อตุล กูวานเด (Atul Guwande) ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน เล่าถึงคนไข้ผู้หนึ่งซึ่งมีเลือดออกมากระหว่างเข้ารับการผ่าตัดรักษาริดสีดวงทวารและนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แม้จะห้ามเลือดได้แต่ตับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ไม่กี่วันต่อมาเขามีอาการทรุดหนักจนต้องย้ายเข้าห้องไอซียู เนื้อตัวสั่นเทา ไข้ขึ้นสูง หัวใจเต้นเร็วมาก และระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำ
ผลจากห้องแล็บพบว่าเขามีอาการตับวายและติดเชื้อ นอกจากนั้นถุงปัสสาวะที่ว่างเปล่ายังบ่งชี้ด้วยว่าไตของเขาก็วาย ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาความดันเลือดลดต่ำลง การหายใจแย่ลง และเขาเริ่มไม่รู้สึกตัว เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาทุกระบบรวมทั้งหัวใจกำลังจะหยุดทำงาน
ถึงตอนนี้แพทย์และพยาบาลระดมกำลังช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ ท่อไม่น้อยกว่า ๓ ท่อถูกแทงเข้าไปในร่างกายของเขาทั้งที่คอ ข้อมือ และหน้าอก อุปกรณ์นานาชนิดรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจและเครื่องฟอกไตถูกนำมาใช้อย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือดและรักษาความดันเลือดให้คงที่ รวมทั้งปรับสารต่าง ๆ ในร่างกายเช่นเกลือแร่ โดยเฉพาะโพแทสเซียมให้เป็นปรกติด้วย
ผ่านมาได้ ๑๐ วัน เขามีอาการดีขึ้น ความดันเลือดกลับมาเป็นปรกติ ไข้ลดลง ความต้องการออกซิเจนก็ลดลง แต่พอถึงวันที่ ๑๑ ขณะที่แพทย์เตรียมปลดเครื่องช่วยหายใจ จู่ ๆ เขาก็ไข้ขึ้นสูงอย่างเฉียบพลัน ความดันเลือดต่ำ ออกซิเจนในเลือดลดลง ร่างกายหนาวสั่น
แม้แต่แพทย์ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาติดเชื้อแน่นอนแต่ไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไร เครื่องเอกซเรย์และเครื่องซีทีสแกนก็ตอบไม่ได้ แม้แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะไป ๔ ชนิด ไข้ก็ยังขึ้นสูง มีช่วงหนึ่งหัวใจเขาเต้นระรัว แพทย์ต้องช็อกหัวใจด้วยไฟฟ้าจนกลับมาเต้นเป็นจังหวะปรกติ
คณะพยาบาลใช้เวลาถึง ๒ วันกว่าจะรู้ว่าความผิดปรกติมาจากไหน สันนิษฐานได้ว่าท่อที่ใส่ไปในร่างกายเขาคงมีท่อใดท่อหนึ่งติดเชื้อ จึงมีการใส่ท่อใหม่แล้วเอาท่อเก่าไปเพาะเชื้อในห้องแล็บ หลังจากนั้น ๔๘ ชั่วโมงผลออกมาว่าทุกท่อล้วนติดเชื้อ การติดเชื้ออาจเริ่มต้นที่ท่อใดท่อหนึ่งก่อน อาจเกิดขึ้นตอนใส่ท่อเข้าไป จากนั้นเชื้อก็เข้าสู่กระแสเลือดและลามไปยังท่อที่เหลือ
จากประสบการณ์ของอตุล การติดเชื้อในท่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมากจนถือเป็นเรื่องธรรมดา ในสหรัฐอเมริกามีการศึกษาพบว่า หากอยู่ในห้องไอซียูเกิน ๑๐ วัน ร้อยละ ๔ ของท่อที่ต่อเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยจะมีการติดเชื้อ แม้ตัวเลขจะไม่สูงแต่ก็อาจทำให้ถึงตายได้ถึงร้อยละ ๒๘ นอกจากนั้นยังพบอีกว่าคนไข้ที่อาศัยเครื่องช่วยหายใจเกิน ๑๐ วัน ร้อยละ ๖ จะติดเชื้อที่ปอด ซึ่งทำให้ถึงตายได้ถึงร้อยละ ๔๐-๕๕ แต่คนไข้แต่ละคนไม่ได้อาศัยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น หากยังต้องพึ่งพาอุปกรณ์อีกหลายอย่างซึ่งล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อมองในภาพรวมแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยในห้องไอซียูลงเอยด้วยการป่วยด้วยโรคแทรกซ้อน และหากเกิดขึ้นแล้วโอกาสรอดมีน้อยมาก
การติดเชื้อจนถึงตายนั้นเป็นแค่หนึ่งในบรรดาปัญหานับร้อยนับพันที่เกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยในห้องไอซียู โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าวันหนึ่ง ๆ มีการดูแลรักษาหรือทำหัตถการกับคนไข้นับร้อยครั้ง (มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ระบุว่าคนไข้ในห้องไอซียูแต่ละคนต้องการการทำหัตถการโดยเฉลี่ย ๑๗๘ ครั้งต่อวัน มีตั้งแต่การให้ยาไปจนถึงการดูดเสมหะ) แต่ละครั้งก็มีความเสี่ยงทั้งนั้นหากมีอะไรผิดพลาด
ด้วยเหตุนี้การรักษาชีวิตผู้ป่วยในห้องไอซียูจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ยิ่งมีโรคใหม่ ๆ เกิดขึ้นขณะที่เทคโนโลยีก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ย่อมทำให้การเยียวยารักษาคนไข้ในห้องไอซียูซับซ้อนตามมาด้วย (อย่าลืมว่า ๑๗๘ ครั้งเป็นตัวเลขเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ปัจจุบันอาจเพิ่มกว่า ๒๐๐ ครั้งแล้วก็ได้) เราจะทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับความซับซ้อนอย่างนี้ สำหรับการแพทย์สมัยใหม่ วิธีการที่นิยมก็คือการเน้นความชำนาญเฉพาะทาง ด้วยเหตุนี้แพทย์เฉพาะทางจึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการรักษาผู้ป่วยในภาวะวิกฤตในห้องไอซียู
อย่างไรก็ตาม อตุลชี้ว่าทุกวันนี้ความซับซ้อนในการรักษาเพิ่มขึ้นมากจนถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดประจำวันได้ แม้จะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อภิผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (superspecialist) ก็ตาม เพราะยิ่งมีขั้นตอนซับซ้อนมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดปัญหาก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วยจนเกินความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะรับมือได้
กรณีผู้ป่วยที่เล่ามาข้างต้นเป็นตัวอย่างของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลากับคนไข้ทุกคนที่อยู่ในห้องไอซียูนานหลายวัน จะว่าไปแล้วการที่ท่อติดเชื้อนั้นไม่ใช่ปัญหาซับซ้อนพิสดารเลยเมื่อเทียบกับปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดได้กับผู้ป่วยหนัก แต่กว่าจะรู้ว่ามันคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเกือบตายก็ใช้เวลานาน ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อรู้แล้วจะป้องกันมิให้ปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ความพยายามจะแก้ปัญหานี้มีมานานแล้ว รวมทั้งการใช้วิทยาการล้ำยุคเพื่อจัดการกับเชื้อโรคที่แปดเปื้อนและพร้อมจู่โจมร่างกาย แต่ก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้อย่างได้ผล จวบจนเมื่อแพทย์เฉพาะทางผู้หนึ่งได้เสนอวิธีที่ง่ายมาก โดยใช้กระดาษ ๑ แผ่นและปากกา ๑ ด้ามเท่านั้น
ปีเตอร์ โปรโนวอสต์ (Peter Pronovost) เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้ป่วยวิกฤตในโรงพยาบาลจอห์นส์ฮอปกินส์ เขาได้ทำเช็กลิสต์หรือรายการขั้นตอนที่แพทย์จะต้องทำทั้งก่อนและหลังใส่ท่อให้ผู้ป่วย มีทั้งหมด ๕ ขั้นตอน คือ ๑.ล้างมือด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ ๒.ทำความสะอาดผิวหนังผู้ป่วยด้วยยาฆ่าเชื้อคลอร์เฮกซิดีน (chlorhexidine) ๓.เอาผ้าปลอดเชื้อคลุมร่างผู้ป่วยบริเวณที่จะทำหัตถการ ๔.สวมหน้ากาก หมวก เสื้อกาวน์ และถุงมือปลอดเชื้อ ๕.เมื่อใส่ท่อแล้วให้ทำแผลที่เกิดจากการใส่ท่อด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ สิ่งที่แพทย์ต้องทำคือตรวจสอบกับเช็กลิสต์นี้เพื่อให้แน่ใจว่าได้ทำทุกขั้นตอนจนครบ
วิธีนี้ง่ายมาก ไม่ต้องใช้สมองเลยก็ทำได้ อีกทั้งเป็นวิธีการที่รู้และสอนกันมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นการนำเสนอวิธีนี้ให้แพทย์ทำจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องปัญญาอ่อน แต่โปรโนวอสต์ยืนยันที่จะให้ทดลองใช้วิธีนี้ เขาได้ขอให้พยาบาลในห้องไอซียูสังเกตแพทย์ว่าได้ทำตามขั้นตอนดังกล่าวหรือไม่ หลังจากสังเกตอยู่ ๑ เดือนก็พบว่ามีผู้ป่วยถึง ๑ ใน ๓ ที่แพทย์ได้ข้ามขั้นตอนอย่างน้อย ๑ ขั้นตอน
เดือนต่อมาเขาได้ขอให้ผู้บริหารโรงพยาบาลออกคำสั่งอนุญาตให้พยาบาลท้วงแพทย์ได้หากพบว่าแพทย์ได้ข้ามขั้นตอนในเช็กลิสต์นั้น อีกทั้งพยาบาลยังมีหน้าที่ถามแพทย์ด้วยว่ามีท่อใดที่ควรถอดเพื่อไม่ให้ท่อถูกคาไว้นานเกินไป นี้เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะพยาบาลมักไม่กล้าเตือนแพทย์ตรง ๆ อย่างไรก็ตามเขาบอกพยาบาลไปว่า หากแพทย์ไม่ฟังพยาบาล พยาบาลมีสิทธิ์ขอให้ฝ่ายบริหารเข้ามาแทรกแซงได้
โปรโนวอสต์และคณะได้ติดตามผลเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหนือความคาดหมายจนแม้แต่เขาก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง นั่นคือ อัตราการติดเชื้อจากท่อลดลงจากร้อยละ ๑๑ จนเหลือ ๐ ดังนั้นจึงทดลองทำอีก ๑๕ เดือน ปรากฏว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อจากท่อแค่ ๒ รายเท่านั้น จากการคำนวณของเขา การทำเช็กลิสต์ช่วยป้องกันมิให้ผู้ป่วยติดเชื้อ ๔๓ ราย ป้องกันมิให้มีคนตาย ๘ คน และประหยัดเงินได้ถึง ๒ ล้านดอลลาร์
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้เขาทำเช็กลิสต์อย่างอื่นอีก เช่นทำเช็กลิสต์เพื่อให้แน่ใจว่าพยาบาลไปตรวจคนไข้ที่มีปัญหาความเจ็บปวดทุก ๔ ชั่วโมงและให้ยาระงับปวดตรงเวลา วิธีนี้ช่วยให้คนไข้ที่ไม่ได้รับการบรรเทาความปวดลดลงจากร้อยละ ๔๑ เหลือร้อยละ ๓ นอกจากนั้นเขายังทำเช็กลิสต์สำหรับผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้แน่ใจว่าเตียงคนไข้เอียงขึ้นอย่างน้อย ๓๐ องศา ช่วยมิให้เสลด น้ำลาย หรือเศษอาหารเข้าไปในหลอดลมเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ปอด รวมทั้งให้ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพื่อป้องกันโรคแผลในกระเพาะ ปรากฏว่าคนไข้ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องลดลงจากร้อยละ ๗๐ เหลือร้อยละ ๔ การป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อลดลงถึง ๑ ใน ๔ คนตายลดลง ๒๑ คนเมื่อเทียบกับปีก่อน
การวิจัยพบว่าเพียงแค่แพทย์และพยาบาลในห้องไอซียูทำเช็กลิสต์ของตนว่าควรทำอะไรบ้างในแต่ละวัน การดูแลคนไข้จะมีคุณภาพดีขึ้นมาก ถึงขั้นว่าเพียงชั่วไม่กี่อาทิตย์ ระยะเวลาที่คนไข้อยู่ในห้องไอซียูลดลงถึงครึ่งหนึ่ง
ต่อมาเขาได้รับเชิญให้นำวิธีการนี้ไปใช้กับห้องไอซียูในรัฐมิชิแกน เพียง ๓ เดือนแรก การติดเชื้อในห้องไอซียูของทั้งรัฐลดลงร้อยละ ๖๖ ห้องไอซียูหลายแห่งซึ่งเคยมีการติดเชื้อถึง ๑ ใน ๔ ลดลงเหลือศูนย์ เมื่อทดลองครบ ๑๘ เดือน พบว่านอกจากจะป้องกันมิให้มีคนเสียชีวิตถึง ๑,๕๐๐ คนแล้ว ยังประหยัดเงินถึง ๑๗๕ ล้านดอลลาร์ ทั้งหมดนี้เพียงเพราะเช็กลิสต์ธรรมดา ๆ เท่านั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลต่าง ๆ มาเป็นเวลานาน อย่างการติดเชื้อบริเวณท่อที่ใส่เข้าไปในร่างกายนั้นจะแก้ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ แบบนี้ และเมื่อนำวิธีเช็กลิสต์ไปใช้กับการแก้ปัญหาอื่นที่ยืดเยื้อเรื้อรังมานาน ก็ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและเงินทองไปได้มากมายเช่นกัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ วิธีการดังกล่าวมักถูกต่อต้านจากแพทย์และพยาบาล เหตุผลประการหนึ่งก็คือมันง่ายเกินไป บางคนถึงกับบอกว่ามันเป็นวิธีการที่ “งี่เง่า” เพราะสิ่งที่ระบุให้ทำในเช็กลิสต์นั้นเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว แต่เมื่อติดตามสังเกตกันจริง ๆ กลับพบว่าวิธีที่ว่าง่ายเหล่านี้กลับถูกละเลยหรือมองข้ามไป (เมื่อโปรโนวอสต์นำวิธีการนี้ไปใช้กับโรงพยาบาลในรัฐมิชิแกน ปัญหาหนึ่งที่พบคือมีห้องไอซียูไม่ถึง ๑ ใน ๓ ที่มีสบู่ฆ่าเชื้อคลอร์เฮกซิดีน)
สิ่งง่าย ๆ มักถูกมองข้ามทั้ง ๆ ที่ก่อผลดีมากมาย ก็เพราะผู้คนมองว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอก หาไม่ก็ดูแคลนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องเล็กน้อยนี้แหละที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๗๐ ปีก่อนก็เคยมีเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้น
ช่วงคริสต์ทศวรรษ ๑๘๔๐ โรงพยาบาลชั้นนำในยุโรปประสบปัญหาอย่างหนึ่งที่แก้ไม่ตก นั่นคือแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรจำนวนไม่น้อยตายด้วยโรคชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่าไข้หลังคลอด (puerperal fever) หญิงที่มาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลนั้น ทุกคนไม่มีความเจ็บป่วยมาก่อน แต่หลังคลอดบุตรได้ไม่นานก็เสียชีวิต ในโรงพยาบาลบางแห่งการอุบัติของโรคนี้สูงมาก กล่าวคือ ๑ ใน ๖ ของหญิงที่มาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลตายด้วยโรคนี้
ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร มีการสันนิษฐานต่าง ๆ นานา เช่น อากาศไม่ดี อาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เครื่องแต่งกายของผู้หญิงรัดแน่นเกินไป แต่มีแพทย์หนุ่มผู้หนึ่งเห็นต่างออกไป อิกนาซ เซมเมลไวส์ (Ignaz Semmelweis) สังเกตว่า แม่ซึ่งคลอดที่บ้านนั้นมีโอกาสที่จะตายด้วยโรคนี้น้อยกว่าที่โรงพยาบาลของเขาในกรุงเวียนนาถึง ๖๐ เท่า ใช่แต่เท่านั้นแม่ซึ่งคลอดด้วยหมอตำแยในโรงพยาบาลก็ตายด้วยโรคนี้แค่ ๑ ใน ๓ ของแม่ที่ตายจากการทำคลอดด้วยแพทย์ในโรงพยาบาลเดียวกัน
วันหนึ่งเซมเมลไวส์ได้ข่าวว่าแพทย์ผู้หนึ่งถึงแก่กรรมกะทันหันหลังจากนำนักศึกษาแพทย์ผ่าศพได้ไม่กี่วันระหว่างที่ผ่าศพ มีดได้บาดมือเขา หลังจากนั้นเขาก็ป่วย อาการคล้ายกับแม่ที่ตายหลังคลอดคือมีไข้สูง และเมื่อชันสูตรศพก็พบว่ามีการอักเสบที่เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มหัวใจ และเยื่อบุช่องท้อง
กรณีดังกล่าวทำให้เขาพบคำตอบว่าแท้จริงแล้วไข้หลังคลอดนี้มาจากแพทย์นั่นเอง กล่าวคือสมัยนั้นเมื่อแพทย์ผ่าศพเสร็จมักจะตรงเข้าห้องผู้ป่วยเลย รวมทั้งทำคลอดโดยไม่ได้ล้างมือให้สะอาด (อย่าลืมว่าตอนนั้นเป็นช่วงก่อนที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ จะพบว่าโรคติดต่อเกิดจากแบคทีเรีย) ดังนั้นเชื้อโรคจากศพ โดยเฉพาะศพที่ตายด้วยไข้หลังคลอดจึงติดมือแพทย์แล้วต่อไปยังหญิงที่มาคลอดบุตร นี้คือเหตุผลว่าทำไมหญิงที่ทำคลอดโดยหมอตำแยไม่ว่าที่บ้านหรือที่โรงพยาบาลจึงตายด้วยโรคนี้น้อยมาก
การค้นพบดังกล่าวทำให้เซมเมลไวส์เสนอให้แพทย์ทุกคนล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังผ่าศพและก่อนทำคลอด ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานอัตราการตายของผู้หญิงหลังคลอดในโรงพยาบาลของเขาลดเหลือไม่ถึงร้อยละ ๑ ในเวลา ๑๒ เดือนเขาช่วยชีวิตแม่ได้ถึง ๓๐๐ คนและทารก ๒๕๐ คน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซมเมลไวส์ถูกต่อต้านมากเพียงใดจากแพทย์ เพราะการค้นพบของเขาชี้ชัดว่าสาเหตุการตายของแม่และเด็กนั้นเกิดจากแพทย์ มิใช่จากอะไรอื่น อีกทั้งยังเสนอให้ปรับพฤติกรรมของแพทย์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแพทย์ก็เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น ๆ ที่มักเรียกร้องให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่า
ไม่มีใครนึกว่าปัญหาร้ายแรงที่ยืดเยื้อเรื้อรังนั้นจะแก้ได้อย่างชะงัดด้วยวิธีง่าย ๆ เช่นนี้ นั่นก็เพราะผู้คนมักคิดซับซ้อน ยิ่งปัญหาร้ายแรงใหญ่โตมากเท่าใดก็ยิ่งต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อน ทุ่มทุนด้วยทรัพยากรมากมาย ซึ่งมักหนีไม่พ้นการใช้เทคโนโลยีล้ำยุคพิสดารและราคาแพง แต่บ่อยครั้งเพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็อาจแก้ปัญหาสำคัญได้มากมาย อตุลชี้ว่ามาถึงวันนี้วิธีการของโปรโนวอสต์ซึ่งกระตุ้นให้แพทย์หันมาใส่ใจกับการทำสิ่งง่าย ๆ ขั้นพื้นฐานอย่างครบถ้วนได้ช่วยชีวิตผู้คนมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองคนใดจะทำได้ แต่ถึงกระนั้นความสำเร็จของเขากลับได้รับความสนใจจากวงการแพทย์หรือสื่อมวลชนน้อยกว่าความสำเร็จของนักวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีแปลกใหม่
ทำนองเดียวกับการช่วยชีวิตคนจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เพียงแค่การออกกฎหมายและรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ใช้หมวกกันน็อกเท่านั้นก็อาจลดจำนวนคนตายไปได้มาก นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย หัวหน้าศูนย์อุบัติเหตุและวิกฤตบำบัด โรงพยาบาลขอนแก่น เคยกล่าวว่า “ผมผ่าตัดไปตลอดชีวิต ยังช่วยชีวิตคนไม่ได้เท่ากับที่รณรงค์ (ให้สวมหมวกกันน็อก) ๖ เดือนเลย” แต่วิธีง่าย ๆ เหล่านี้ย่อมไม่มีวันได้รับความสนใจมากเท่ากับความสำเร็จในการผ่าสมองของผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุอย่างหนักจนรอดตายได้
ว่ากันอย่างถึงที่สุดแล้วสาเหตุที่สิ่งง่าย ๆ กลับเกิดขึ้นได้ยาก ก็เพราะเราถูกฝึกมาให้คิดและทำอย่างซับซ้อน จนสิ่งง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องยากขึ้นมา ระหว่างการทำกับไม่ทำ ใคร ๆ ก็รู้ว่าการไม่ทำนั้นง่ายกว่า แต่ในชีวิตจริงผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่อาจอยู่นิ่ง ๆ หรืออยู่เฉย ๆ ได้ (แม้ไม่ต้องทำมาหากินเลยก็ตาม) ต่างดิ้นรนทำอะไรต่ออะไรมากมาย ทั้ง ๆ ที่ทำแล้วก็ใช่ว่าจะมีความสุข กลับกลายเป็นการหาเรื่องใส่ตัวด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้ผู้คนจึงกลัวการนั่งสมาธิเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรเพียงแต่นั่งนิ่ง ๆ และดูลมหายใจเฉย ๆ เท่านั้น แม้แต่คนที่พาตนมา
นั่งสมาธิได้แล้วก็ตาม ก็ยังมีปัญหาอีกเพราะพยายามเข้าไปจัดการกับความคิดปรุงแต่งไม่หยุดหย่อน แทนที่จะดูมันเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่การดูเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรกับมันนั้นเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย แต่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้และไม่ยอมทำเพราะถูกฝึกมาให้ทำอะไรต่ออะไรมากมายจนอยู่เฉย ๆ หรือทำใจเฉย ๆ ไม่ได้ จะยอมอยู่เฉยได้ก็ต่อเมื่อมองว่านั่นเป็น “การกระทำ” อย่างหนึ่ง
เมื่อขึ้นสูงแล้วจะกลับคืนสู่สามัญย่อมทำได้ยาก แต่สามัญธรรมดานี้แหละที่สำคัญอย่างยิ่ง ปัญหาของชีวิตและโลกมักเกิดขึ้นเพราะเรารังเกียจสิ่งสามัญ ง่าย ๆ พื้น ๆ และเมื่อเห็นปัญหาแล้วมักแสวงหาทางออกด้วยวิธีการที่ซับซ้อน ทั้ง ๆ ที่วิธีการง่าย ๆ ก็มีอยู่
มีนิทานเรื่องหนึ่งค่อนข้างแพร่หลาย เป็นเรื่องของนักธุรกิจที่เห็นชายชรานั่งเล่นอยู่บนสะพานปลายามสาย ชายชราเพิ่งเสร็จจากการหาปลา นักธุรกิจแปลกใจที่ชายชราไม่ออกไปหาปลาอีก ชายชราถามว่าเพื่ออะไร “เพื่อจะได้มีเงินมากขึ้นไงล่ะ” ชายชราถามว่ามีเงินมาก ๆ เพื่ออะไร “เพื่อจะได้ซื้อเรือลำใหญ่ขึ้น” ชายชราถามต่อว่ามีเรือลำใหญ่เพื่ออะไร “ลุงจะได้หาปลาได้มากขึ้น จะได้มีเงินซื้อเรือหลายๆ ลำ” ชายชราถามอีกว่า ทำเช่นนั้นเพื่ออะไร “เพื่อจะได้มีเงินมากขึ้น ต่อไปลุงจะได้ไม่ต้องทำงาน มีเวลาพักผ่อน” ชายชราจึงตอบว่า “ก็ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้แล้วไงพ่อหนุ่ม”
เส้นทางที่ลัดตรงนั้นมีอยู่ แต่เป็นเพราะเราชอบหนทางที่ซับซ้อน กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็เหนื่อย หาไม่ก็หลงทางไปเลย