTONIAN IDEAS OVERTHROWN”
(ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับเอกภพ โค่นแนวคิดนิวตัน)
เพียงเท่านี้ไอน์สไตน์ก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกไปชั่วข้ามคืน !
ส่วนชื่อฮอว์คิงเป็นที่รู้จักทั่วไปเมื่อเขาเขียนหนังสือ A Brief History of Time (แปลเป็นไทยชื่อ ประวัติย่อของกาลเวลา) ด้วยต้องการอธิบายให้คนทั่วไปทราบว่าขณะนั้นความรู้เกี่ยวกับเอกภพของนักฟิสิกส์ไปถึงไหน หนังสือเล่มนี้วางตลาดครั้งแรก ค.ศ. ๑๙๘๘ และสร้างสถิติน่าทึ่งเพราะติดอันดับหนังสือขายดีที่สุดของ New York Times ๑๔๗ สัปดาห์ และ London Sunday Times ๒๓๗ สัปดาห์ ทำลายสถิติหนังสือติดอันดับขายดีที่สุดก่อนหน้านั้น และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง ๔๐ ภาษา มียอดจำหน่ายทั่วโลกกว่า ๑๐ ล้านเล่ม
ขบวนแห่ไอน์สไตน์ที่นิวยอร์กเมื่อ ๔ เมษายน ค.ศ. ๑๙๒๑ ภาพจาก – http://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einstein#/media/File:Einstein_in_NY_1921.jpg
ช่วงเวลาแห่งการ “ปิ๊งแว้บ” ของนักฟิสิกส์สองคนนี้เป็นอย่างไร ?
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๐๗ ขณะไอน์สไตน์เขียนบทความเพื่ออธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษให้เสร็จทันลงรายงานวิทยาศาสตร์ประจำปี เขามีแง่มุมบางอย่างรบกวนจิตใจ นั่นคือทฤษฎีนี้ใช้ได้เฉพาะการเคลื่อนที่ซึ่งมีความเร็วคงที่ อีกทั้งยังไม่ได้ผนวกรวมทฤษฎีความโน้มถ่วงของนิวตันด้วย
ไอน์สไตน์เล่าว่า “ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสำนักงานสิทธิบัตรที่เมืองเบิร์น ทันใดนั้นก็มีความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้ามาว่า ถ้าคนตกจากที่สูง เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนัก” การหยั่งรู้นี้ทำให้ไอน์สไตน์รู้สึกตื่นตะลึง เขาขัดเกลาการทดลองในความคิดของตน เช่น จินตนาการว่าถ้าคนตกจากที่สูงโดยอยู่ในห้องที่ปิดล้อมจะเป็นอย่างไร หรือถ้าห้องดังกล่าวมีเชือกคล้องบนหลังคาและดึงห้องซึ่งมีคนอยู่ขึ้นไปด้วยอัตราเร่งสม่ำเสมอจะเป็นเช่นไร
การทำการทดลองในความคิดภายใต้หลายเงื่อนไขเช่นนี้ เขาสรุปเป็น “หลักการแห่งความสมมูล” ที่ว่าผลจากความโน้มถ่วงและความเร่งนั้นเหมือนกัน นี่เองเป็นหลักการสำคัญที่ทำให้เขามุ่งมั่นพยายามอย่างเข้มข้นต่อเนื่องถึง ๘ ปีจนกระทั่งประสบความสำเร็จในการขยายทฤษฎีสัมพัทธภาพให้ครอบคลุมกรณีการเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง (ความเร็วไม่คงที่) เกิดเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (general theory of relativity) ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๑๕
ต่อมาไอน์สไตน์เรียกวินาทีแห่งการตรัสรู้น้อยๆ นั้นว่า “ความคิดอันแสนสุขที่สุดในชีวิตของผม”
ส่วนฮอว์คิงก็จำวินาทีแห่งการตื่นรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน โดยเขียนไว้ในหนังสือ My Brief History ว่า “ใน (เดือนพฤศจิกายน) ปี ๑๙๗๐ งานวิจัยเกี่ยวกับหลุมดำของผมก็มาถึงวินาทียูเรกา !
หลังจากที่ลูซี่ลูกสาวของผมเกิดไม่กี่วัน ขณะผมจะเข้านอน จู่ๆ ก็มีความคิดว่าสามารถนำทฤษฎีโครงสร้างเชิงสาเหตุที่ผมพัฒนาขึ้นสำหรับทฤษฎีบทภาวะเอกฐาน มาใช้กับเรื่องหลุมดำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาบริเวณของขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือขอบเขตของหลุมดำ ซึ่งน่าจะขยายตัวอยู่เสมอ เมื่อหลุมดำ ๒ หลุมพุ่งชนกันและหลอมรวมกัน ขนาดพื้นที่อันเป็นผลจากการหลอมรวมกันจะมากกว่า
ผลบวกของพื้นที่ของหลุมดำ ๒ หลุม ก่อนที่จะพุ่งชนกัน” เรียกว่า ทฤษฎีบทพื้นที่ของฮอว์คิง (Hawking’s area theorem)
มีเกร็ดเล็กๆ เสริมเรื่องนี้ว่า ฮอว์คิงบอกว่าเริ่มคิดถึงหลุมดำตอนจะเข้านอน ความพิการทำให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างช้าๆ ดังนั้นจึงมีเวลาเหลือเฟือพิจารณาเส้นทางการเคลื่อนที่ของแสงไปตามแนวขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำสองหลุม เขาเห็นอย่างฉับพลันว่า พื้นที่ผิวของหลุมดำไม่มีทางลดลง ฮอว์คิงไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษและปากกาเพราะภาพนั้นแจ่มชัดในสมองและทำให้เขานอนไม่หลับแทบทั้งคืน
นี่คือตัวอย่างเปรียบเทียบแง่มุมของนักฟิสิกส์ยอดเยี่ยมระดับโลก ซึ่งผมเชื่อว่าเกร็ดประวัติของพวกเขาคงจะให้มุมมองดี ๆ บางอย่างแก่คุณผู้อ่าน หากสนใจข้อมูลอื่น ๆ ก็เขียนสอบถามมาได้ หรือจะศึกษาด้วยตนเองจากหนังสืออ้างอิงที่ให้ไว้ก็ยิ่งดีครับ
ขอแนะนำหนังสืออ้างอิงสามเล่ม ได้แก่
- ไอน์สไตน์ ชีวประวัติและจักรวาล (ฉบับสมบูรณ์) แปลจาก Einstein : His Life and Universe ของ วอลเตอร์ ไอแซคสัน โดย บัญชา ธนบุญสมบัติ และคณะ สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์,
- ประวัติย่อของตัวผม (My Brief History) แปลโดย รศ. ดร. บุรินทร์ กำจัดภัย และ นรา สุภัคโรจน์ สำนักพิมพ์มติชน,
- สู่อนันตกาล ชีวิตฉัน และสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (Travelling to Infinity ของ เจน ฮอว์คิง) แปลโดย โคจร สมุทรโชติ สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์
ที่มาภาพ
- http://theespressobar.org/leadin/leadin_2_images/
13_Science/EinsteinBicycle.jpg - http://www.wired.com/wp-content/uploads/2015/01/vintage-hawking-1024×685.jpg
- ขบวนแห่ไอน์สไตน์ที่นิวยอร์กเมื่อ ๔ เมษายน ค.ศ. ๑๙๒๑
http://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einstein#/media/File:Einstein_in_NY_1921.jpg - หนังสือ A Brief History of Time ของฮอว์คิง
http://2.bp.blogspot.com/-ZhzXMvAPuRw/UH1Sri2e-GI/AAAAAAAACn0/OXeKXY2stv4/s1600/brief.+h.gif - ตีพิมพ์ใน นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 394 มิถุนายน 2558