ศาสตราจารย์แฟรงก์ เฟนเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ให้ความเห็นกับหนังสือพิมพ์ The Australian เมื่อไม่นานมานี้ว่า
“มนุษย์โฮโมซาเปียนส์อาจจะสูญพันธุ์จากโลกภายใน ๑๐๐ ปีนับจากนี้”
ปัจจุบัน ศาสตราจารย์แฟรงก์มีอายุ ๙๕ ปี ในอดีตเขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการหาวิธีกำจัดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคไข้ทรพิษจนสูญพันธุ์ เคยได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจำนวนมาก รายงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาได้รับการตีพิมพ์นับร้อยชิ้น และเป็นผู้เขียนหรือร่วมเขียนหนังสืออีก ๒๒ เล่ม
ศาสตราจารย์แฟรงก์มีความเห็นว่า ปัญหาที่แท้จริงเกิดจากการเพิ่มจำนวนประชากรมนุษย์อย่างรวดเร็วและรุนแรง การบริโภคที่ไร้การควบคุม รวมทั้งความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ล้มเหลว
ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า ภายในปีนี้ประชากรมนุษย์จะเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนมากกว่า ๖.๙ พันล้านคน
“ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรงดังที่เราเห็นอยู่ขณะนี้” เขากล่าว “เผ่าพันธุ์มนุษย์มีแนวโน้มจะสาบสูญไปจากโลก เช่นเดียวกับสัตว์และพืชหลายชนิดที่สูญพันธุ์ไปก่อนหน้า”
ศ.แฟรงก์ยังกล่าวอีกว่า “หรือเมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้นถึง ๗, ๘ หรือ ๙ พันล้านคน จะเกิดสงครามแย่งชิงอาหารบ่อยครั้งยิ่งขึ้น คนรุ่นหลานของพวกเราในวันนี้จะดำรงชีวิตอยู่ในโลกอย่างยากลำบาก”
ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์อีกรายที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ คือ สตีเฟน บอยเดน ซึ่งเคยร่วมงานและเป็นเพื่อนที่รู้จัก ศ.แฟรงก์มาเป็นเวลานาน บอกว่า
“แฟรงก์อาจจะพูดถูก แต่พวกเรา (นักวิทยาศาสตร์)บางคนยังหลงเหลือความหวังอยู่ว่า สักวันผู้คนอาจตระหนักถึงสถานการณ์และผลที่จะตามมา จนเกิดการปฏิวัติครั้งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศ”
สตีเฟนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ภายหลังหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับมนุษยนิเวศวิทยา มีความเห็นว่า
“นี่คือสิ่งที่แฟรงก์กับผมเห็นต่างกัน เราทั้งคู่ต่างตระหนักถึงสถานการณ์เลวร้าย แต่ผมไม่คิดว่ามันสายเกินไป แม้ยังเหลือความหวังเพียงริบหรี่แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับการทำงานเพื่อแก้ปัญหา ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เรามีอยู่”
