อ่าน-เขียน-วิจารณ์

วิชาสารคดี ๑๐๑ ศาสตร์ ศิลป์ เคล็ดวิธี ว่าด้วยการเขียนสารคดี


อาจเป็นค่ายเดียวในเมืองไทยในตอนนี้ก็เป็นได้ ที่สอนการเขียนวิจารณ์

ค่ายนักเขียนนั้นมีมาก ฝึกอบรมเพื่อสร้างงานเขียนสู่ผู้อ่าน

แต่นักวิจารณ์ที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ช่วยชี้ช่องแนะนำเล่มน่าสนใจให้ผู้อ่าน หรือแม้กระทั่งชี้ช่องโหว่ของผู้เขียน ในยุคนี้ดูจะมีคนทำหน้าที่นี้น้อยนัก

อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มองเห็นจุดนี้จึงคิดให้มีค่าย “อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่งานวิจารณ์” โดยความร่วมมือของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น กับธนาคารกรุงเทพ จัดมาเป็นรุ่นที่ ๔ แล้วในปี ๒๕๖๑

เป็นค่ายต่อเนื่อง ๓ วัน เปิดรับเยาวชนนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศ เขียนวิจารณ์หนังสือส่งพร้อมใบสมัคร ผู้ผ่านการคัดเลือก ๔๐ คนจะได้เข้ารับการอบรมการเขียนงานวิจารณ์จากจากนักวิจารณ์มืออาชีพ ไพลิน รุ้งรัตน์ จรูญพร ปรปักษ์ประลัย สมทบด้วยนักเขียนสารคดี วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง

ในค่ายทุกคนจะได้เรียนรู้หลักการเขียนวิจารณ์ ฝึกปฏิบัติ เขียนงานวิจารณ์ และมีทุนการศึกษาติดมือกลับบ้านด้วยเมื่อจบค่าย ซึ่งหากคิดว่าเป็นเงินรางวัลก็ถือว่ามีมูลค่าสูงเอาการอยู่ แต่อาจารย์เนาวรัตน์บอกว่าเป็นความตั้งใจที่จะให้ในลักษณะทุนการศึกษา

ในประเทศเรามีทุนการศึกษาให้กับคนเรียนดี ความประพฤติดีอยู่มากมายแล้ว แต่ทุนนี้ให้กับคนที่รักการอ่านการเขียน เป็นแนวคิดต่างอย่างใหม่ที่น่าชื่นชมและน่าชื่นใจ

ในค่ายอบรมการเขียนวิจารณ์ มี ๓ กลุ่มประเภทงานเขียนให้เลือก เรื่องสั้น บทกวี สารคดี โดยผู้วิจารณ์ไม่รู้ตัวเรื่องมาก่อน อ่าน คิด เขียนวิจารณ์กันสดๆ ในค่าย

กลุ่มสารคดีใช้งานเขียนเรื่อง “สะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นข้อสอบให้สมาชิกในกลุ่มฝึกเขียนวิจารณ์

สมาชิกกลุ่มฝึกเขียนวิจารณ์งานสารคดีมี ๑๒ คน ส่งงานกันครบทุกคน แต่ขอยกตัวอย่างมาเพียงชิ้นเดียว เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่

เป็นผลงานของนิศามณี ศรีสุข นักศึกษาแพทย์ ปี ๑ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เธอเล่าเบื้องหลังว่าได้นิสัยรักการอ่านมาจากแม่ ในโอกาสสำคัญแม่มักให้ของขวัญเป็นหนังสือ แม่สอนเธอว่าลูกจะไม่เหงาหากมีหนังสือเป็นเพื่อน

และนี่คือผลงานการเขียนวิจารณ์ของเธอ จากค่ายอ่าน เขียน เรียนรู้ สู่งานวิจารณ์ รุ่นที่ ๔

“สะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว…กระแสน้ำหลากที่ยังคงไหลวนในจิตของผู้ปราชัย”

หากเปรียบเทียบการอ่านบทความหรือหนังสือเล่มใหม่ เป็นการเปิดโลกใบใหม่ นักอ่านสามารถท่องไปบนโลกกว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไร้ซึ่งกรอบขอบความคิดหรือความเป็นจริงใด ๆ ให้หวาดหวั่น หนังสือพาเราไปทุกแห่งหนพาไปอีกฟากโลก โบยบินไปอีกฟากฟ้า พาไปพบเมืองเวทย์มนตร์ที่ไม่มีจริงก็ยังได้ และเมื่อยิ่งเติบโตขึ้น ดิฉันได้พบว่าโลกที่หนังสือพาไปยิ่งกว้างกว่าที่คิดเสมอ

หนังสือบอกเล่าถึงเหตุการณ์ในทุกช่วงเวลา หากอยากทราบอนาคต แนวความคิด นวัตกรรม ความรู้มากมายจะพาเราไป หากอยากทราบปัจจุบันยิ่งแล้วใหญ่ ทุกตัวอักษรพาเราไปได้ทุกประเทศ ทุกเหตุการณ์ข่าว

และยังมีหนังสืออีกประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องย้อนเวลา ที่นักเขียนสามารถพาเหล่านักอ่านมากมายของพวกเขา หวนคืนสู่เหตุการณ์ในอดีตได้อย่างอัศจรรย์ใจ

เช้าสดใสกลางอาศรมกลางป่าใหญ่ในวันนี้ ดิฉันได้ย้อนกลับไปพร้อมกับผลงานสารคดีเรื่องหนึ่งของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล สู่โลกใบหนึ่งในอดีตที่มีชื่อว่า “สะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว”

“สะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว” นี้เป็นหนึ่งในสารคดีจากหนังสือรวมสารคดี ของนักเขียน นักปฏิวัติและเป็นศิลปินแห่งชาติที่คนไทยคุ้นชินอย่างกว้างขวาง อย่าง เสกสรร ประเสริฐกุล ซึ่งได้แต่งขึ้นในเชิงอัตชีวประวัติ โดยเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาเป็นเหตุการณ์และแทรกประวัติของเขาร่วมด้วย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่คนไทยยังจำไว้มิลืมเลือน อย่าง “เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516”

ผู้เขียนได้พาเราย้อนกลับไปยังเหตุการณ์หลังวันสำคัญนี้ในช่วงที่เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาแล้วถึงมากกว่าห้าปี บอกเล่าการลี้ภัยการเมือง เดินทางขึ้นเขาลงห้วยกลางป่าใหญ่ เสกสรร ประเสริฐกุล ถือได้ว่าเป็นผู้สร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ไทยในฐานะปัญญาชนในขณะนั้นเป็นอดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ผ่านล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ดิฉันในฐานะของเด็กรุ่นใหม่ขอสารภาพอย่างจริงใจว่าไม่มีความเข้าใจมากนักถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น อาจได้รับการศึกษาเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ความรู้สึกหรือความนึกคิดของนักศึกษาหรือประชาชนที่กล้าออกมาทวงความยุติธรรมในขณะนั้นเล่า ความเป็นไปหรือการต่อสู้อย่างองอาจนั้นเล่าเป็นเช่นไร จากงานเขียนมากมายทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นและสารคดีเรื่องนี้ได้ต่อยอดความเข้าใจของดิฉันยิ่งขึ้นไปอีกถึงข้อเท็จจริงจากผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์จริงผ่านสารคดีเรื่องนี้

สายธารความทรงจำที่บรรเลงเป็นเพลงเศร้าประจำใจ

ตั้งแต่ต้นเรื่องและคอยแทรกอยู่เสมอ จนตอนท้ายที่สุดผู้แต่งได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับครอบครัวในวัยเด็กที่ฝังใจอย่างเห็นได้ชัด การเดินทางมาจนถึงลำห้วยใหญ่และได้กล่าวถึงว่า “มันเป็นเหี้ยที่โตเต็มที่ และคงจะผ่านอะไรมากมายก่อนที่จะถูกกระแสน้ำตรึงไว้”

มองผ่าน ๆ ก็อาจเห็นเป็นการบรรยายถึงสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ฝั่งตรงข้ามของลำห้วยอย่างที่บรรยายหากแต่ เมื่ออ่านต่อไปเรื่อย ๆ ก็สะดุดกับคำว่า “ภาระอันที่สอง…ยังคงต้องแบกทานมันไว้ตลอดเวลา” ทำให้ดิฉันรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ฝังลึกในใจของผู้แต่งอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น จนกระทั่งผู้เขียนได้บอกเล่าถึงมารดาผู้เป็น “นางฟ้าที่ถูกสวรรค์ลงโทษให้มาเกิดเป็นแม่ของคนอย่างผม…”

เหตุการณ์ต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดได้อย่างหนักหน่วงในอารมณ์คิดถึงอย่างสุดใจถึงมารดาผู้มีพระคุณ ทั้งยังมีความรู้สึกผิดที่ค้างคาอยู่ในใจจากเหตุการณ์ในชีวิต รายละเอียดน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่าง “เพลงเศร้าประจำใจ” เช่น เหตุการณ์ที่เคยปฏิเสธการช่วยงานจน “บนใบหน้าเหี่ยวย่นมีน้ำตาชุ่มอยู่เป็นทาง”

และตอนที่ธนบัตรใบห้าบาทเพียงใบเดียวในกระปุกออมสินม้าของแม่ที่ใช้สอยยามยากหายไป จนท้ายเรื่องผู้เขียนก็ได้บอกเล่าว่าตนนำไปเล่นไพ่กับพรรคพวกหลังตลาด เพราะคิดว่ามันอาจเป็นทางออกของาภพยากจนที่เผชิญอยู่ โดยไม่ได้คิดเอาเปรียบแม่และน้อง ๆ แต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่เคยเล่าความจริงนี้ตลอดมา จนมาอยู่ป่าใหญ่ ล่วงเลยมาถึงห้าปี ในเดือนกันยายนปี ๒๕๒๓ ซึ่งผู้เขียนเล่าว่า ได้ทราบข่าวว่ามารดาของเขาเสียชีวิต ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๒ แต่ยังคงคำนึงถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เสมอ ๆ ราวกับเป็น “เพลงเศร้าประจำใจ” ที่ไหล “กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกระแสน้ำที่พัดวน”

ดิฉันรู้สึกถึงความฝังใจและความโดเดี่ยวที่คะนึงถึงของผู้แต่งอย่างจับใจ และทำให้ความคิดของดิฉันตีวามประโยคที่กล่าวไว้ข้างต้นที่ว่า “มันเป็นเหี้ยที่โตเต็มที่ และคงผ่านอะไรมามากก่อนที่จะถูกกระแสน้ำตรึงไว้” เป็นประโยคที่บอกเป็นนัยที่ผู้แต่งต้องการพูดถึงตนเองที่ผ่านอะไรมากมายทั้งเรื่องครอบครัวที่ฝังใจและภารกิจที่ฝ่าฟันผ่านมาจนถึงเหตุการณ์ ณ ลำห้วยในปัจจุบันตอนนั้น

สร้างสะพานไผ่เพื่อข้ามผ่านน้ำป่าเชี่ยวหลาก

เนื่องจากบทความสารคดีเรื่องนี้จะให้ความรับรู้เข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวที่ผู้เขียนได้บอกกล่าวแล้ว ความรู้หลักซึ่งถูกบอกกล่าวผ่านชื่อเรื่องอย่างชัดเจนว่า “สะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว” นั่นเองหลังจากที่ผู้แต่งได้บรรยายความถึงเรื่องราวในอดีตก็ได้พากลับมาสู่ปัจจุบันซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ได้เดินทางเริ่มต้นจากหุบเขาแถวต้นน้ำแควใหญ่เป็นจุดเริ่มต้น ท่ามกลางความวิบากของถากทางและสภาพอากาศที่รุนแรงล่วงเลยมาจนถึงวันที่ห้าถึงหกของการเดินทาง ซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่บริเวณชายป่าที่เรียกว่า”ซับฟ้าผ่า”ซึ่งอีกเพียงวันเดียวก็จะถึงจุดหมายได้ หากผู้แต่งและชาวคณะสามารถฝ่าข้ามห้วยขาแข้ง “ตรงหน้า” ไปได้

ในบทความทำให้เกิดความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ทำให้ต้องสร้างสะพานขึ้น ด้วยว่าในคณะมีหญิงสาวจึงตัดการลอยคอข้ามไปได้ทันทีและน้ำเชี่ยวหลากจนแม้กระทั่งคนที่แข็งแรงที่สุดก็ยังถูกน้ำกระชากไปได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงเศษหินเศษไม้แหลมคมที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บทั้งทางกายและทางใจได้อย่างนานวันจะหายดีอีกการสร้างสะพานไม้ไผ่จึงถูกเลือก

สารคดีได้บอกเล่าประสบการณ์จริงอย่างเห็นภาพได้ชัดเจน การบอกกล่าวถึงเพื่อนชาวม้งพี่น้องที่มีความชำนาญในด้านการใช้มีดตัดไม้ การบรรยายถึงการตัดกระบ้องไผ่ที่หากไม่มีทักษะก็มีโอกาสถูกดีดกลับจนบาดเจ็บได้ จนกระทั่งถึงกระบวนการสร้างสะพานไม้ที่ผู้เขียนบรรยายว่า “แม้แต่บนเส้นทางไปสู่การพ่ายแพ้ก็ยังมีสิ่งที่เราต้องเอาชนะ” ซึ่งก็คือต้องฝ่าลำห้วยนี้ไปให้ได้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันถัดไปนั่นเอง

การบรรยายเหตุการณ์การสร้างสะพานถูกถ่ายทอดอย่างเป็นลำดับขั้นตอนได้ดี จนถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่จบลงด้วยการก้าวข้ามไปได้อย่างโล่งใจ

กระแสน้ำหลากที่ยังคงไหลวนในจิตของ “ผู้ปราชัย”

บทปิดท้ายของเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่เล่าถึงตอนที่ผู้แต่งข้ามลำห้วยขาแข้งได้สำเร็จ โดยเมื่อถึงตอนท้ายปลายสะพานเกิด “ลำสะพานก็โยกไกวไปมาคล้ายจะรังเกียจก้าวย่ำของผู้ปราชัย”

ประโยคนี้ทำให้เกิดความเข้าใจต่อ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่สุดท้ายต้องกลายเป็น “ผู้ปราชัย” ซึ่งนักเขียนได้มอบให้แก่ตน

อาจจะตีความเป็นความเศร้าปนเจ็บใจ การต่อสู้อย่างองอาจเพื่อประชาชนร่วมชาติอย่างที่เราได้รับรู้กันดี มาถึงคราวสิ้นสุด

“พรุ่งนี้แล้วสินะที่ผมจะประกาศวางปืนอย่างเป็นทางการ รวมทั้งวางความหวังที่จะสร้างโลกใหม่ซึ่งม้าออมสินกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น”

ดิฉันอดประทับใจต่อประโยคนี้ไม่ได้ การที่นักรบที่กำลังจะวางดาบแต่ยังคงมีเจตนารมณ์ในการต่อสู้ว่าต่อสู้เพื่ออะไรที่ผ่านมายังคงแน่วแน่ชัดเจนแม้ต้องจบลงที่ความพ่ายแพ้ในสงครามก็ตามที

ม้าออมสินคงหมายถึงเงินตราที่ทำให้ผู้นำและกลุ่มคนบางพวกบ้าระห่ำทำสิ่งผิด คิดข่มเหงประชาชนเรื่อยมานั่นเองและท้ายที่สุดซึ่งผู้เขียนปิดท้ายไว้ว่า “ไม่รู้อีกนานเท่าใดที่ผมจะถูกตรึงไว้ริมสารธารความทรงจำซึ่งน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าสายน้ำเชี่ยวในลำห้วยขาแข้ง” แสดงถึงจิตใต้สำนึกที่ยังคงวกวนกลับไปกลับมาอย่างตอนต้นถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งผู้มีพระคุณ การเติบโตอย่างลูกชายของพ่อแม่ วีรกรรมการเป็นผู้นำปฏิวัติการเดินทางต่อสู้เพื่อเจตนารมณ์ที่ทวงถามความยุติธรรมการเดินทางหลบหนีในพงไพรลำห้วยใหญ่กลางป่าเขา จนมาถึงวันที่ทุกอย่างกำลังจะจบลง ภารกิจกำลังจะจบสิ้นอย่างพ่ายแพ้แม้ยังไม่คิดถอดใจ

เหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นความทุกข์เรื่องใด ๆ ความเจ็บใจและความยากลำบากกายใจยังคงไหลวนกลับมากลับไปในหัวไม่จบสิ้นและได้ฝากทิ้งท้ายไว้อย่างน่าเห็นใจ ทำให้ดิฉันเข้าใจถึงหัวอก ความโดดเดี่ยวของผู้เขียนอย่างสุดใจด้วยประโยคสุดท้ายที่ว่า

“รู้เพียงว่า ณ ที่นี้…ผมคงต้องดิ้นรนสร้างสะพานอยู่โดยลำพัง”


veeวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง

นักเขียนประจำกองบรรณาธิการ นิตยสาร สารคดี ที่มีผลงานตีพิมพ์ทั้งในนิตยสาร และตีพิมพ์รวมแล่มมากมาย อาทิ แผ่นดินนี้ที่อีกฟากเขา และแสงใต้ในเงามรสุม และ อีสานบ้านเฮา