เรื่องและ ภาพ : เกวลี อุบุคะตะ

แสงแดดความอบอุ่นใจของคนไกลบ้าน

สองปีก่อนในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระกำลังเบ่งบานสวยงามที่สุด เป็นวันที่ฉันเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสามีชาวญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการเป็นแม่บ้าน จากคนเคยทำงานนอกบ้านมากกว่างานบ้าน ตอนนี้ต้องมาเป็นแม่บ้านประจำการ เพื่อเตรียมดูแลลูกน้อย เป็นนักเรียนภาษาญี่ปุ่น เป็นเกษตรกรจูเนียร์ ผู้มีแปลงเกษตรขนาดย่อมอยู่หน้าบ้าน และตั้งความหวังว่าจะใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเองดูสักครั้งที่ประเทศนี้

เนื่องจากไม่ได้เตรียมความพร้อมด้านภาษาและวัฒนธรรมเท่าที่ควร ทำให้มีปัญหาในการสื่อสาร ความเข้าใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ฉันปฏิสัมพันธ์และรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ น้อยมาก จนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองในช่วงแรก ยิ่งกว่านั้นการใช้ชีวิตในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างจากเมืองไทย ทำให้ต้องปรับตัวมาก แต่ที่ยากและท้าทายสุดคือการใช้ชีวิตในช่วง “ฤดูหนาว”

หากเป็นสมัยอยู่เมืองไทย ฉันไม่เคยเห็นประโยชน์ หรือใส่ใจความร้อนที่ธรรมชาติมอบให้ ทั้งยังเบื่อหน่ายแสงอาทิตย์ที่สาดส่องตั้งแต่เช้าจดเย็น เหงื่อไหลไคลย้อยจนน่าหงุดหงิดราวอยู่ในเตาอบ ตอนนั้นเฝ้ารอช่วงปลายปีที่สภาพอากาศจะเย็นลง แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน แต่มันช่างน่าเบิกบานใจ พาให้นึกสนุกกับการนอนกลางเต็นท์บนยอดดอยเพื่อดูดาว หรือเลือกเดินทางไกลมาสัมผัสความหนาวเย็นให้สุดขั้วหัวใจในต่างแดน

ชีวิตในความหนาวเย็น

แต่ใครจะไปรู้ ความหนาวเย็นที่เคยเริงร่าเฝ้าคอย เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกันจริงๆ ในฤดูหนาวแรกของญี่ปุ่นกลับไม่ร่าเริงแบบที่คิดไว้ จริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาสัมผัสอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ต้องใช้ชีวิตตลอดช่วงฤดูหนาวมากกว่า ฉันอยู่กับความหนาวจัดที่ไม่คุ้นชินราว ๔ เดือน ความหนาวเย็นทำให้เมืองที่ฉันอาศัยอยู่ที่ปรกติก็เงียบอยู่แล้ว ยิ่งเงียบมากขึ้นอีก ต้นไม้ที่เคยผลิใบเขียวชอุ่มแห้งแล้งเหลือแต่กิ่งก้าน พืชผักฤดูหนาวมีไม่กี่ชนิดที่พอจะทนอากาศหนาวเย็นได้ บรรยากาศจึงดูเงียบเหงา ไร้ชีวิตชีวา แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยากเผชิญความเย็นในอุณหภูมิเลขตัวเดียวถึงติดลบหากไม่จำเป็น แม้แต่ฉันเองถ้าไม่มีธุระหรืองานอะไรก็ไม่อยากก้าวขาออกจากบ้าน

คนที่มาจากเมืองร้อนและมีสภาพภูมิอากาศคงที่เกือบตลอดปีอย่างฉัน เมื่อต้องเผชิญสภาพอากาศที่แปรปรวนง่าย และใช้ชีวิตท่ามกลางความหนาวเย็นราวอยู่ในห้องแช่แข็ง จึงตกอยู่ในสภาวะ winter blues หรืออาการซึมเศร้า เหงา ไม่กระปรี้กระเปร่า ขาดแรงจูงใจ พออากาศหนาวเย็นมาเยือน ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนที่ชอบเข้าสังคม ออกจะค่อนข้างเก็บตัว และมีความสุขกับการอยู่กับตัวเองอยู่แล้ว แต่อาการซึมเศร้าในช่วงฤดูหนาวอาจรุนแรงขึ้นหากอยู่คนเดียวนานเกินไป ทางออกที่ดีคือทำตัวเองให้อบอุ่น เดินออกไปพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจจะได้มีชีวิตชีวา อาการซึมเศร้าดังกล่าวจะเริ่มขึ้นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูหนาว และมักค่อยๆ จางไปยามเห็นดอกไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิเริ่มผลิบาน

แสงแดด ความอบอุ่น กับวิถีชีวิต

เมื่อต้องจมอยู่กับความเหงาและเศร้าจากความหนาวเย็น ชีวิตและร่างกายต้องปรับตัวเพื่อการดำรงชีพอย่างสุขสบายให้ได้มากขึ้น ฉันเริ่มเข้าใจวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น และใส่ใจกับสภาพอากาศ รวมถึงทำความเข้าใจเรื่องทิศและทางของแสงแดด ซึ่งเป็นอีกบทเรียนที่ฉันต้องเรียนรู้ แสงแดดเริ่มเข้ามาเพิ่มมิติในชีวิตให้เป็นคนหัดช่างสังเกตในเรื่องของธรรมชาติ ฤดูกาล และแสงแดดมากขึ้น

แสงแดดถือเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับความเป็นอยู่ในดินแดนอาทิตย์อุทัย เพราะไม่ใช่แค่พลังงานความร้อนสำหรับตากผ้า ถนอมอาหาร หรือผลิตกระแสไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลักการเลือกบ้านหรือที่อยู่อาศัยด้วย ซึ่งนอกจากทำเลที่ตั้งแล้ว จะต้องดูทิศทางแสงแดด และระยะเวลาที่แสงแดดจะส่องเข้าถึงตัวบ้าน เราจึงมักได้ยินคนญี่ปุ่นพูดถึงการเลือกที่อยู่อาศัยที่ดีว่า “บ้านหลังนี้ดีนะมีแสงแดดส่องเข้าถึงได้ดี” เพราะจะทำให้บ้านดูโปร่ง คงความอบอุ่นในช่วงอากาศเย็น ซึ่งความอบอุ่นนี้ให้ความรู้สึกคลายเหงาไปได้มาก หากบ้านใดอยู่ในทำเลที่แสงแดดส่องไม่ถึง หรือมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า “บ้านนี้อยู่แล้วคงทั้งหนาวและเหงาแย่เลยนะ” แสงแดดจึงเป็นความอบอุ่นที่มีคุณค่ามากกับวิถีชีวิตในช่วงฤดูหนาว

แสงแดดกับความอบอุ่นหัวใจ

วันที่มีแสงแดดเจิดจ้าเป็นสิ่งน่าโหยหาที่สุดยามความหนาวและความเหงามีผลกระทบต่อจิตใจ แสงแดดที่เคยน่าหงุดหงิดและสิ้นเปลืองในความรู้สึก แต่ในช่วงเช้าของฤดูหนาว วันดีๆ มักเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยท้องฟ้าสดใสและแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน ถึงแม้จะหนาวจนไม่อยากลุก แต่แสงแดดก็เปรียบดังกาเฟอีนซึ่งทำให้ตื่นตัวพร้อมรับวันใหม่ และจะเป็นอีกวันที่ร่างกายอบอุ่น กระปรี้กระเปร่า มีความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มแรงจูงใจให้หยิบโน่นจับนี่ลงมือทำได้หลายชิ้นงาน ก่อนที่ดวงอาทิตย์ยามบ่ายจะคล้อยลง ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวเปลี่ยนเป็นความมืดอย่างรวดเร็ว ทำให้ความหนาวเย็นมาเกาะกุมอีกครั้ง

ความอบอุ่นของแสงแดดยังเปิดพื้นที่ที่ส่องสว่างให้เป็นที่รวมตัวของสมาชิกในครอบครัวมาร่วมทำกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงแม่ไก่ไข่ที่เราเลี้ยงแบบกึ่งปล่อย ก็พากันส่งเสียงร้องให้ฉันเปิดประตูกรง เพื่อออกไปสนุกสนานกับการคุ้ยเขี่ยหาหนอน หรือเศษอาหาร และนอนคลุกดินกลิ้งไปมา ทำให้เราเพลิดเพลินกับการนั่งรับแดดและเห็นแม่ไก่อารมณ์ดีที่ออกไข่ให้กินทุกวัน

เช้านี้อากาศดี ท้องฟ้าสีครามใส ถึงเวลาที่ฉันต้องเอาตัวออกจากผ้าห่มผืนหนา ลุกขึ้นมานั่งริมหน้าต่างให้แสงแดดแยงตา จิบชา กาแฟ เตรียมพร้อมสำหรับวันที่ร่างกายอบอุ่น และจิตใจสดใส เริ่มต้นวันดีๆ ในวันที่มีแสงแดดเจิดจ้า…