ผีสางเทวดา เกร็ดเรื่องราวความเชื่อผีสาง เทวดา ในวัฒนธรรมไทยแต่อดีต
เมื่อพระอินทร์พานางสุชาดา อดีตภริยาหมายเลข ๔ ผู้เป็นที่รักในรูปลักษณ์นางนกกระยางมาปล่อยไว้ที่ซอกเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว กลับมาคราวนี้นางจึงตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด เลือกกินเฉพาะปลาที่ตายแล้ว จึงหาอะไรกินไม่ได้มากนัก อยู่มาไม่นานเธอจึงอดตายไป แล้วไปเกิดใหม่เป็นธิดาช่างปั้นหม้อ ผู้รักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัดอีกชาติหนึ่ง ก่อนจะไปเกิดเป็นธิดาไพปจิตราสูร ผู้เป็นจอมอสูร อาศัยอยู่ในอสูรพิภพ ใต้เขาพระสุเมรุนั้นเอง
ด้วยกุศลที่เคยรักษาศีลมาก่อน ส่งผลให้นางสุชาดาในชาตินี้ “ประกอบด้วยรูปสิริอันงาม ไม่มีใครเหมือน ไม่มีใครเปรียบ ใครเทียม สีสัณฐ์พรรณนั้นรุ่งเรืองงามเปรียบประดุจสีทอง” เมื่อถึงวัยมีคู่ ไพปจิตราสูรจึงให้ธิดาเลือกหาสามีตามชอบใจ โดยจัดการเรียกประชุมอสูรทั้งหลายให้มาพร้อมเพรียงกัน พระอินทร์ทราบข่าวจึงแปลงตัวเป็นอสูรแก่ มาเข้าแถวอยู่ท้ายสุด
เมื่อนางสุชาดา “แลเห็นก็เกิดรักใคร่ เพราะเหตุพาสนาเคยเป็นสามีภรรยาแห่งกันมาแต่ก่อน ห้วงน้ำอันใหญ่คือความรักนั้นครอบงำดวงหทัย” เธอจึงโยนพวงมาลัยเลือกคู่ไปให้แก่อสูรแก่
พวกอสูรทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงพากันส่ายหัวเยาะเย้ยว่า ดูเอาเถิด พระราชาของพวกเราหาสามีให้พระธิดาทั้งที กลับได้ผัวแก่กว่ารุ่นปู่เสียอีก ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า แล้วก็ตั้งท่าจะแยกย้ายกลับบ้าน
อสูรแก่จึงฉวยมือนางสุชาดาธิดาอสูรแล้วคืนร่างเดิม พานางเหาะขึ้นกลางอากาศ ประกาศแก่ฝูงอสูรทั้งหลายว่า ตัวเราชื่อพระอินทร์ ไม่ใช่อสูร
มาตุลีเทพบุตรที่นัดกันไว้แล้วก็โฉบเวชยันต์ราชรถลงมารับพระอินทร์กับนางสุชาดาขึ้นรถทันที แล้วควบราชรถลอยฟ้าจากพิภพอสูรมุ่งหน้าสู่ดาวดึงส์บนยอดเขาพระสุเมรุ
ไพปจิตราสูรได้รู้ความจริงดังนั้นก็ยิ่งพิโรธ ร้องเรียกให้กองทัพอสูรไล่ตามติดพระอินทร์ขึ้นไปทันที หวังขยี้ให้แหลกราญสมกับความแค้นที่มีมาช้านาน
แท่งเขาพระสุเมรุนั้นแบ่งได้เป็นสองครึ่งเท่าๆ กันพอดี ครึ่งล่างจมอยู่ในมหาสมุทร และข้างใต้นั้นคือพิภพอสูร ส่วนครึ่งบนมียอดเขาสูงสุดเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พอมาตุลีเทพบุตรผู้เป็นโชเฟอร์ประจำตัวและ ทส. ผู้ใกล้ชิดพระอินทร์ เร่งกระทืบเวชยันต์ราชรถหนีขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึงครึ่งทาง ก็เข้าใกล้ป่าสิมพลีวัน หรือ “ฉิมพลี” คือป่าต้นงิ้วตรงเชิงเขาพระสุเมรุส่วนที่อยู่เหนือน้ำ
ป่านี้เป็นที่พำนักของเหล่านกใหญ่ที่เรียกกันว่าพวกครุฑ
เวชยันต์ราชรถที่กำลังห้อมาด้วยความเร็วสูงสุดส่งเสียงดังกึกก้องโครมครามจนทำให้พวกลูกครุฑในรังตกใจ ร้องเสียงเซ็งแซ่ลั่นป่า (ครุฑเป็นนกพวกหนึ่ง คงออกลูกเป็นไข่ จึงต้องทำรังเหมือนนกอื่นๆ)
พระอินทร์เห็นว่าถ้าเวชยันต์ราชรถยังคงตั้งเข็มมุ่งหน้าตามเส้นทางนี้ต่อไป คงต้องตะลุยเข้าไปในดงงิ้วแล้วชนรังครุฑกระจุยเป็นแน่ ด้วยความสงสารบรรดาเบบี๋ครุฑที่กำลังร้องไห้จ้า พระองค์จึงออกคำสั่งให้มาตุลีกลับลำทันที
จู่ๆ เวชยันต์ราชรถจึงดริฟต์กลับตัว ๑๘๐ องศา มุ่งตรงเข้าหากองทัพอสูรที่กำลังดาหน้ากันขึ้นมา
ไพปจิตราสูรสะดุ้งเฮือก ตกใจว่าชะรอยพระอินทร์จะมีกองหนุนเทวดามาเสริมทัพเป็นแน่ ถึงกล้าย้อนมาถล่มพวกเราแบบนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วราชาอสูรจึงรีบออกคำสั่ง
“ถอยยยยยยยยยทัพ!”
พอเห็นพวกอสูรแตกพ่าย พระอินทร์จึงให้มาตุลีขับเวชยันต์ราชรถย้อนกลับคืนสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
จากนั้นจึงทรงมีเทวโองการ ประกาศสถาปนานางสุชาดาเป็นหนึ่งในพระอัครมเหสี มีบริวารเป็นนางฟ้าอีก ๒ โกฏิกับ ๕๐ แสน (คือ ๒๕ ล้านนาง!)
“ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” ฉบับพระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เล่าตอนท้ายเรื่องนี้อย่าง “แฮปปี้เอ็นดิ้ง” ว่า
“นางสุชาดาก็ขอพระพรในสำนักสมเด็จอมรินทราว่า ข้าพระบาทขึ้นมาอยู่ในเทพนครนี้ หามีวงศาคณาญาติผู้ใดผู้หนึ่งไม่ เห็นแต่พระองค์ แต่นี้ไป ถ้าพระองค์จะเสด็จในสถานที่ใด จงให้กระหม่อมฉันได้รับพระราชทานติดตามเสด็จไปในสถานที่นั้นด้วยเถิด พระพุทธิเจ้าข้า สมเด็จอมรินทราก็ให้ปฏิญาณว่า สาธุ ตามใจเถิด ไปไหนจะไปด้วยก็ตาม”