เขียน : นิสากรม์ ทองทา
ภาพ : ณิชกานต์ ช่างสาร
ผลงานจากค่ายสารคดีครั้งที่ 15

จิตใจอันสงบ มือที่จับไม้ปั้นค่อยๆ บรรจงลงรายละเอียดบนรูปปั้นพระพุทธรูป

สิ่งใดบ้างที่ทำให้คนธรรมดาเรียกตัวเองได้ว่าเป็น “มนุษย์” อย่างแท้จริง

คือการเรียนรู้ วัฒนธรรม จิตวิญญาณ อารมณ์ความรู้สึก หรือแม้กระทั่ง “ศิลปะ”

“ศิลปะคือภาษาทางทัศนธาตุ เป็นความลึกซึ้งที่สะสมอยู่ภายในตัวเรา ศิลปะยกระดับและขยายขอบเขตของจิตใจให้กว้างขวาง มันขัดเกลา บำบัด และสร้างสรรค์” ถ้อยคำตรึงใจนี้เป็นของศิลปินผู้มอบความรัก ความศรัทธา และอุทิศตนให้กับงานศิลปะซึ่งมันกลมกลืนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของเขา-อติ กองสุข ประติมากรปฏิบัติงานคนสำคัญแห่งโรงประติมากรรม ณ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร จังหวัดนครปฐม
ภายในพื้นที่ของโรงประติมากรรมขนาดใหญ่ ผนังทางด้านทิศเหนือสร้างจากกระจกโปร่งใส เราได้ยินเสียงนกร้องขับขาน มองออกไปข้างนอกแลเห็นหมู่แมกไม้และใบไม้ขยับตัวไหวโยน สัมผัสได้ถึงอากาศอบอุ่น อุณหภูมิพอเหมาะสำหรับเหล่างานประติมากรรม แสงตะวันส่องลอดผ่านกระจกเข้ามาแตะไล้บรรดารูปปั้นอันทรงคุณค่าทุกๆ ชิ้นงดงาม ประณีตบรรจง

พื้นที่แห่งนี้คือแหล่งผลิตงานประติมากรรมสำคัญมากมายทั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ อนุสรณ์สถาน รูปปั้นบุคคลสำคัญ ตลอดจนพระพุทธรูปและสัญลักษณ์ทางศาสนา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อนุสาวรีย์” ซึ่งถือเป็นงานหลักงานหลวงที่ศิลปินทุกคนช่วยกันสรรค์สร้าง

อนุสาวรีย์ไม่ใช่เพียงงานศิลปะเก่าแก่ หากคือความจริงที่ว่าอนุสาวรีย์เป็นถ้อยคำของประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ฝากเรื่องราวไว้เป็นอนุสาวรีย์

การสร้างงานประติกรรมต้องการแสงที่เพียงพอ เพื่อการมองระยะ สัดส่วน ความตื้นลึกของชิ้นงาน ให้มีความถูกต้อง ดังนั้นสถานที่ที่เหมาะสมแก่งานสร้างประติมากรรมจึงต้องออกแบบให้มีพื้นที่กว้างขวางและมีแสงแดดส่องเข้ามาตลอดทั้งวัน
ไม่ว่างานปั้นพระพุทธรูปหรืออนุสาวรีย์ต่างๆ จะต้องมีการสร้างต้นแบบขนาดเล็กก่อนจะเริ่มปั้นขนาดจริงทุกครั้งเพื่อความถูกต้องของสัดส่วน ไม่ให้เกิดความผิดเพี้ยน
นอกจากจะใช้ต้นแบบที่เป็นรูปปั้นขนาดเล็กแล้ว บ้างครั้งก็ใช้คนจริงเพื่อเป็นแบบในการวางท่าทาง หรือเพื่อดูความถูกต้องของมัดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ

หากเรามองไปที่งานประติมากรรมสักชิ้น ขณะผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า จะพบว่าหัวใจของเรากำลังซึมซับบางสิ่ง อาจคือความรัก ความศรัทธา ความธรรมดาทว่ามหัศจรรย์ รูปปั้นกำลังสนทนากับเราอย่างแยบยลงดงามโดยไม่ต้องอาศัยวาทศิลป์ใดๆ
ศิลปะซ่อนอยู่ภายในใจของเราก่อนแล้ว มันจึงเป็นสิ่งที่ทั้งดวงตาได้เห็นและหัวใจได้มอง

ประติมากรมือทองอย่างอติผู้ปั้นงานประติมากรรมชิ้นสำคัญ เช่น พระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงาน กล่าวว่า “ลายเส้นบนงานปั้น” คือลายมือของประติมากร ประติมากรรมใช้แทนคำอธิบายตัวตนของผู้ปั้นได้ ใครที่เข้าใจงานศิลปะของเขาอย่างลึกซึ้งอาจมองเห็นจิตใจของอติ กองสุข ได้ทะลุปรุโปร่ง

ในทางกายภาพงานปั้นแบ่งเป็นสองส่วน หนึ่งคือ form หรือเนื้อดินที่ใช้ปั้น เป็นปริมาตรที่เราทุกคนมองเห็น อีกส่วนตาเราไม่อาจมองเห็น แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกว่ามันมีอยู่ นั่นคือ space หรืออากาศ ซึ่งอยู่รายล้อมรอบรูปปั้น เนื้องานล่องหนที่ประติมากรทุกคนจินตนาการว่ามันสอดรับอย่างพอดิบพอดีกับส่วนเนื้อดิน
คำบอกเล่านี้ของอติคล้ายจะอธิบายต่อเรา สิ่งใดก็ตามที่เราระลึกว่าคือศิลปะ มันย่อมเป็นศิลปะ ไม่ว่าจะจับต้องได้หรือไม่ก็ตาม

ขณะปั้นงานหนึ่งชิ้น “แสงและเงา” คือสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ โรงปั้นหรือพื้นที่รวบรวมงานประติมากรรมทุกแห่งย่อมมีผนังด้านหนึ่งซึ่งเปิดให้แสงเหนือหรือแสงใต้สาดส่องเข้ามาได้ นั่นเพราะแสงตะวันจากสองทิศนี้เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดตลอดวัน

การสร้างอนุสาวรีย์ทุกแห่งมีหลักการแรกสุดต้องพิจารณาคือสถานที่ ตำแหน่งและทิศทางเบื้องหน้าเบื้องหลังของอนุสาวรีย์ เพราะในบางครั้งเมื่อต้องแสงตะวัน ขนาดของประติมากรรมจะบิดเบือนไป

“หากเราทำให้คนดูงานประติมากรรมของเราได้ ทำให้คนที่เดินผ่านหยุดมอง นั่นแหละคือศิลปะแล้ว” คำกล่าวของอาจารย์อภิศักดิ์ ทองอินทร์ ประติมากรปฏิบัติการและอาจารย์สอนศิลปะเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่น และเจ้าของงานประติมากรรมอันยิ่งใหญ่อย่างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่อุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ “อนุสาวรีย์บ่งบอกความเป็นไทยและความรักชาติ การสร้างอนุสาวรีย์จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์อย่างละเอียด”

อาจารย์อภิศักดิ์หลงใหลทั้งประวัติศาสตร์ไทยและต่างประเทศ ถ้าสนใจงานศิลปะชิ้นใดอาจารย์จะศึกษาเรื่องราวของมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทั่งอ่านคัมภีร์ไบเบิลเพื่อเข้าใจรูปปั้นชิ้นที่เกี่ยวข้องกับศาสนา

เขากล่าวว่า งานศิลปะแต่ละชิ้นที่เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นงานของเขาหรืองานของคนอื่นก็ตาม เขาอยู่กับมันด้วยความรัก รูปปั้นสำหรับเขาสวยงามยิ่งกว่าต้นแบบของจริง เพราะศิลปินมักใส่ความสุขลงไปในงานด้วย

“ศิลปะเป็นความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษา ตัวเราเองเห็นงานหัตถกรรมชิ้นหนึ่ง อย่างถ้วยหนึ่งใบ ความจริงมันไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมายนอกจากกะลา แต่ไม่ใช่อย่างนั้น มันมีการออกแบบ คนทำใส่สิ่งที่เขารู้สึกสุขใจลงไปในนั้น เรารับรู้ได้”

งานสร้างอนุสาวรีย์นั้นใช้เวลาและความอดทนเป็นอย่างมาก บางครั้งใช้เวลานานนับปีกว่าจะสร้างต้นแบบขนาดจริงเสร็จ
งานหล่อเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนไม่แพ้งานปั้น และยังเป็นงานที่เสี่ยงต่อสุขภาพคนทําโดยตรง เพราะงานประเภทนี้ต้องเจอทั้งสารเคมีและความร้อนสูง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทําให้คนที่ทํางานที่นี่เหนื่อยหรือท้อแต่อย่างใด จากใจที่ทําเพื่อคนอื่น ใจที่ทํางานนี้เพื่อชาตินั่นเอง
อาจารย์จิตกร วงษ์มาตร์ นายช่างศิลปกรรมชํานาญงานแห่งกรมศิลปากร เล่าเรื่องราวของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี บุคคลสําคัญผู้เป็นต้นทางให้กับงานสร้างอนุสาวรีย์ในประเทศไทย

ขณะที่ฟังเรามองเห็นความรักและจิตวิญญาณแท้จริงของศิลปินผ่านแววตานั้น มันลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดของเขาเสียอีก

เมื่ออยู่กับศิลปินผู้มีแรงศรัทธา เราจะมองเห็นงานศิลปะชัดเจนขึ้น

ทุกๆ จุด ทุกๆ เส้นสายบนงานประติมากรรมอ่อนช้อย มีชีวิตชีวา ทว่าคมชัดและหนักแน่น เช่นเดียวกับบรรยากาศท่ามกลางงานประติมากรรมเราสัมผัสได้ถึงความสงบเงียบ ทรงพลัง เต็มเปี่ยมด้วยเรื่องราว

นอกจากศาสตร์ทางด้านประติมากรรมอันเป็นหัวใจหลักของการสร้างอนุสาวรีย์แล้ว ยังมีอีกศาสตร์อันทำให้อนุสาวรีย์เสร็จสมบูรณ์พร้อมนำไปตั้งยังสถานที่ใดก็ตามให้ผู้คนเคารพกราบไหว้ ศาสตร์นั้นคือ “การหล่อ”

หลังจากประติมากรปั้นงานขึ้นจากดินเรียบร้อยแล้ว ช่างหล่อจะเป็นผู้หล่อโลหะที่โรงประติมากรรม ณ สำนักช่างสิบหมู่แห่งนี้ เพื่อให้อนุสาวรีย์แข็งแรงมั่นคง ดังที่สง่า จันทร์ตา นายช่างหล่อชำนาญงาน บอกกับเราด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หน้าที่พวกผมอยู่ในส่วนเผยแพร่ เปลี่ยนดินเป็นโลหะ เป้าหมายคือทำยังไงก็ได้ให้โลหะมีรายละเอียดใกล้เคียงดินที่ช่างปั้นปั้นมามากที่สุด โจทย์คือทำอย่างไรให้คนเดินเข้ามากราบไหว้”
ความรู้สึกของผู้คนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงได้มีการใส่ใจในทุกขั้นตอนเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาออกมาให้ดีที่สุด

สง่าอธิบายว่านอกจากรายละเอียดยิบย่อย ความตื้นลึกหนาบาง และลายเส้นของช่างปั้นแล้ว งานสำคัญที่สุดของช่างหล่อคือเรื่องสีของโลหะ ส่วนมากอนุสาวรีย์จะถูกทำสีน้ำตาลอมแดง ซึ่งเป็นสีที่มองแล้วให้ความรู้สึกน่าเคารพที่สุด

ในปัจจุบันการหล่อทำโดยใช้ “ปูนปลาสเตอร์” ขึ้นโครงสร้างตามงานปั้นก่อนจะหล่อโลหะ หรือที่เรียกว่า “การหล่อทอง” ต่างจากในอดีตซึ่งใช้วิธีการหล่อแบบ “ดินไทย” กล่าวคือใช้ขี้วัว-วัตถุดิบพื้นบ้าน เป็นวัตถุดิบหลักผ่านกรรมวิธีต่างๆ ก่อนจะนำมาขึ้นโครงรูปปั้นแทนปูนปลาสเตอร์

การหล่อแบบดินไทยทำให้เส้นสายบนงานประติมากรรมมีความละเอียดและประณีต แต่ใช้เวลานานกว่าใช้ปูนปลาสเตอร์มาก ช่างหล่อที่ใช้การหล่อแบบโบราณนี้จึงค่อยๆ หายไป แต่สง่ายังค
ใช้วิธีดั้งเดิมเช่นนี้บ้าง เพื่ออนุรักษ์วิถีเก่าแก่ของไทยให้คงอยู่

“งานหนึ่งที่ผมทำคือพระรูปคู่ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งผมทำด้วยกระบวนการดินไทยแทบทั้งสิ้น ใช้เวลานานมากคือหกเดือน องค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นประธานในการหล่อทอง ผมโชคดีที่ได้รับคัดเลือกเข้าไปรับเบ้าหล่อเองต่อหน้าพระองค์ท่าน นั่นถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต

“งานของผมเป็นงานเสี่ยงภัย ภัยโดยตรงคือความร้อนซึ่งใช้ในการหลอมโลหะภัยทางอ้อมคือโรคที่เกิดจากการปฏิบัติงาน มะเร็ง วัณโรค แต่เราเกิดมาแล้ว ผมถือว่าได้มีโอกาสได้ทำงานตอบแทนชาติ ตอบแทนแผ่นดิน สิ่งที่ได้จากการทำงานคือความภาคภูมิใจ เราเป็นผู้ให้ อุทิศแรงกายแรงใจเต็มที่

“ผมไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่อย่างน้อยร้อยคน พันคน หรือหมื่นคนอาจจะกราบไหว้ก็ได้ และเราสามารถบอกเขาได้ว่าเราเป็นคนทำ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

ช่างหล่อคนสำคัญแห่งกรมศิลปากรเล่าให้เราฟังด้วยว่า งานประติมากรรมแรกของสยามประเทศคือพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมรูปทรงม้า สร้างเมื่อปี 2450 ในรัชสมัยของพระองค์เอง พระบรมราชานุสาวรีย์นี้เป็นผลงานของศิลปินชาวฝรั่งเศสยุคนั้น ซึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อนำงานประติมากรรมที่แล้วเสร็จมามอบให้กับคนไทย

ความเก่าแก่ของงานศิลปะชิ้นนี้ชวนให้เรารำลึกนึกถึงประวัติศาสตร์ของงานประติมากรรมซึ่งมีความเป็นมายาวนานนับแต่สมัยสุโขทัย กษัตริย์ในแต่ละยุคสมัยคือผู้พัฒนาและนักอนุรักษ์งานศิลปะจึงแฝงไว้ด้วยความเป็นพระราชนิยม

สมัยก่อนหน่วยงานของกรมศิลปากรซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ ทำงานหลวงรับใช้ประเทศชาติ สังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ผู้เป็นศิลปินนับว่าเป็นครูผู้สร้าง

ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนมาสังกัดกับกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขัดเกลาเส้นทางสำหรับงานศิลปะแขนงต่างๆ ให้เติบโตอย่างดีโดยเฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเส้นทางประวัติศาสตร์

งานศิลปะแขนงประติมากรรมคือจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อปี 2466 พุทธศักราชแห่งการมาเยือนสยามประเทศของศิลปินชาวอิตาลีนามคอร์ราโด เฟโรซี หรือศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อาจารย์ประติมากร กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ

ท้าวสุรนารีหรือคุณหญิงโม นิยมเรียกว่าย่าโม เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ไทยในฐานะวีรสตรีมีส่วนกอบกู้เมืองนครราชสีมาจากกองทัพเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์เวียงจันทน์ เมื่อปี 2369 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเป็นศูนย์รวมความเชื่อความศรัทธาของคนจังหวัดนครราชสีมาและคนจากทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย หรือเข้ามาทํางานอยู่ที่นี่ ทุกคนจะมากราบไหว้เพื่อฝากตัวเป็นลูกของย่าโม
งานพิธีไหว้ย่าโมของนักศึกษาใหม่แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

ภาพทรงจำของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี สำหรับเหล่าศิษย์มีครู คือภาพของชายผู้มีแววตาเอื้ออารีทั้งคุณูปการและความเป็นครูอย่างแท้จริงคือแสงสว่างส่องทางให้ลูกศิษย์ทุกคน

“อาจารย์ศิลป์เสมือนเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ที่ส่องแสงออกมา แล้วแผ่ขยายเป็นคุณค่าของงานศิลปะ” น้ำคำนุ่มนวลกอปรแววตาเปี่ยมศรัทธาของหัวหน้าหอประติมากรรมต้นแบบ อาจารย์จิตกร วงษ์มาตร์ นายช่างศิลปกรรมชำนาญงานแห่งกรมศิลปากรผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะและเคารพรักอาจารย์ศิลป์มากจนกระทั่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี ซึ่งวางตัวอยู่ใกล้กับหอประติมากรรมต้นแบบของกรมศิลปากร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรักษาข้าวของเครื่องใช้และเครื่องมือทำงานศิลปะของอาจารย์ศิลป์

สถานที่ที่เป็นขุมพลังและแรงบันดาลใจของลูกศิษย์อย่างเขา

“งานปั้นให้ความรู้สึกจับต้องได้ มันเป็นงานวิเศษนะ คล้ายกับหนังสือที่นักเขียนจะสัมผัสและเข้าถึงตัวอักษรอย่างลึกซึ้ง ส่วนช่างปั้นต้องเป็นนักสังเกต ใส่ใจ มอบอารมณ์ความรู้สึกให้งานปั้นในทุกๆ รายละเอียด”
สำหรับอาจารย์จิตกรนั้น ไม่เพียงแค่งานประติมากรรม ไม่ว่าศิลปะแขนงใด จิตรกรรม หัตถกรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ ดนตรี หรือหนังสือ ล้วนเป็นสิ่งสวยงามของชีวิตมนุษย์ ทำให้นัยน์ตาของผู้คนมองเห็นมุมมองงดงามของโลกใบนี้

หอประติมากรรมต้นแบบของกรมศิลปากรคืออาคารสูงโปร่งสองชั้นซึ่งรวบรวมและจัดแสดงผลงานประติมากรรมของบรรดาศิลปินชั้นครู เมื่อย่างเท้าเข้าไปอย่างแรกที่ดวงตาได้สัมผัสและหัวใจได้ซึมซับคือความงาม อย่างต่อมาคือเรื่องราวที่ถูกกล่าวขานอย่างไพเราะ คล้ายว่ามีบทเพลงแห่งตำนานหลายร้อยบทเพลงดังเป็นทำนองซุกซ่อนอยู่ในหอประติมากรรมแห่งนี้ รอให้ผู้คนก้าวเข้ามาเพื่อบันทึกความทรงจำเก่าๆ ไว้
นอกจากงานปั้นของศิลปินชั้นครูท่านต่างๆ พื้นที่นี้ยังเก็บรักษางานประติมากรรมชิ้นเอกของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ทั้งงานประติมากรรม ภาพนูนต่ำนูนสูง งานวาดแบบ และภาพสเกตช์สามมิติ ซึ่งเป็นรูปปั้นขนาดเล็ก ทำจำลองก่อนสร้างรูปปั้นขนาดจริงเพื่อเทียบสัดส่วนที่ถูกต้อง
สำหรับลงมือทำประติมากรรมชิ้นจริง

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีคือผลงานโด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของอาจารย์ศิลป์ ประติมากรรมต้นแบบของอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย เป็นตัวแทนตำนานท้าวสุรนารีหรือที่เรียกกันว่าย่าโม วีรสตรีผู้กอบกู้เมืองนครราชสีมาจากกองทัพของเจ้านครเวียงจันทน์เมื่อปี 2369 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

กรุงเทพมหานครมีงานประติมากรรมงดงามมากมาย และผลงานทรงคุณค่าอีกชิ้นของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์หรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า อันเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี ผลงานชิ้นนี้คือพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระปฐมบรมราชานุสรณ์
พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้คือสัญลักษณ์ชิ้นเอกแห่งราชวงศ์จักรี ประดิษฐานไว้เพื่อให้คนไทยได้มองเห็นและระลึกถึงความเป็นชาติ

ประวัติศาสตร์ของเราเริ่มต้นมานานนับศตวรรษ เรื่องราวเดินทางอยู่ในความทรงจำของผู้คน บันทึกอยู่ในพงศาวดาร บรรเลงในบทเพลงเก่าแก่ ซ่อนตัวไว้ในงานศิลปะ

ยุคสมัยเก่าๆ ผ่านพ้นไป วันเวลาในปัจจุบันกำลังทำหน้าที่ดำเนินเรื่องราวเหล่านั้นต่อ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ทิ้งไว้อีกครั้ง มอบให้แด่คนรุ่นหลัง

อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เข้ามารับราชการในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระประสงค์ให้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะตะวันตกเข้ามารับราชการ เป็นทั้งช่างปั้นและครูสอนงานศิลปะให้กับคนไทย

 

ชาวอิตาลีผู้ย้ายสัญชาติมาเป็นชาวสยามคนนี้ก่อตั้งสำนักช่างสิบหมู่แห่งกรมศิลปากร และโรงเรียนประณีตศิลปกรรม หรือในปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศิลปากร

ท่านมีผลงานมอบให้คนไทยมากมาย เช่น พระบรมราชานุสาวรีย์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า กรุงเทพมหานคร, อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีหรือย่าโม ที่นครราชสีมา, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร, พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นต้น