เรื่องและภาพ : The Lucky ค่ายนักเล่าความสุข
“…ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเรารักมากเท่าไร ยังเปลี่ยนผันไปเมื่อเราไม่มีค่าพอ…”
เสียงเพลงดังขึ้นจากบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อข้างโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
กว่า 2 ปีที่ฉันยังคงได้ยินเสียงเพลงลอยมาเติมเต็มบางสิ่ง ไม่แปรผันตามเนื้อร้อง
ท่ามกลางโลกที่ดูจะเต็มไปด้วยความหดหู่และวุ่นวาย
คงจะดีถ้ามีใครยืนหยัดตั้งใจทำสิ่งดีๆ แค่เพียงเพราะ…อยากเห็นความสวยงามของโลกใบนี้
ความสุขใต้บทเพลง
บัญชา มาชื่น หรือที่ใครๆ เรียกเขาว่า แมน เจ้าของบทเพลง “ผู้หญิงคนหนึ่ง” ที่แต่งจากความน้อยใจในความสัมพันธ์ จนถึงขั้นอยากหายตัวไปจากโลกใบนี้
แต่เขาก็นึกได้ว่าชีวิตยังมีคนที่รักและเห็นคุณค่าของเขาเสมอ
เขาร้อยเรียงเรื่องราวของตนเองเป็นบทเพลง บรรเลงเสียงด้วยกีต้าร์คู่ใจ ที่ถูกสอดแทรกด้วยเสียงเปิด-ปิดประตูของร้านสะดวกซื้อ
ชายวัย 41 ปีเลือกตัดสินใจพาตัวเองออกจากงานประจำมาใช้เวลากับสิ่งที่รัก คือการเล่นกีตาร์พร้อมเป่าฮาร์โมนิก้าเปิดหมวก หานำเงินไปบริจาคให้มูลนิธิต่างๆ และร่วมส่งต่อความสุขให้เด็ก ๆ และผู้สูงอายุ ผ่านเสียงเพลง
เขาทำอย่างนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว
“รุ่นพี่ทำงานที่ธรรมศาสตร์ถามว่าทำอะไรอยู่ เราบอกว่าเล่นดนตรีกลางคืน เขาเลยชวนว่ามาทำงานประจำไหม ตำแหน่งช่างดูแลอุปกรณ์การแพทย์ของคณะสหเวชฯ ผมก็เลยมาทำที่นี่ ปกติเราเล่นดนตรีสวมกางเกงยีนส์เสื้อยืด พอมาทำงานต้องสวมรองเท้าหนัง เสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ก มันดูไม่ใช่เลย ไม่ใช่เราที่ควรจะเป็น และทำให้เราเล่นดนตรีไม่ได้ด้วย ก็เลยลาออกมาเล่นดนตรี กับแต่งเพลงให้ค่ายเพลง”
การตัดสินใจครั้งนี้เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขจากการให้โอกาสตัวเองค้นหาความหมายของชีวิตในแบบที่ใช่ ได้ทำในสิ่งที่รักร่วมกับเพื่อนๆ และการแต่งเพลงส่งให้ค่ายเพลงบ้างในบางโอกาส ก็ช่วยสร้างสีสันให้กับชีวิต
แต่ไม่นานการแสดงบนเวที กลับทำให้เขาพบว่าไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ เพราะไม่ใช่ทุกเพลงที่นำมาร้องได้
นักดนตรีกลางคืนตัดสินใจเดินออกจากร้านอาหารมาสู่เวทีแห่งโลกใบกว้าง
“มีความสุขนะ ที่เราอยากร้องเพลงอะไรก็ได้ ในร้านอาหารถ้าไปร้อง ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง แขกคงมองว่าเราบ้ารึเปล่าวะ”
เสียงนั้นราวกับกำลังหัวเราะให้กับเรื่องราวในอดีต
บทเพลงเดียวกันที่เคยถูกมองว่าบ้าในร้านอาหาร กลับเป็นเพลงสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับเด็กๆ และผู้คนที่ผ่านไปมา ณ ที่แห่งนี้อยู่เสมอ
เพลงบางเพลงดูจะมีความหมายและคุณค่ายิ่งขึ้น เพียงเพราะอยู่ถูกที่ถูกเวลา
ฉันนึกถึงวันที่เคยไปช่วยรุ่นน้องเปิดหมวกร้องเพลงเล่นดนตรีเพื่อนำเงินไปจัดกิจกรรมซื้ออุปกรณ์การเรียนให้นักเรียนบนดอย
วันนั้นระหว่างรอรุ่นน้องมารวมตัว ฉันมาถึงคนแรกจึงตัดสินใจยืนเปิดหมวกคนเดียว โดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร รู้แค่ว่าตั้งใจมาทำหน้าที่เป็นสะพาน ชวนคนมาเป็นผู้ให้ เพื่อช่วยเด็กที่ขาดแคลนได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ แม้ฉันอาจเป็นเพียงท่อนไม้เล็กๆ เพียงส่วนหนึ่งของสะพานที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร แต่หากว่าสามารถพาใครบางคนข้ามฝั่งไป นั่นคือการได้ทำหน้าที่ของมันสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ
ท่ามกลางสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา ราวกับฉันเป็นคนแปลกและโดดเดี่ยว ฉันเองคงไม่ต่างกับชายนักดนตรีคนนี้ แม้ชั่วโมงบินไม่อาจเทียบเท่าเขา แต่ความรู้สึกอิ่มเอมใจ ความสุขของการเป็นผู้ให้ คงไม่ต่างกัน
ยิ่งได้เห็นแง่งามความคิดและสิ่งที่เขาตั้งใจทำอย่างจริงใจ ก็ยิ่งทำให้ฉันอยากพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นอีกครั้ง จุดที่ฉันมีความสุขกับเสียงเพลง พร้อมกับการเป็นผู้ให้จากการได้ทำในสิ่งที่รัก
“เราได้ปลดปล่อยตัวเองไปกับเสียงเพลง อีกมุมหนึ่งคือเราได้เห็นแววตาคนที่อยากเผื่อแผ่ เห็นเขามีความสุข รู้สึกมีความสุขทุกทีที่เห็นแววตาเขา เป็นความอบอุ่นจากข้างในของเขาที่อยากให้”
น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ดึงฉันกลับมามองชายตรงหน้าอีกครั้ง
แววตาของความสุขที่เขามักมองเห็นจากคนอื่น
น่าเสียดายที่เขาอาจไม่เคยได้เห็นแววตาเช่นนั้นของตัวเองบ้างเลย
บทเพลงซ่อมชีวิต
“…ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเรารักมากเท่าไร ยังเปลี่ยนผันไปเมื่อเราไม่มีค่าพอ ต่อไปนี้จะเป็นคนดีเพื่อแม่ ไม่ทำตัวแย่จะเป็นคนดีให้ดู จะทำทุกสิ่งเหตุผลมากมายเชิดชู อยากให้โลกรู้ว่าเรารักแม่ที่หนึ่ง…”
สิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นคุณค่าแท้จริงของบทเพลง “ผู้หญิงคนหนึ่ง” ที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตของแมน คงเป็นการทำให้คนฟังได้ฉุกคิดและปรับเปลี่ยนการกระทำของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
เหมือนกับที่เขาเคยร้องเพลงนี้เพื่อช่วยชีวิตเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้
“เด็ก ม.กรุงเทพ จะโดดตึกฆ่าตัวตาย น้องเขาบอกว่า ขอเพลงสุดท้ายได้ไหม วันหลังคงไม่ได้ฟังเพลงแล้ว ก็เลยร้องเพลงที่แต่งเอง เปรียบเทียบว่าผู้หญิงคนหนึ่งกับแม่เรา ใครรักเรามากกว่ากัน น้องเขาบอกว่า จริงพี่ ถ้าผมฆ่าตัวตาย เขาคงร้องไห้ไม่กี่วันหรอก เผลอๆ ไม่ร้องด้วยซ้ำ แต่แม่ผมคงเสียใจไปทั้งชีวิต”
แมนเล่าเหตุการณ์ที่พลิกผันจากร้ายเป็นดีด้วยสีหน้าเรียบๆ พร้อมกับม่านตาที่ขยายออกด้วยความภาคภูมิใจที่บทเพลงจากเรื่องราวเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้ ก่อนปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะจากความใสซื่อของเด็กหนุ่มคนนั้น
“หลังจากนั้นเขาควักเงินออกมาสามพัน บริจาคให้เราเอาไปช่วยคนต่อนะ ก่อนเดินกลับมาขอคืนหนึ่งพัน บอกว่าผมขอเอาไปเติมน้ำมันรถนะครับ”
ฉันนึกประโยคหนึ่งที่เคยผ่านตา
“บางคนร้องเพลงเพื่อชีวิต แต่บางคนก็ร้องเพลงเพื่อให้คนอื่นมีชีวิต”
การร้องเพลงของแมนสามารถช่วยเหลือและซ่อมแซมชีวิตใครบางคนให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง เหมือนเช่นที่ครั้งหนึ่งมันเคยช่วยซ่อมแซมชีวิตของแมนไว้เช่นกัน
จุดเริ่มต้นของความสุข
ชีวิตของแมนเคยอยู่ในจุดเดียวกันกับเด็กหนุ่มคนนั้น
แต่พลังที่ดึงเขากลับมาให้ตั้งใจใช้ชีวิตอีกครั้งคือ “ความสุข” จากการทำความดี ที่ไม่ต้องรอผลถึงชาติหน้า
“คิดว่าก่อนตายขอไปทำบุญ ทำความดีนะ ก็เลยไปถวายสังฆทาน ไปเลี้ยงน้องบ้านเด็กกำพร้า เล่านิทานกับร้องเพลงให้น้องฟัง แล้วตอนจะกลับ น้องเขาเดินมาหาทีละคน บอกว่า สนุกจังเลยค่ะ หนูอยากฟังเพลง มาร้องให้หนูฟังใหม่นะ”
แมนเล่าถึงจุดพลิกผันด้วยสีหน้าแววตาที่มีความสุขกับภาพความทรงจำอันงดงาม
“เฮ้ย!! ถ้าเราตายเราก็ไม่ได้ทำอะไรพวกนี้สิวะ จะตายไปเพื่ออะไร เลยกลับความคิดใหม่”
ในวันที่ยังไม่สายเกินไป คำพูดของเด็กๆ คงเอ่อล้นท่วมหัวใจของผู้ชายอย่างแมน
หากถามว่าทำไมจึงมาเล่นดนตรีเพื่อรับเงินบริจาคให้เด็กๆ เป็นเวลายาวนานตั้งแต่ปี 2553 มาถึงวันนี้
คำตอบคงเดาได้ไม่ยากเลยว่าคือความสุขจากการเป็น “ผู้ให้”
หรือบางทีชีวิตที่แมนรักษาไว้มาจนถึงทุกวันนี้ ล้วนมีจุดเริ่มต้นจากการให้ในวันนั้นก็เป็นได้
“เราไปบ้านเด็กอ่อนรังสิต และบ้านผู้สูงอายุ น่าสงสารคุณตาคุณยาย เหมือนเขาเหงา เราไปเป่าออแกน บรรเลงเพลงไทยเดิม เขาก็ชอบใจกัน ตอนนั้นทำบัวลอยน้ำขิงไปเลี้ยง เขาก็ถามทำเองหรอ เราก็บอกว่าทำเองบางส่วน มีคนมาช่วยด้วย ดีใจที่เห็นคุณตาคุณยายกินแล้วมีความสุข”
นอกจากกีตาร์และฮาร์โมนิก้าเครื่องดนตรีคู่หูแล้ว การทำขนมเลยกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาพบความสุขของการให้
เพราะมดไม่เคยรู้ว่าน้ำตาลเป็นของใคร
“พื้นฐานเป็นคนขี้สงสาร คือรักสัตว์ทุกอย่าง ได้มาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน”
แมนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปหญิงสาวกำลังอุ้มแมว
“เป็นแฟน เขาเสียแล้ว เขาชอบคุยกับสัตว์ คุยกับแมลงสาบ คุยกับแมงมุม คุยกับมด คุยทุกอย่าง เขามองสัตว์ทุกอย่างบนโลกนี้เป็นเพื่อนของเขา เขาบอกว่าสัตว์ก็มีชีวิตของเขา จะไปฆ่าเขาทำไม ที่เขามากินน้ำตาลที่บ้านเราก็เพราะเขาหิว มดน่ะ ก็เหมือนเราหิวน้ำนั่นแหละ เขาหิวเขาก็ต้องกิน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาลของใคร แฟนเอาน้ำตาลไปโรยรอบต้นมะม่วงให้มดกิน แมลงสาบขึ้นบ้านก็เอาขนมปังให้แมลงสาบกิน เขาไม่เหมือนคนทั่วไป
“เขาชวนไปหาปีเตอร์ เราก็ถามว่าใครอะ เขาบอกแมลงสาบ…”
แมนเล่าด้วยสีหน้าชอบใจ ด้วยอารมณ์ขบขันในความรักสัตว์อย่างมากของคนที่ส่งผลต่อการส่งต่อการทำสิ่งดีๆ ในตัวเขา
ส่วนฉันนึกถึงประโยคที่คนเรามักใช้แก้ตัวกันว่า “ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ผิด” และเริ่มสงสัยว่าคำนี้มีไว้แค่เฉพาะเวลามนุษย์เราทำผิดเท่านั้นหรือไม่ เพราะหากไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราก็คงไม่ต้องลงโทษในความไม่รู้ของสัตว์น้อยใหญ่
หรือเราหลงลืมว่าคงไม่มีมดตัวไหนเข้าใจหรอกว่า ใครกันที่เป็นเจ้าของน้ำตาลก้อนนั้น
ความดีที่อาจดูไม่น่ามอง
“…ก็มีนะ แบบมองว่าเราหลอกลวงหรือเปล่า เพราะตอนแรกๆ ไม่มีรูปภาพ ไม่มีโบรชัวร์ตั้งให้เขาเห็น แต่พนักงานร้านเขาก็โอเคกับเรา คนข้างในส่วนใหญ่รู้จักเรา เขาเคยถามเอาไปบริจาคจริงหรือเปล่า…”
แมนตอบ หลังจากที่ฉันถามถึงมุมมองของคนอื่น
“…ตอนไปครั้งแรกก็ถ่ายรูปไว้ เอาใบเสร็จมาด้วย”
วันที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ จึงเป็นอันดับแรกที่ผู้คนต้องการรับรู้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการบริจาคของพวกเขาจะไปถึงผู้คนที่ต้องการรับความช่วยเหลือจริงๆ
นอกจากใบเสร็จที่มายืนยันแล้ว ด้วยตำแหน่งนักดนตรีอิสระหน้าร้านสะดวกซื้อที่เขาอยู่มายาวนาน ก็นับเป็นอีกใบการันตีความบริสุทธิ์ใจของแมนได้เป็นอย่างดี
“ก็แล้วแต่คนจะคิด สำคัญคือสิ่งที่เราทำ ความสุขเกิดขึ้นที่ใจเรา เรารู้ว่าเราทำอะไร ถ้าเรายังมีโอกาสหายใจ ยังมีโอกาสเดินได้ ร่างกายสมบูรณ์ หายเป็นปกติ ทำไมเราไม่ทำความดีให้แผ่นดิน”
คงไม่สำคัญเลยว่าใครจะมองหรือคิดกับเราแบบไหน หากเราเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นดี หากสิ่งนั้นเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น
ฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าชายคนนี้ยังเป็นคนดูแลอุปกรณ์การแพทย์ หรือเป็นนักดนตรีกลางคืนตามร้านอาหาร อาจใช่ที่คนอื่นจะมองเขาดีกว่าตอนนี้
แต่เขาจะมีความสุขเทียบเท่ากับตอนนี้ไหม
ไวรัสแห่งการให้ ไวรัสแห่งความสุข
แม้ว่าผู้คนบริเวณนั้นจะไม่ค่อยรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของแมนสักเท่าไร
แต่พวกเขาก็มองด้วยความชื่นชมถึงการกระทำของแมนว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม
“เขาดูเป็นคนที่ไม่ได้เห็นแค่ตัวเอง แต่เขายังเผื่อแผ่ให้คนอื่นๆ ด้วย ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรของเขาเลย แต่เขาก็ยังเลือกจะมาทำ ทำเพื่อคนอื่น”
“เห็นเขาเล่นกีต้าร์ตรงนั้นตลอด มีคนบริจาคกัน คิดว่าเขาน่าจะเอาไปบริจาคจริงๆ”
จากที่ฉันได้พบกับแมนและใครหลายคนที่เดินผ่านแถวนั้นเป็นประจำ
ฉันเริ่มสงสัยว่าบางที “การให้” แท้จริงแล้วคงคล้ายกับไวรัสชนิดหนึ่งที่ไม่น่ากลัวเหมือนไวรัสโคโรนา
แต่กลับเป็นไวรัสแห่งความปลื้มปิติ ที่มีความสุขใจเป็นองค์ประกอบ
หากใครได้รับการแพร่ระบาดก็คงติดเชื้อ และส่งต่อไวรัสนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เ
เป็นเหมือนความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ได้เห็นแววตา รอยยิ้มแห่งความสุขที่มาจากการให้ของใครสักคน
และอยากส่งต่อความรู้สึกดีๆ นี้ออกไปเรื่อยๆ
ฉันถามแมนว่าจะไปหาน้องๆ อีกครั้งเมื่อไร
“ขอไปด้วยคนได้ไหมคะ”
ฉันชูมือขึ้นราวกับเด็กกระตือรือร้นอยากได้ขนม เขาหันมายิ้มแล้วตอบว่า
“14 กุมภาพันธ์นี้”
ดูเหมือนฉันจะติดเชื้อ “ไวรัสแห่งการให้” แล้วสินะ
แล้วคุณผู้อ่านล่ะคะ ติดไวรัสการให้แล้วหรือยัง