เรื่องและภาพ กิตติธัช โพธิวิจิตร


หัวมุมถนนสายมัณฑะเลย์-ลาเสี้ยววินบริการรถม้าตื่นแต่เช้ามารอรับผู้โดยสาร บรรยากาศชวนฝันถึงลอนดอนสมัยเดียวกับ เชอร์ล็อก โฮล์มส์

ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงสี่เสาหน้าเตาผิงอิฐมอญสีส้มแดง นอกหน้าต่างบานสูงอาคารโคโลเนียลเต็มไปด้วยปล่องไฟพ่นควันสีเทาขมุกขมัว เสียงระฆังแว่วดังจากโบสถ์พร้อมเสียง “กุบกับ ๆ” เข้ามาใกล้ ราชรถสีขาวถูกลากด้วยอาชาร่างกำยำจอดเทียบตรงชานบันไดโรงแรม สารถีจัดแจงเปิดกลอนประตูให้ผู้โดยสารลงยังที่หมายตามตกลง หญิงสาวก้าวลงจากรถ เธอนุ่งลุนตยาสีสด บนแก้มสองข้างทาแป้งทานาคา…ถูกต้องแล้ว นี่มิใช่ภาพชวนฝันของเมืองเล็ก ๆ ในยุโรป หากแต่เป็นประเทศพม่า


หอนาฬิกาเพอร์เซลล์ซึ่งตั้งชื่อตามนามสกุล Mr. Purcell พ่อค้าชาวอาร์เมเนียผู้บริจาคเงินก่อสร้าง เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เมเมียวมีกลิ่นอายเมืองผู้ดีตลอดเวลาที่เข็มนาฬิกายังเดินหมุนไป

สารถีใช้เวลายามบ่ายงีบหลับในรถม้าขณะรอผู้โดยสารรายต่อไป

ชาวพม่าโดยสารรถม้าซินเดอเรลลาเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน เนื่องจากราคาไม่แพงและเดินทางได้หลายคน

การจราจรบนท้องถนนสายมัณฑะเลย์-ลาเสี้ยว ดูมีชีวิตชีวาด้วยยานพาหนะหลากรูปลักษณ์ ทั้งรถม้า รถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์

ด้วยความสูง ๑,๐๗๐ เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ทำให้ปะหยิ่นอูละหวิ่น (Pyin Oo Lwin : ပြင်ဦးလွင်‌) หรือพินอูลวิน เมืองตากอากาศเก่าแก่ของเขตมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี กระทั่งการปกครองของประเทศเปลี่ยนมือเมื่ออังกฤษยึดมัณฑะเลย์ได้ดังหวัง ด้วยความนิยมชมชอบเมืองอันเปี่ยมเสน่ห์ เหล่าทหารเสนาธิการอังกฤษจึงจัดแจงแปลงสภาพปะหยิ่นอูละหวิ่นเป็นเมืองตากอากาศที่ดีที่สุดในพม่า และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เมเมียว” (Maymyo : မေမြ หรือ May’s Town ตามชื่อผู้บัญชาการของพวกเขา Colonel James May (ปัจจุบันชาวพม่ากลับมาเรียกชื่อเมืองนี้ว่าปะหยิ่นอูละหวิ่น)

นักล่าอาณานิคมชาวอังกฤษได้จำลองชานเมืองลอนดอนบางส่วนไว้ที่นี่ ดังจะเห็นจากบ้านทรงยุโรปสมัยก่อนที่สร้างด้วยอิฐสีแดงและมีปล่องไฟ พร้อมจัดวางตำแหน่งหอนาฬิกาเพอร์เซลล์ (Purcell Tower) หรือบิ๊กเบนของพม่าไว้ ณ ใจกลางเมือง ซึ่งถึงทุกวันนี้ยังคงร้องบอกเวลาอยู่ทุกชั่วโมง

แต่สิ่งที่ยังมีลมหายใจให้สัมผัสถึงชีวิตที่เดินทางข้ามเวลามาโดยอังกฤษมิได้ตั้งใจทิ้งไว้ กำลังโขยกขาพร้อมเสียงแผ่นเหล็กบนปลายเท้า ลากตู้ที่นั่งสีสวยสดมาจอดหน้ากระถางซึ่งผสมน้ำ นม รำข้าว และหญ้าสับไว้ แล้วก้มลงจัดการอาหารเช้าตรงหน้า


รถม้าแต่ละคันต่างตกแต่งสวยงามเป็นเอกลักษณ์ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวต่างชาติให้เรียกใช้บริการ

รถม้าสีสันสดใสจอดรอนักท่องเที่ยวที่จะไปสวนรุกขชาติกันดอจี

เหล่าม้าพยศที่ยังไม่ได้รับการฝึกให้เทียมรถลาก เดินเล่น นอนพักอยู่ริมถนน

หนุ่มเจ้าของกิจการที่มีรถม้าหกคันให้บริการเช่า รถม้าเริ่มสร้างรายได้ให้เขาเมื่อเมืองเมเมียวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเขตมัณฑะเลย์

รำข้าว หญ้าสับ น้ำ และนม ผสมคลุกเคล้าก่อนเสิร์ฟให้ม้ากินระหว่างพักร้อนยามเที่ยง

โรงซ่อมรถม้าแห่งสุดท้ายที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน

“Myin Hale” (မြင်းလှည) เป็นชื่อที่ชาวพม่าเรียกรถม้าซึ่งปัจจุบันยังคงใช้โดยสารไปไหนมาไหนกันเป็นปรกติ แต่ในหมู่นักท่องเที่ยวนิยมเรียกว่า “รถม้าซินเดอเรลลา” ด้วยรูปลักษณ์ตู้นั่งโดยสารนั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงรถม้าในนิทานที่เจ้าหญิงลืมรองเท้าแก้ว พาหนะนี้จึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สร้างสีสันแก่เมือง

ทุกวันนี้รถม้าซินเดอเรลลาคงเหลือประมาณ ๑๒๐ คัน วิ่งสลับกันรับผู้โดยสารในเมืองตลอดวัน โดยมีทั้งรถที่เจ้าของปล่อยให้เช่าและเจ้าของขับเอง ส่วนโรงซ่อมรถม้าและการฝึกม้าข้างถนนยังคงมีให้เห็นถึงจะไม่มากนัก ความนิยมที่ไม่เคยขาดหาย ทำให้มั่นใจว่ารถม้าหลงกาลเวลานี้คงไม่สูญหายไปในเร็ววัน แม้กระแสความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วรอบเมืองจะรุดหน้าไปไวกว่ารถม้าที่กำลังวิ่ง เที่ยงคืน

หอนาฬิกาเพอร์เซลล์กู่ร้องด้วยเสียงระฆังกังวาน รถม้าสีขาววิ่งผ่านไป ด้านในมีหญิงสาวโดยสารหนึ่งคน…นั่นทำให้ภาพจินตนาการเช่นนิทานยอดนิยมตลอดกาลเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้


แม้นาฬิกาจะบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน รถม้าซินเดอเรลลายังควบตะบึงส่งผู้โดยสารผ่านแสงสีริมทางราวกับวิ่งข้ามมิติแห่งเวลา