เรื่อง : หอยทากตัวนั้น
http://2.bp.blogspot.com
คุณจ๋า คุณคงว่า มันช่างท้าทายกันเหลือเกินนะ
งั้นก็ “Have you hugged a vegetarian today?”–วันนี้คุณกอดคนกินมังฯ หรือยัง
บางคนได้ยินแล้วตอบทันที “ไม่ละ พวกกินแต่ผักน่ะเหรอจะน่ากอดน่าหอม”
คนกินมังฯ จะไปน่าสนใจอะไรกัน นั่นเป็นรสนิยมส่วนบุคคล
แต่ที่แน่ๆ คำขวัญเรียกร้องความสนใจชาวบ้านพวกนี้ถูกใช้สกรีนบนเสื้อยืด เข็มกลัด เสื้อเด็กอ่อน ฯลฯ เพื่อบอกถึงความมีอยู่และความน่าเอ็นดูของเหล่าคนกินผักว่าน่ารักพอให้อุ้มชูกอดหอมได้ (คนกินมังฯ เป็นสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าเนี่ย)
ภาพ : Mangkud
โลกตะวันตกกำลังหันมาสนใจกินมังสวิรัติ เห็นได้ชัดในโลกอินเทอร์เน็ต เฉพาะภาคภาษาอังกฤษ วิกิพีเดียบรรจุข้อมูลเรื่อง “Vegetarianism” ยาวเฟื้อยกว่า ๒๐ หน้ากระดาษ A4 มีเว็บไซต์และบล็อกมากมายสาธยายถึงบรรดาเหตุผล วิธีเริ่มต้นเป็นมังสวิรัติ รายการอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ รายงานวิชาการฉบับแล้วฉบับเล่าที่ยืนยันถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอ (หรือดีกว่าการกินเนื้อสัตว์) เว็บรวบรวมรายชื่อคนดัง นักคิด นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นมังสวิรัติ (www.happycow.net/famous_vegetarians.html)กระทั่งเว็บข่าวในแวดวง ตลอดจนข่าวบันเทิงดาราที่กินมังฯ (www.ecorazzi.com) ฯลฯ ไม่นับแอ็กชันของกลุ่มพีต้า (PETA)*ที่มีดารา นางแบบ และคนดังร่วมรณรงค์ให้ชาวบ้านชาวเมืองหันมาสนใจสวัสดิภาพของสัตว์เป็นเนืองนิตย์อยู่แล้ว
เร็วๆ นี้ เซอร์พอล แมคคาร์ตนีย์ อดีตสมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ ก็ออกโรงสนับสนุนกลุ่มดังกล่าว เรียกร้องให้ผู้คนงดกินเนื้อสัตว์ทุกวันจันทร์ด้วยแคมเปญ “Meat Free Monday” ช่วยชะลอโลกร้อน
“การเลือกวันงดเนื้อสัตว์สักวันในสัปดาห์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีความหมายที่ทุกคนทำได้ ซึ่งจะมุ่งไปสู่ใจกลางของปัญหาในเชิงการเมือง สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมในคราวเดียวกัน”
แต่การกินมังสวิรัติสัปดาห์ละวันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองใหญ่มีพลเมืองเกือบ ๖ แสนคนอย่างเกนต์ในเบลเยียม เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เกนต์กลายเป็นเมืองแรกของโลกที่พลเมือง โดยเฉพาะข้าราชการ หันมากินมังสวิรัติอย่างน้อยอาทิตย์ละวันด้วยเหตุผลทางสิ่งแวดล้อม โปสเตอร์ชักชวนและแผนที่ร้านมังสวิรัติถูกพิมพ์และแจกจ่ายไปทั่ว พอถึงเดือนกันยายน เด็กๆ ในโรงเรียนทั่วเกนต์ก็มี “วันมังสวิรัติ” หรือ “veggiedag” เหมือนผู้ใหญ่ด้วย
แหม อยากให้ชาวเกนต์มาเที่ยวเทศกาลกินเจภูเก็ตจังเลยเนอะ บ้านเรากินกันที ๑๐ วันรวด (แต่แค่ปีละครั้งนะ)
ที่จริง คนกินมังสวิรัติก็เดินย่ำเปลือกโลกใบนี้ทั้งบนแผ่นดินตะวันตกและตะวันออกมาแต่ครั้งอดีตกาล
จากหลักฐานเก่าแก่สุดที่มีผู้บันทึกไว้ มังสวิรัติ (แบบกินนมด้วย) มีมาอย่างน้อย ๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แพร่หลายในหมู่นักคิด นักปรัชญา และกลุ่มศาสนาในชมพูทวีปและกรีซโบราณด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการทำร้ายสัตว์เป็นสำคัญ แต่หลังการเผยแผ่คริสต์ศาสนาของอาณาจักรโรมัน การกินมังสวิรัติก็สูญหายไปจากยุโรป เว้นแต่ในหมู่นักบวชหรือพระบางนิกายในยุโรปยุคกลางที่ละเนื้อสัตว์เพื่อการฝึกฝนตนเอง (แต่ยังคงกินปลา) มังสวิรัติกลับมาใหม่ในยุคเรอเนซองซ์และแพร่หลายต่อเนื่องตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา
สมาคมมังสวิรัติแห่งแรกๆ ก่อตั้งในปี ค.ศ. ๑๘๔๗ ที่อังกฤษ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ แถมยังมีสหภาพมังสวิรัตินานาชาติที่เริ่มกิจการตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๐๘ อีกด้วย
สำหรับโลกตะวันตก มังสวิรัติแพร่หลายได้ก็ด้วยเหตุผลทางโภชนาการ จริยธรรม รวมทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐศาสตร์–ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้
สี่ปีก่อน ยูเอ็นรายงานว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นผู้ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมทั่วโลกรายใหญ่ที่สุด และการเลี้ยงสัตว์ขนาดมโหฬารในฟาร์มเป็นตัวก่อมลภาวะต่อน้ำ อากาศ ดิน ภาวะโลกร้อน และทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
รายงานดังกล่าวสรุปว่า “ภาคปศุสัตว์พุ่งทะยานขึ้นเป็น ๑ ใน ๒ หรือ ๓ ผู้มีส่วนสำคัญในการก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมร้ายแรงในทุกระดับ ตั้งแต่ท้องถิ่นถึงระดับโลก”
ผู้คนทั่วทุกมุมโลกกำลังหันมากินมังสวิรัติเพราะเหตุผลเหล่านี้
– การเลี้ยงสัตว์ในภาคเกษตรกรรมเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกใหญ่ที่สุดคิดเป็น ๑๘ เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดเมื่อเทียบเป็นคาร์บอน มากกว่าการขนส่งทั่วโลกที่ปล่อยคาร์บอน ๑๓.๕ เปอร์เซ็นต์เสียอีก
– การปลูกพืชอาหารเพื่อปศุสัตว์ในสหรัฐอเมริกาใช้น้ำมากมายเกือบครึ่งหนึ่งของน้ำที่มีให้ใช้ในประเทศ สัตว์ที่ถูกเลี้ยงเป็นอาหารมนุษย์กินผลิตผลถั่วเหลืองมากถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ข้าวโพด ๘๐ เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของผลิตผลธัญพืชทั้งหมด
– เมื่อคิดจากการเลี้ยงสัตว์ถึงการบริโภคของมนุษย์ การผลิตเนื้อ นม ไข่ ต้องใช้พลังงาน (input) เพื่อให้ได้โปรตีน (output) คิดเป็นสัดส่วน ๔:๑ ถึง
๕๔:๑ มีคนอุตส่าห์คำนวณว่าธัญพืชที่ปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์เฉพาะในสหรัฐฯ สามารถเลี้ยงคนได้เกือบ ๘๐๐ ล้านคน การบริโภคพืชผัก ถั่ว ธัญญาหาร ผลไม้โดยตรง กระทั่ง
กินแมลง ยังเป็นการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
– กลุ่มพีต้ารายงานว่าคนงานในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะคนที่ทำงานในโรงงาน อยู่ในสภาพการทำงานที่แย่ขนาดส่งผลเสียหายถึงสภาพจิตใจ แรงงานในอุตสาหกรรมนี้ยังคงยากจน เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ มีคุณภาพชีวิตต่ำกว่าแรงงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุขนาดที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศระบุว่างานภาคเกษตรกรรมเป็นงาน ๑ ใน ๓ งานที่อันตรายที่สุดในโลก
– ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าการลดบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้สุขภาพดีขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ปศุสัตว์ที่ลดลงจะทำให้ทรัพยากรการเกษตรฟื้นตัว และเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การบริโภคเนื้อที่ลดลงทั่วโลกจะทำให้การใช้ที่ดินและน้ำต่อหัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งผู้คนจะสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อธัญญาหารได้มากขึ้นด้วย
ล่าสุด เว็บไซต์ grist.org แนะนำว่าการกินมังสวิรัติเป็นหนึ่งในหนทางแก้ความคับแค้นหงุดหงิดใจของชาวเราต่อกรณีที่บีพีปล่อยให้น้ำมันมหาศาลไหลทะลักกระจายไปทั่วมหาสมุทร โดยอ้างอิงงานวิจัยด้านประสาทวิทยาและพฤติกรรมว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมในระดับปัจเจกเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหว
หรือถ้าไม่เป็นอย่างนั้น–ถึงเราไม่อาจจะทำสิ่งใหญ่ๆ ได้ แต่เราก็ทำสิ่งเล็กๆ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ได้
แม่ชีเทเรซาบอกไว้อย่างนั้น
* PETA – People for the Ethnical Tratment of Animals เป็นองค์กรปกป้องสิทธิสัตว์ที่ถือว่า “สัตว์ทั้งหลายไม่ได้เป็นของมนุษย์ที่จะกิน สวมใส่ ทดลองหรือใช้เพื่อความบันเทิง” ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ.๑๙๘๐ เปิดโปงการทารุณสัตว์มามากมาย เช่นลิงและหมาในห้องทดลอง จนบางกรณีนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายสวัสดิภาพของสัตว์ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานต่อต้านการทรมานสัตว์ ๔ ประเด็นใหญ่ๆ คือ การเลี้ยงสัตว์ในกรงเพื่อเป็นอาหาร เพื่อใช้ขนสัตว์ การทดลองสัตว์ และการใช้สัตว์เพื่อความบันเทิง พีต้ายังรณรงค์ต่อต้านการตกปลา การล่ามโซ่หมา ไก่ชน วัวชน และการให้หมากัดกันเพื่อความบันเทิง
เลือกกินเลือกเป็น วิกิพีเดียให้ความหมายของการกินมังสวิรัติ (vegetarianism) ที่คนทั่วโลกอาจเข้าใจร่วมกันว่าเป็นแนวทางการปฏิบัติที่รับอาหารที่มีพืชผักเป็นหลัก อันได้แก่ ผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว และเมล็ดพืช อาจรวมผลิตภัณฑ์นมและไข่ด้วยหรือไม่ก็ได้ คนกินมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดง เนื้อสัตว์ที่ถูกล่าเพื่อความบันเทิง สัตว์ปีก ปลา กุ้ง หอย หมึก หรืออาจละเว้นผลิตภัณฑ์ที่มาจากการฆ่าสัตว์ เช่น ชีส เยลลี สารานุกรมเสรีฉบับนี้ยังแจกแจงความหลากหลายตามแนวทางมังสวิรัติ ที่เลือกกินหรือไม่กินอาหารบางอย่างไว้ด้วยดังนี้
|