เรื่อง : วัชรี รุ่งเรืองศรี
ภาพ : พิสิทธิ์ ประเสริฐธนะชัย

#ท่าน้ำนนทบุรี หรือ #ท่าน้ำพิบูลย์สงคราม ๓ ตั้งอยู่บริเวณถนนประชาราษฎร์ ภายใต้การดูแลของเขตเทศบาลเมืองนนทบุรี ที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าและจุดนัดพบของชาวนนท์ตั้งแต่ครั้งอดีตจวบปัจจุบัน ซึ่งชาวชุมชนยังคงสัญจรกันด้วยเรือข้ามฟาก และเรือด่วนเจ้าพระยาเช่นเดียวกับคนต่างถิ่น

นิตยสารสารคดี ร่วมกับทรูปลูกปัญญา
นำเสนอผลงานเยาวชนในโครงการ “ทำ ก่อน ฝัน”

การเดินทางเรือด่วนเจ้าพระยาให้บริการในเส้นทางอำเภอปากเกร็ด-ท่าน้ำนนทบุรี-สาทร-วัดราชสิงขร-ราษฎร์บูรณะ โดยมี “ท่าน้ำนนท์” เป็นดั่ง “อู่เรือโดยสาร” ชนิดต่างๆ ที่ใช้ธงแต่ละสีเป็นสัญลักษณ์

อย่าง “#ธงสีส้ม” ให้บริการตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๙.๐๐ น. ค่าโดยสาร ๑๕ บาท

หรือ “#ธงสีเขียว” ให้บริการ ๒ ช่วงเวลาคือ ๐๖.๑๐-๐๘.๑๐ น. และอีกทีตอน ๑๖.๐๕-๑๘.๐๕ น. โดยคิดค่าโดยสารตามระยะทาง

ส่วน “#ธงสีเหลือง” เป็นเรือด่วนพิเศษ จะจอดเฉพาะท่าสำคัญ และให้บริการเพียงช่วง ๐๖.๑๕-๐๘.๓๐ น. และ ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ค่าโดยสาร ๒๐ บาท

ยังมี “#ธงสีฟ้า” ให้บริการเฉพาะ ๑๐ ท่า ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเท่านั้น ได้แก่ พระอาทิตย์ ท่ารถไฟ วังหลัง ท่าช้าง ท่าเตียน ราชวงศ์ สี่พระยา โอเรียนเต็ล สาทร และเอเชียทีค (เรือชนิดอื่นไม่ให้บริการท่าเอเชียทีค)
ซึ่งไม่ว่าอย่างไรท่าน้ำนนท์แห่งนี้จะทำให้หน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางสำคัญ

ไม่เพียงความสะดวกในการสัญจรทางน้ำ บริเวณด้านหน้าท่าน้ำยังมีหอนาฬิกาขนาดใหญ่ เป็นจุดกลับรถทุกชนิด รวมถึงรถประจำทางหลายสายอย่าง ๓๓ ๖๓ ๖๔ ๙๗ ๑๑๔ ๒๐๓ ๕๔๕ ฯลฯ

ความสะดวกทางบกยังครอบคลุมไปถึงการเป็นป้ายจอดรถแท็กซี่ สามล้อเครื่อง และวินมอเตอร์ไซค์
แต่พาหนะเด่นของที่นี่คือยังมี “รถสามล้อถีบ” ให้บริการ และสามารถพบเจอได้ตลอดแนวถนนเส้นนี้

สีสันของตลาดท่าน้ำนนท์ คือความคึกคักของร้านรวงที่จำหน่ายทั้งของกินและของใช้ตั้งเรียงรายไปตลอดสองข้างทาง แม้เว้นแม้บนฟุตบาธก็มีพ่อค้าแม่ค้าทั้งชาวนนท์พื้นถิ่นและชาวเชื้อสายมอญนำสินค้ามาแบกับดินหรือตั้งแผงขาย เช่นเดียวกับลูกค้าที่ต่อรองสินค้ากันอย่างออกรสก็มีทั้งคนไทยและชาวไทยเชื้อสายมอญ เนื่องจากเมืองนนทบุรีในอดีตมีบรรพบุรุษชาวมอญจากเมืองตะนาวศรีเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

อีกสิ่งที่น่าสนใจของย่านนี้ คือ “พิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ”

ลักษณะเป็นอาคารไม้ผสมปูน สองชั้น สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๐๔

ชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเกี่ยวกับแร่ แผนผังจำลองแสดงภูมิประเทศในภาคต่างๆ ของไทย ภาพจำลองเมืองนนทบุรี ฯลฯ โดยมี “สัตว์สตัฟฟ์” เป็นสิ่งจัดแสดงอันสำคัญ

ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เล่าว่า ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนที่สนใจด้านทรัพยากรธรรมชาติได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ จึงไม่ได้จำเพาะไว้เพียงสัตว์ที่เคยอาศัยในพื้นถิ่น

เพราะอยากให้ชาวนนท์ได้มีสถานที่ศึกษาเรื่องราวจากธรรมชาติทั่วประเทศโดยไม่ต้องเดินทางไปไกลบ้านตน

สัตว์สตัฟฟ์ที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ คือ กวางที่ได้มาจากชายแดนประเทศพม่า

แต่นอกจากสัตว์บกก็ยังมีสัตว์ปีกและสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ร่วมจัดแสดงอยู่ภายในตู้กระจกขนาดใหญ่ด้วย

ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ เน้นจัดแสดงพระพุทธรูปและพระเครื่อง อาวุธ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัยโบราณ รวมถึงภาพถ่ายสวนทุเรียน อันเป็นแหล่งผลิตขึ้นชื่อ “ทุเรียนนนท์”

ไม่เพียงเป็นแหล่งความรู้ของชาวชุมชน และสถานที่ทัศนศึกษาของหมู่คณะ

ยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักเดินทางและผู้ผ่านทางทั่วไป

ซึ่งจะแวะมาเยี่ยมเยือนเสมอทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ ตามเวลาราชการ

อีกหนึ่งสิ่งไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนท่าน้ำนนท์คือ “ชิมอาหารเด็ด” ใน “ตลาดเทศบาลเมืองนนทบุรี” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ

ด้วยความที่เป็นศูนย์กลางด้านการค้าประจำจังหวัด บรรยากาศค้าขายของที่นี่จึงคึกคักกันตลอดวัน

มีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อหา ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ ของเล่น ไปจนอาหารคาวหวาน ดูเพิ่มเติม

อร่อยไม่แพ้กันคือ “ขนมฝรั่ง” จาก ร้านขนมฝรั่งแม่ไน้ ที่อยู่แผงข้างกัน ซึ่งขายมานาน ๔๙ ปีแล้ว

ผิวเผินดูคล้ายขนมฝรั่งย่านกุฎีจีน เนื่องจากตัวขนมมีส่วนประกอบของแป้ง นม และไข่ ตัวแป้งกรอบนอกนุ่มใน ไม่ร่วน และมีกลิ่นหอม แต่หากสังเกตจะเห็นเอกลักษณ์เด่นที่แตกต่างตรง “ไม่มีโรยหน้า”

ขนมฝรั่งชิ้นใหญ่ขายในราคา ๑๐ บาท กัดได้หลายคำกว่าจะหมดชิ้น ดูเพิ่มเติม

ร้านขนมฝรั่งแม่ไน้ เปิดขายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงหกโมงเย็น

หากใครมีโอกาสได้มาสัมผัสเสน่ห์ “ริมเมือง” ของ “ท่าน้ำนนท์”

เชื่อว่าจะได้อิ่มทั้งความรู้และจุกความอร่อย จนต้องหาโอกาสกลับมาอีก