ผลงานจากค่ายสารคดี ครั้งที่ 14
งานเขียนดีเด่น
เรื่อง : นิติภัค วรนิติโกศล
ภาพ : อานันท์ ชนมหาตระกูล
ลุงลิ้มนั้นยิ้มด้วยความสุขทุกครั้งเวลาได้พูดคุยกับลูกค้า โดยลุงได้กล่าวไว้ว่า “ถึงเวลาจะเปลี่ยนไปยังไง เเต่รสชาติก็ยังเหมือนกับ 50 ปีที่เเล้ว ”
ก่อนจะเข้าเรื่องผมขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่นักเดินทางสายกิน ผมไม่เคยสนใจ ไม่แม้แต่จะอ่านรีวิวอาหารในอินเทอร์เน็ต หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับอาหารก็ไม่เคยเลย เนื่องจากวิถีชีวิตของผมเน้นความรวบรัดเรียบง่าย ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน การเที่ยวคือสิ่งสำคัญที่สุด ทำให้ทุกครั้งที่ผมไปไหนมาไหนกับเพื่อนก็จะมีปัญหาเรื่องนี้ทุกที เพราะเพื่อนหลายคนของผมเวลาเดินทางด้วยกัน ทุกคนมักจะลงความเห็นว่าต้องไปกินร้านนู้นสิ ร้านนี้ดังนะ ร้านนั้นขึ้นชื่อต้องแวะนะ ฯลฯ และผมก็ต้องยอมทุกครั้งเพื่อรักษาบรรยากาศที่ดีในคณะทัวร์เอาไว้ แม้ว่าจะต้องเสียเวลาเที่ยวไปเกือบครึ่งวันก็ตาม
การเดินทางมาตลาดพลูครั้งแรกของผมก็เช่นกัน แต่คราวนี้โชคดีหน่อยที่ผมมาคนเดียว มาเที่ยวรอบนี้จึงรู้สึกอิสระเป็นพิเศษเพราะเหตุผลคือต้องการจะมาเห็นชุมชนเก่าแก่ที่สำคัญของฝั่งธนบุรี ไม่ได้มาเพราะเรื่องอาหารการกินที่ขึ้นชื่อของตลาดพลูเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากเดินชมบรรยากาศของชุมชนตั้งแต่เช้าจนเข้าสู่เที่ยงวัน ผมก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าตลาดพลูนอกจากจะเป็นย่านชุมชนเก่าแก่แล้วยังเป็นแหล่งของกินที่ใหญ่มาก ทุกร้านอัดแน่นไปด้วยคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา คนเฒ่าคนแก่ ปะปนกันเต็มไปหมด
ถึงจุดมุ่งหมาย – หนึ่งในรถไฟเครื่องยนตร์ดีเซลรุ่น NKF เดินทางจากมหาชัยสู่ตลาดพลู
ผู้โดยสารส่วนมากที่มาใช้สถานีรถไฟตลาดพลูมักจะเป็นคนเก่าคนแก่ที่ใช้เส้นทางสายนี้อยู่เป็นประจำ
คุณวิชัย แซ่เฮ้ง หรือ ลุงลิ้มเจ้าของร้านลิ้มเชิญชิมร้านก๊วยเตี๋ยวที่อยู่คู่กับสถานีรถไฟตลาดพลูมา 50 ปี
ภายในร้านลิ้มเชิญชิมมีขายอาหารหลายอย่างด้วยกัน ทั้งก๊วยเตี๋ยว เกาเหลา หรือว่าจะเป็นข้าวมันไก่ก็มีขายเช่นกัน
ลูกค้าของร้านลิ้มเชิญชิมมีหลายกลุ่มด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นจนสูงอายุ โดยมีทั้งขาจรที่มาทางรถไฟและลูกค้าท้องที่ซึ่งเป็นลูกค้าขาประจำ
เมนูเด็ดของร้านนี้เลยคือ เกาเหลา รสชาติของเนื้อหมูและเครื่องในที่อร่อย โดยลุงลิ้มบอกว่าทุกๆเช้าจะไปหาซื้อวัตถุจากตลาดวัดกลางเพื่อความสดสะอาดของวัตถุดิบ
หลังจากผมเดินสำรวจหาร้านอยู่นานทำให้เริ่มรู้สึกหมดแรง บวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวส่งผลให้ลืมความหิวไปชั่วขณะ อยากหาแค่ที่นั่งสบายๆ หลบร้อนไปก่อน จนมาพบสถานีรถไฟเก่าๆ เล็กๆ มีป้ายเขียนไว้ด้านบนว่า “สถานีรถไฟตลาดพลู”
เมื่อก้าวเข้ามาในสถานีสิ่งที่สัมผัสได้เลยคือความเก่า ทั้งตัวอาคาร ป้ายตารางบอกรอบเวลารถไฟ เก้าอี้ไม้ ช่องจำหน่ายตั๋ว นาฬิกาบอกเวลา ทุกอย่างดูเก่าไปหมด แม้แต่ผู้คนที่มารอรถไฟก็ดูเป็นคนเก่าแก่ทั้งนั้น แต่ดูรวมๆ แล้วยังพอเห็นความคึกคักของสถานีอยู่บ้าง
สถานีรถไฟตลาดพลูคือสถานีรถไฟขนาดเล็กที่เคยคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟสายแม่กลองที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ที่เป็นต้นทางไม่มากนัก ในทุกวันมีขบวนรถไฟวิ่งทั้งหมด 36 ขบวน ขนส่งทั้งคนและสิ่งของผ่านเข้าออกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วันนี้ขบวนม้าเหล็กก็ยังคงควบไปมาผ่านรางอยู่เหมือนเดิม เช่นเดียวกับ 100 ปีที่แล้ว
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ยาวตัวหนึ่งริมรางรถไฟ หลังจากนั่งหลบร้อนอยู่สักพักเริ่มสังเกตเห็นว่าใกล้ๆ กับตัวสถานีรถไฟมีร้านอาหารหลายร้านตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวรางรถไฟจึงลองเดินไปดู แล้วพบว่าทุกร้านดูเก่าแก่เหมือนกับสถานีรถไฟไม่มีผิด ราวกับเกิดมาพร้อมกันยังไงยังงั้น
ผมสะดุดตากับร้านขายก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง หน้าร้านมีคุณลุงกำลังลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างขะมักเขม้นห่างจากรางรถไฟไม่ถึง 1 เมตร ภายในร้านมีลูกค้านั่งอยู่เกือบทุกโต๊ะ ยกเว้นโต๊ะที่ดูเหมือนจะใกล้รางรถไฟมากที่สุดที่ยังไม่มีคนนั่ง ผมไม่รอช้าเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวนั้นทันที สั่งเส้นหมี่เนื้อ 1 ชาม ไม่ถึงนาทีก็มีเด็กยกมาให้
ผมเริ่มกินก๋วยเตี๋ยว รสชาติอร่อยมาก อาจจะเป็นเพราะความหิว หลังจากกินเสร็จผมก็จะเรียกเขาเพื่อเก็บเงินตามประสาคนกินเร็วไปเร็ว แต่ในจังหวะนั้นเองเสียงหวีดของรถไฟดังสนั่นขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่ารถไฟกำลังจะเข้าเทียบสถานี
ผมหันไปมอง เพียงชั่วครู่ขบวนม้าเหล็กสีเหลืองก็ควบผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวที่ผมนั่งอยู่ เสียงล้อของมันบดไปบนรางเหล็กจนแผดดังลั่นกลบทุกเสียงในร้านเสียสนิท แม้แต่แสงแดดที่ส่องเข้ามาก็ถูกบดบัง ทำให้เกิดความมืดสลัวชั่วขณะภายในร้าน
ในวินาทีนั้นเอง อาจจะเป็นเพราะรสชาติน้ำซุปที่กินเข้าไป อาจจะเป็นเสียงฉึกฉักที่ดังสนั่นของรถไฟ อาจจะเป็นเพราะความมืดสลัวภายในร้าน หรือจะด้วยอะไรก็ไม่ทราบ ผมกลับรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
รถไฟจอดเทียบท่า เสียงหวีดของมันค่อยๆ เบาลงจนเงียบในที่สุด บรรยากาศในร้านก๋วยเตี๋ยวเริ่มกลับมา แสงแดดส่องเข้ามาอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งหลุดออกจากภวังค์แล้วกลับมาสู่โลกความจริงอีกครั้ง ในตอนนั้นลุงเจ้าของร้านก็มายืนที่โต๊ะผมแล้ว
“ทั้งหมด 62 บาท”
“ลุงครับ รถไฟรอบต่อไปอีกกี่นาทีครับ”
“อีก 10 นาที”
“งั้นผมเอาเส้นหมี่เนื้ออีกชามครับ”
ลุงพยักหน้าแล้วเดินกลับไปลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวต่อ
ผมเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยชอบนั่งดูรถไฟมากแค่ไหน ตั้งแต่จำความได้ตอนเป็นเด็กเวลารถติดอยู่หลังที่กั้นแผงรถไฟ ผมชอบนั่งทายเล่นกับพ่อว่ารถไฟจะวิ่งมาจากทางไหน ถูกบ้างผิดบ้าง ใช้หลักการเดาล้วนๆ ผมเห็นภาพพวกนี้แล้วรู้สึกประทับใจไม่น้อย ได้เห็นบางคนกำลังลงจากรถไฟ บางคนกำลังก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดรถไฟ บางขบวนอัดแน่นไปด้วยผู้โดยสาร บางขบวนแล่นผ่านมาโดยมีผู้โดยสารโหรงเหรง ดูแล้วรู้สึกสงบปนเหงาอย่างบอกไม่ถูก
ชามก๋วยเตี๋ยววางอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง นั่งกินไปพลางมองขบวนรถไฟที่กำลังจอดเทียบสถานีอยู่ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดรถไฟขนาดนี้ ผมนั่งซึมซับบรรยากาศอยู่สักพักจนลูกค้าในร้านเริ่มบางตาลง ลุงเจ้าของร้านเลยใช้จังหวะนั้นนั่งพัก ผมเลยถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของลุง หวังว่าจะพูดคุยกับเขาสักหน่อย ซึ่งดูเหมือนลุงก็จะรู้เหมือนกันว่าผมอยากสนทนาด้วยแกจึงยิ้มรับทันที เราทั้งคู่จึงเข้าสู่การสนทนา
คุณลุงชื่อ วิชัย แซ่เฮ้ง ครอบครัวอพยพมาจากจีนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นลุงเพิ่งจะอายุ 11 ขวบ พอมาถึงเมืองไทยก็เริ่มจากเป็นเด็กขายของหาบเร่ตามข้างทาง ขายหวานเย็นอยู่ประมาณ 5 ปีพอมีรายได้เลี้ยงตัวเอง หลังจากนั้นก็มาซื้อที่ข้างสถานีรถไฟเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ จากวันนั้นถึงวันนี้เปิดขายมา 70 ปีแล้ว ปัจจุบันมีทั้งลูกค้าหน้าเก่าหน้าใหม่แวะเวียนมาอยู่เสมอ
“ลุงรู้สึกผูกพันกับรถไฟมาก เห็นกันมาตั้งแต่เล็กยันโต ช่วงแรกๆ ก็รู้สึกหนวกหูบ้างเหมือนกัน แต่พออยู่ไปนานๆ เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต วันไหนไม่ได้ยินเสียงหวีดของรถไฟ หรือรถไฟมาช้ากว่าปรกติรู้สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไป” ลุงวิชัยพูด
ลูกค้าเริ่มกลับมาแน่นร้าน ผมบอกลาลุง แกยิ้มให้แล้วกลับไปที่หม้อลวกก๋วยเตี๋ยวที่ประจำของแก ผมเดินกลับมาในสถานีรถไฟ บรรยากาศเริ่มโหวงเหวง เพราะรถไฟขบวนที่แล้วเพิ่งออกไปไม่นาน อีกเกือบชั่วโมงขบวนต่อไปถึงจะแล่นมาเทียบชานชาลาอีกรอบ
ผมไม่รู้ว่าก๋วยเตี๋ยวในกรุงเทพฯ ที่ไหนอร่อยที่สุดเพราะไม่ใช่นักท่องเที่ยวสายกิน แต่สำหรับผมคือร้านที่อยู่ริมทางรถไฟของสถานีรถไฟเล็กๆ แห่งนี้ เพราะการได้นั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่นี่นอกเหนือจากได้ลิ้มรสชาติความอร่อยแบบดั้งเดิมแล้ว ยังได้ลิ้มรสความเก่าแก่ของสถานที่แห่งนี้ไปด้วย
ผมหันไปมองร้านก๋วยเตี๋ยวของลุงวิชัยอีกครั้ง การที่ได้เห็นผู้คนเก่าแก่อยู่คู่กับสถานที่เก่าแก่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยงามเสมอ
หลังจากนี้ผมคงต้องลองเปลี่ยนรสนิยมการกินของตัวเองดูบ้างแล้ว
นิติภัค วรนิติโกศล (บุ๊ค)
นิเทศศาสตร์ เอกวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย ชอบกินสุกกี้ มีงานอดิเรกคืออ่านหนังสือกับเล่นฟุตบอล ความฝันสูงสุคคือการเป็นคนธรรมดา
…….
อานันท์ ชนมหาตระกูล
ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่มาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวารสารศาสตร์ปีที่ 4 ด้วยความชอบของตัวเองที่ชอบในการถ่ายภาพเเนวถ่ายทอดเรื่องอยู่เเล้ว จึงได้มีความสนใจในการมาเข้าสารคดี ครั้งที่ 14 นี้ ขอฝากผลงานภาพชุดนี้ไว้ด้วยครับ