จำไม่ได้หรอกว่าไปทะเลครั้งแรกเมื่อไร
จำไม่ได้ด้วยว่าเคยกลัวคลื่นไหม
จำได้แต่คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าเข้ามาโยนโยกโอบร่าง
ขอบฟ้ากว้างลากเส้นตรงสุดจากมุมซ้ายจดมุมขวา แบ่งผืนน้ำสีครามเข้มกับโค้งฟ้าใสให้ต้องแหงนมองไกลจนคอตั้ง แล้วเหลียวหลังไล่สายตาไปจนพบกับแนวยอดมะพร้าวเขียวหลังชายหาด
ผืนน้ำสั่นไหวเคลื่อนที่พร้อมกันเป็นแนวเข้าหาฝั่งด้วยพลังการหมุนของโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
บางสิ่งที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยสายตา สะพัดมาจากความว่างเปล่าเบื้องหน้า กระทบกายสะท้านความเย็นเยียบ
เสียงสายลมและเสียงคลื่นกระซิบโสตประสาท เป็นภาษาที่ไม่อาจรู้ความหมาย จับสัมผัสเองว่าคือถ้อยคำทักทายที่โลกเอ่ยกับสิ่งมีชีวิตที่ยืนนิ่ง
ชั่วขณะ ราวกับมีเพียงตัวเราคนเดียวกลางท้องทะเล
เพียงตัวเราคนเดียวกับโลก
ความรู้สึกอันแสนประหลาดจนต้องเปล่งเสียงตะโกนที่ไร้ความหมายออกจากภายในไปตอบรับคำทักทายที่ไร้ตัวอักษร
พลันทุกอย่างเงียบสงบ
สายลม ระลอกคลื่น คงขยับไหวไปตามวิถี
จำได้ว่าอยู่กลางผืนน้ำทะเล สุข และเต็มล้นด้วยพลังภายใน
…
นานแค่ไหนแล้วที่แต่ละวันเราขังตัวไว้กับบรรดาประดิษฐกรรมที่มนุษย์สร้างไว้ครอบตนเองจนคุ้นชิน
เราไม่เคยตั้งคำถาม - เราหนีห่างจากธรรมชาติมากไปไหม
จนวันหนึ่งเราอาจหลงลืมว่ามนุษย์มาจากไหน และต้องพึ่งพาสิ่งใดเพื่อมีชีวิต
ไม่ใช่แค่ออกซิเจน อากาศ น้ำ ความชื้น ความอบอุ่น รสสัมผัส แร่ธาตุอาหาร หรือความกระหาย ความอยาก ความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวดในจิตใจ
แต่คือโลกและเรา เราและโลก
สายน้ำไหล เมฆเลื่อน ใบไม้ต้องลม ภูเขาตระหง่าน ท้องฟ้ากว้าง หรือแววตาของเพื่อนร่วมโลกต่างสายพันธุ์ที่ส่งข้อความบางอย่างสื่อสารกลับมา
สภาวะที่เหมือนหยุดนิ่งเข็มเวลาให้เราจดจ่อกับธรรมชาติบางสิ่งชั่วขณะของการเชื่อมเราไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่นนั้นไร้คำเรียกขาน ดังเช่นสายลมที่มิอาจมองเห็น
ลึก ๆ แล้วเราอาจต้องการเพียงอ้อมกอดแผ่วเบาของสายลมเพื่อจะได้เข้าถึงความจริงว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจอยู่โดยลำพัง
ธรรมชาติยิ่งใหญ่และคือทุกสรรพสิ่ง
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
สมัครสมาชิกวันนี้ต่อชีวิตนิตยสารไปยาวๆ