ดีเมนเชีย (Dementia) หมายถึงภาวะสมองเสื่อม มักเกิดกับผู้สูงอายุ บ้างเกิดขึ้นเองตามวัยเพราะสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีแก่มีเสื่อมไปเป็นธรรมดา บ้างเกิดขึ้นเพราะเป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) บ้างเกิดขึ้นเพราะเป็นโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) และบ้างเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ในสมองอุดตันเนื่องจากความดันโลหิตสูงและ/หรือเบาหวาน มีส่วนน้อยที่เกิดกับคนวัยกลางคน
เป็นที่น่าสังเกตว่า คนส่วนใหญ่รู้จักคำว่า “อัลไซเมอร์” มากกว่าคำว่า “ดีเมนเชีย” และมักใช้คำว่าอัลไซเมอร์เมื่อต้องการพูดถึงสมองเสื่อมหรือความจำเสื่อม มากกว่าที่จะใช้คำว่าดีเมนเชีย มองในแง่หนึ่งอาจจะเป็นเพราะการแพทย์ไม่เคยสื่อสารสาธารณะเรื่องดีเมนเชียให้สังคมรู้จัก มองอีกมุมหนึ่งอาจจะเป็นเพราะธุรกิจสุขภาพและธุรกิจยาข้ามชาติต้องการสื่อสารเรื่องอัลไซเมอร์ให้ประชาชนรู้จักกันมากๆ เวลามีอาการสมองเสื่อมหรือความจำเสื่อมจะได้รู้จักบอกแพทย์และขอยารักษาโรคอัลไซเมอร์กิน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมองเสื่อมหรือความจำเสื่อมมิได้เกิดจากโรคอัลไซเมอร์แต่เพียงโรคเดียว ยังสามารถเกิดเพราะสังขารเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้ามัวแต่กินยารักษาโรคอัลไซเมอร์เม็ดละ ๑๐๐ บาทก็จะผิดทิศผิดทางรักษาไม่ตรงสาเหตุ ทั้งนี้ยังไม่นับว่ายาที่โฆษณาว่ารักษาโรคอัลไซเมอร์ได้นั้นบางตัวโฆษณาเกินจริงและบางตัวมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก
ในยุคสมัยหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่สรุปว่าภาวะดีเมนเชียหรือสมองเสื่อมที่เกิดกับคนไทยนั้นส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากโรคหลอดเลือดสมอง เพราะคนไทยจำนวนมากยังได้รับการรักษาโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานอย่างไม่เหมาะสม แต่ระยะหลังๆ ทิศทางของงานวิจัยเปลี่ยนไป งานวิจัยในระยะหลังมักได้ข้อสรุปว่าคนไทยเป็นโรคอัลไซเมอร์กันมาก พร้อมๆ กับข้อสังเกตว่าธุรกิจยารักษาโรคอัลไซเมอร์ก็ขยายตัวมากด้วย
ธุรกิจสุขภาพและธุรกิจโรคอัลไซเมอร์ทำงานได้ผลดีเช่นเดียวกับธุรกิจขายสินค้าอื่นๆ เพราะในปัจจุบันเวลาใครลืมอะไรง่ายขึ้นก็มักจะมาพบแพทย์ (รวมทั้งผม) เร็วขึ้น เกือบทั้งหมดมาพร้อมคำถามว่าตนเองเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือยัง ทั้งที่อายุเพิ่งจะ ๓๐ กว่าหรือไม่เกิน ๕๐ ปีเท่านั้นเอง กรณีเช่นนี้ร้อยทั้งร้อยมิได้เป็นดีเมนเชียหรือสมองเสื่อม แต่เกิดจากทำงานมาก พักผ่อนน้อย ใจลอยบ่อย ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ เผลอวางของไว้แล้วลืมว่าวางตรงไหน รับนัดใครแล้วไม่รีบจดก็ลืม ที่สำคัญคือนึกว่าตนเองยังหนุ่มยังสาว มีความสามารถเท่าแต่ก่อน หารู้ไม่ว่าที่จริงเริ่มแก่แล้ว
ผู้ป่วยดีเมนเชียหรือสมองเสื่อมแท้ๆ มักไม่มีวาสนามาพบแพทย์ด้วยตนเอง เพราะตนเองก็ไม่รู้ว่ากำลังเริ่มสมองเสื่อมหรือความจำเสื่อมไปเสียแล้ว โดยทั่วไปอาการของดีเมนเชียมักเกิดขึ้นช้าๆ เงียบๆ โดยไม่รู้ตัว บ้างมีอาการแล้วหายเอง พอหายสักพักก็เป็นอีก สลับกันไปมาเช่นนี้ระยะหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ความจำเสื่อมไปมากแล้ว ขี้หลงขี้ลืมอย่างมากและชัดเจนเสียจนลูกหลานเห็นผิดสังเกตจึงพามาพบแพทย์
ลูกหลานมักพบว่าผู้สูงอายุนั่งนิ่งๆ หรือยืนนิ่งๆ เป็นเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อเข้าไปชวนพูดคุยก็มักจะใช้เวลาตั้งสติพักใหญ่กว่าจะตอบคำถามหรือมีสติกลับคืนมา อาการนี้เป็นๆ หายๆ มิใช่ว่าเป็นแล้วเป็นเลย บางบ้านลูกหลานพบว่าผู้สูงอายุพูดถึงคนเก่าคนแก่ที่ตายไปแล้วบ่อยขึ้น และบางครั้งก็พูดเสมือนหนึ่งว่าคนที่ตายไปแล้วเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ บางบ้านลูกหลานพบว่าผู้สูงอายุจำชื่อของพวกตนไม่ได้ และเช่นเดียวกันคืออาการก็เป็นๆ หายๆ มิใช่เป็นแล้วเป็นเลย ดังนั้นกว่าที่ลูกหลานจะมั่นใจว่าอาการนั่งนิ่งๆ ยืนนิ่งๆ พูดถึงคนตายแล้ว หรือจำลูกหลานไม่ได้ เป็นเรื่องจริง มิใช่คิดไปเอง อาการก็มักจะแสดงมากพอสมควรแล้ว
บางทีลูกหลานพบผู้สูงอายุเดินออกนอกบ้านไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย เช่นนี้แสดงว่าผู้สูงอายุมีอาการหลงลืมมาแล้วระยะหนึ่ง แล้วจึงมีอาการสับสน (confusion)แทรกซ้อน ผู้ป่วยมักไม่รู้เวลา ไม่รู้สถานที่ ประกอบกับจำลูกหลานไม่ค่อยได้ จึงเดินออกจากบ้านของตนไป
อาการสับสนที่แทรกซ้อนขึ้นมามีสาเหตุจากสมองสูญเสียการทำงานชั่วคราว ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ แต่บางครั้งก็พบว่าเกิดจากผู้สูงอายุนอนไม่หลับติดๆ กันหลายคืน หรือมีไข้
บางทีลูกหลานก็มารายงานว่าผู้สูงอายุมีอาการหวาดระแวง (paranoid) เช่น ระแวงว่ามีขโมยมาขึ้นบ้าน จึงเดินไปปิดประตูล็อกหน้าต่างนั่นนี่ตลอดเวลา มีบ้างระแวงว่าลูกหลานจะขโมยเงินของตัวเองไปหรือสมรู้ร่วมคิดกันวางแผนจะฮุบเงินในธนาคารไป เป็นต้น
ขณะที่อาการสับสนมักเกิดจากปัจจัยทางชีววิทยาของสมอง แต่อาการหวาดระแวงมักอธิบายด้วยสาเหตุทางใจมากกว่า กล่าวคือ เมื่อผู้สูงอายุสูญเสียความจำมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประหวั่นพรั่นพรึงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตน ลองนึกถึงว่าหากเป็นเราที่ความทรงจำเริ่มขาดหายไปเป็นช่วงๆ จะน่าหวาดกลัวเพียงใด เมื่อความกลัวถึงขีดหนึ่ง กลไกทางจิตจะเริ่มเล่นตลกหาอะไรมาเติมส่วนที่ขาดหายไป เช่น เมื่อหาเงินไม่พบหรือหาสมุดบัญชีธนาคารไม่พบเพราะตนเองความจำเสื่อม แต่จิตใจไม่ยอมรับว่าตนกำลังมีอาการความจำเสื่อม จึงสร้างเรื่องขึ้นมาอธิบายว่าเงินหรือสมุดบัญชีที่หายไปนั้นถูกลูกหลานคิดร้ายขโมยเอาไป เป็นต้น
เมื่อเราพบผู้สูงอายุในบ้านความจำเสื่อม ขอให้รู้ว่ารักษาไม่ได้ ไม่ว่าจะเสื่อมจากสังขารหรือเสื่อมจากโรคอะไรก็ล้วนรักษาไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องฝันหวานว่าจะมีใครที่มียาวิเศษมาช่วยได้ ยาต่างประเทศราคาแพงก็ไม่ได้ ยาสมุนไพรก็ไม่ได้ อาหารเสริมก็ไม่ได้ ถ้าต้องการเสียเงินซื้อยาเหล่านี้ให้เก็บเงินไว้ไปจ้างพยาบาลหรือผู้บริบาลมาช่วยดูแลผู้สูงอายุของเราจะดีกว่า เมื่อผู้สูงอายุมีอาการดีเมนเชียหรือสมองเสื่อมจนถึงที่สุดมักจะกลั้นปัสสาวะและ/หรืออุจจาระไม่ได้ ถึงตอนนั้นลูกหลานทุกคนจะพบความทุกข์แสนสาหัสเพราะท่านถ่ายเรี่ยราดแล้วเอามาละเลงตัวหรือกำแพงบ้านเล่นอีกต่างหาก ลำพังกำลังของพวกเราแทบเอาไม่อยู่ ต้องจ้างพยาบาลหรือผู้บริบาลเข้ามาช่วยดูแล
ยาที่แพทย์สามารถให้เพื่อช่วยได้บ้างคือยาที่ใช้ลดอาการกระวนกระวายอยู่ไม่สุข (ซึ่งมิใช่ยาคลายเครียด) และยาที่ช่วยให้นอนหลับ (ซึ่งมิใช่ยานอนหลับ) ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้มีอาการสับสนแทรกซ้อนอันจะทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิมมาก แต่หากมีอาการสับสนไปเสียแล้วก็ให้ยารักษาอาการสับสนนั้นได้ หรือหากมีอาการหวาดระแวงไปเสียแล้วก็สามารถให้ยารักษาอาการหวาดระแวงได้เช่นกันแต่ยารักษาเพื่อให้ความจำกลับคืนมานั้นไม่มี
สำคัญกว่าการใช้ยาคือการจัดระบบบ้าน บ้านที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุสมองเสื่อมคือบ้านที่เรียบง่ายไม่รกรุงรัง ของใช้ส่วนตัวของท่านให้วางไว้ในที่ที่เห็นง่ายหยิบใช้ง่าย ควรวางปฏิทินตัวโตหรือนาฬิกาเรือนใหญ่ให้ท่านรู้เวลาอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนคืออาการสับสนหรืออาการหวาดระแวงนั่นเอง
อย่างที่บอกไว้ ถ้ามีเงินมากพอให้เอาเงินนั้นมาจ้างคนช่วยดูแลหรือปรับปรุงห้องน้ำห้องส้วมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ อย่าเสียเงินไปกับยาราคาแพงที่ประโยชน์ไม่ชัดเจน
สำคัญกว่าระบบบ้านคือระบบครอบครัว วันนี้พ่อแม่ของเราสมองเสื่อมและปัสสาวะอุจจาระเรี่ยราดแล้วจะทำอย่างไร ดีที่สุดคือลูกๆ ต้องช่วยกัน ความกตัญญูอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องอาศัยการจัดการอย่างเป็นระบบด้วยทั้งเรื่องการเงินและเวลา ลูกคนไหนช่วยออกเงิน ลูกคนไหนช่วยออกแรง กำหนดสัดส่วนของแรงงานและกำลังทรัพย์ให้ยุติธรรมกับทุกฝ่าย
พ่อแม่เลี้ยงเราทุกคนได้ เราทุกคนควรเลี้ยงพ่อแม่ได้ด้วย ภาระการดูแลผู้สูงอายุที่สมองเสื่อมไม่ควรตกอยู่กับลูกสาวที่ไม่แต่งงานเท่านั้น