ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ Sky Observer Group
ภาพ Orion Nebula หรือ M-42 เป็นกลุ่มก๊าซที่เรืองแสงสว่างเพราะถูกกระตุ้นโดยตรงจากพลังงานของดาวฤกษ์ที่ร้อนจัดที่ใจกลางกลุ่มก๊าซนี้ เนบิวลาสีแดงอมชมพูที่ดูคล้ายเครื่องหมายจุลภาค หรือ comma ( , ) มีชื่อว่า M-43 ก็จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Orion Nebula ด้วย ส่วนเนบิวลาสีฟ้าทางด้านขวาของภาพมีชื่อว่า NGC-1973-75-77 เป็นกลุ่มก๊าซที่เรืองแสงโดยการสะท้อนและกระจายแสงของดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป ที่เรียกกันว่า Reflection Nebula (ภาพ : ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์) |
บนโลกของเราประกอบไปด้วยเมืองทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ หากเทียบไปแล้วในจักรวาลก็มีเมืองขนาดเล็กและใหญ่อยู่มากมายเช่นเดียวกัน เมืองแห่งดวงดาวนี้เราเรียกว่า “กาแล็กซี” ในจักรวาลแห่งนี้มีกาแล็กซีหรือเมืองแห่งดวงดาวปรากฏอยู่มากมายในจำนวนที่ไม่ใช่แค่หลักล้านดังเช่นจำนวนเมืองบนโลก แต่มีจำนวนนับแสนล้านกาแล็กซีล่องลอยอยู่ทั่วไปในจักรวาลที่มีขนาดใหญ่มหึมาจนยากที่จะจินตนาการได้ ในกาแล็กซีแต่ละแห่งประกอบไปด้วยดวงดาวจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน นอกจากดวงดาวแล้ว ในกาแล็กซียังประกอบไปด้วยกลุ่มก๊าซและฝุ่นปะปนอยู่มากมายอีกด้วย
ระบบสุริยะของเราอาศัยอยู่ในเมืองแห่งดวงดาวที่แสนธรรมดาแห่งหนึ่ง เราเรียกชื่อเมืองแห่งดวงดาวของเราว่า “กาแล็กซีทางช้างเผือก” หรือ “Milkyway Galaxy” กาแล็กซีทางช้างเผือกมีรูปร่างคล้ายแผ่นจานแบน ๆ ขนาดใหญ่ เมื่อมองตามแนวตั้งฉากกับแผ่นจานจะเห็นว่ามันมีลักษณะคล้ายกับกังหันหรือน้ำวน หากวัดขนาดของกาแล็กซีแห่งนี้จากขอบหนึ่งไปยังอีกขอบหนึ่งจะมีความกว้างราว ๑ แสนปีแสง เราสามารถจินตนาการได้ถึงขนาดอันมหึมาของกาแล็กซีทางช้างเผือก หากพิจารณาว่าแสงสามารถเดินทางในสุญญากาศด้วยความเร็วสูงถึง ๓ แสน กม. ต่อวินาที ในเวลา ๑ ปีแสงสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางราว ๙.๔๖ ล้านล้านกิโลเมตร แต่ขนาดที่ใหญ่มหึมาของกาแล็กซีทำให้แสงต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง ๑ แสนปีจึงจะสามารถเดินทางข้ามจากขอบหนึ่งของกาแล็กซีไปยังอีกขอบหนึ่งได้ เราคงพอจินตนาการกันได้ว่า ถึงแม้กาแล็กซีทางช้างเผือกจะประกอบไปด้วยกลุ่มก๊าซ ฝุ่น และดวงดาว อยู่รวมกันมากมายราว ๒ แสนล้านดวง แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่มหึมานี้ทำให้กาแล็กซีแห่งนี้เต็มไปด้วยที่ว่างจนดูราวกับว่ามันมีแต่เพียงความว่างเปล่า ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับกาแล็กซีอื่น ๆ
ถ้าหากกาแล็กซีแต่ละแห่งแทบจะมีแต่ความว่างเปล่า แล้วดวงดาวที่เรามองเห็นบนท้องฟ้านั้นมาจากไหนหรือเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าหากท้องฟ้าไม่มีดวงดาวก็ย่อมจะไม่มีชีวิตอย่างพวกเราเกิดขึ้น ดวงดาวเป็นผู้สร้างชีวิต มันให้พลังงานและความร้อน มันทำให้โลกของเราอุ่นและทำให้น้ำบนโลกคงสภาพเป็นของเหลว มันเป็นผู้ให้พลังงานแก่พืชเพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ซึ่งเมื่อสัตว์ชนิดอื่น ๆ กินพืชเหล่านี้ก็จะได้พลังงานที่เก็บซ่อนไว้ในพืชเพื่อการดำรงชีพ ดวงดาวยังเป็นผู้สร้างสิ่งสำคัญอื่น ๆ ที่ผู้คนมักจะมองข้าม ดวงดาวคือผู้สรรค์สร้างธาตุต่าง ๆ ที่กลายมาเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ไม่เฉพาะชีวิตที่มีโครงสร้างโมเลกุลที่ซับซ้อนอย่างเช่นมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงหน่วยชีวิตที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่สุดอย่างไวรัสและแบคทีเรียด้วย
การศึกษาในเรื่องจักรวาลวิทยาทำให้พบความจริงว่า ก่อนที่จะมีดวงดาวดวงแรกเกิดขึ้นมา จักรวาลนี้มีแต่เพียงธาตุเบา ๆ อย่างเช่นไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นหลัก และมีธาตุลิเทียมปะปนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ธาตุเบา ๆ เหล่านี้ไม่สามารถรวมตัวกันเพื่อสร้างโมเลกุลที่มีความซับซ้อนและหลากหลายที่จะกลายมาเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตได้ ชีวิตต้องการธาตุชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นธาตุคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน หรือแม้กระทั่งเหล็ก นักดาราศาสตร์พบว่าดวงดาวนั่นเองคือผู้ที่ผลิตธาตุหนักเหล่านี้ ธาตุเหล่านี้เกิดขึ้นในใจกลางของดาวฤกษ์โดยการทำปฏิกิริยานิวเคลียร์เปลี่ยนธาตุเบา ๆ อย่างเช่นไฮโดรเจนและฮีเลียมไปเป็นธาตุชนิดอื่น ๆ และเมื่อดาวฤกษ์เหล่านี้ใกล้จะตายหรือตายจากไป มันก็จะปลดปล่อยธาตุหนักที่มันสร้างขึ้นมาตลอดชีวิตของมันออกสู่อวกาศกว้าง โดยการปลดปล่อยมวลสารออกมาในรูปของลมสุริยะหรือแม้กระทั่งการระเบิดของดาวฤกษ์ทั้งดวงที่เราเรียกว่า “ซูเปอร์โนวา” หรือ “มหานวดารา” ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ธาตุหนักเหล่านี้จะกระจายออกไปสู่ห้วงอวกาศและรอคอยเวลาที่มันจะไปรวมกับกลุ่มก๊าซอื่น ๆ และกลายมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างดาวฤกษ์และดาวเคราะห์รุ่นต่อ ๆ ไป รวมทั้งกลายมาเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนในเวลาต่อมา
ความตายของสิ่งหนึ่งได้ก่อกำเนิดอีกหลาย ๆ สิ่ง เคยลองนึกกันดูบ้างไหมว่า ออกซิเจนที่เราใช้หายใจอยู่ทุกเวลานาทีนั้นมาจากไหน มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากพืชสีเขียวดังเช่นที่หลายคนเข้าใจ จริง ๆ แล้วพืชใช้แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานและใช้วัตถุดิบหลักคือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีธาตุออกซิเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ก่อนแล้วในการสร้างอาหาร ก๊าซออกซิเจนเป็นผลพลอยได้จากขบวนการสร้างอาหารของพืช แต่พืชไม่ได้เป็นผู้สร้างธาตุออกซิเจนเหล่านี้ มันทำหน้าที่เป็นเพียงโรงงานแปรรูปที่เปลี่ยนสภาพของสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งเท่านั้น ลองคิดกันต่อไปอีกว่า ธาตุแคลเซียมที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในกระดูกของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ธาตุคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์ของสิ่งมีชีวิตและในอาหาร หรือแม้กระทั่งธาตุเหล็กที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเม็ดเลือดของเรานั้นมาจากไหน สิ่งเหล่านี้ล้วนถือกำเนิดมาจากดวงดาวทั้งสิ้น มันมาจากดาวฤกษ์ที่ตายจากไปนานนับพันล้านปีมาแล้ว ชีวิตล้วนเป็นหนี้บุญคุณดวงดาวเหล่านี้ และไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็จะพบว่าพวกเราทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานและเชื่อมโยงสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างแท้จริง
กลับมาสู่คำถามที่ว่า หากกาแล็กซีเต็มไปด้วยความว่างเปล่า แล้วดวงดาวทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน ?
ภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลในบริเวณใกล้ใจกลางของ Orion Nebula ทำให้เห็นก้อนก๊าซขนาดเล็กจำนวนมากซึ่งกำลังยุบตัวลง โดยมีดาวฤกษ์ดวงใหม่จำนวนมากที่กำลังก่อตัวขึ้นซ่อนอยู่ภายในราวกับตัวอ่อนในรังไหม |
แม้ว่าในกาแล็กซีจะมีกลุ่มก๊าซที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลักเกาะกลุ่มกันเพียงบางเบาราวกับสุญญากาศ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในทุก ๆ ที่ ในบางบริเวณโดยเฉพาะตามแขนกังหันของกาแล็กซี โมเลกุลของก๊าซเหล่านั้นอาจจะอยู่ใกล้กันด้วยผลของแรงดึงดูด ซึ่งทำให้ก๊าซเหล่านี้รวมตัวกันเป็นก้อนก๊าซขนาดใหญ่ที่มีความกว้างนับสิบไปจนถึงนับร้อยปีแสง บางส่วนของกลุ่มก๊าซนี้จะมีความหนาแน่นสูงกว่าในบริเวณอื่น แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของก๊าซที่อยู่กันหนาแน่นกว่าส่วนอื่นนี้ได้ทำให้มันยุบตัวเข้าหากันจนเกิดความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบริเวณกึ่งกลางของก๊าซที่ยุบตัวนี้ สิ่งหนึ่งกำลังเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังจะกลายมาเป็นดาวฤกษ์ซ่อนตัวอยู่ภายในก้อนก๊าซที่หนาแน่นจนมองไม่เห็นจากภายนอก มันดูราวกับตัวอ่อนของไหมในรังที่ห่อหุ้มมันอยู่ และเมื่อแรงโน้มถ่วงทำให้ก้อนก๊าซนี้ร้อนจัดจนถึงจุดจุดหนึ่ง ปฏิกิริยานิวเคลียร์ก็จะเกิดขึ้น ณ จุดที่ความหนาแน่นของก๊าซสูงที่สุด และดาวฤกษ์ดวงใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้นมา สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายในก้อนก๊าซก็จะค่อย ๆ เผยโฉมขึ้นมาให้เราเห็นด้วยประกายแสงสว่างอันเจิดจ้าซึ่งจะผลักดันก้อนก๊าซที่ห่อหุ้มอยู่ให้กระจายตัวออกไป และไม่ใช่แต่เพียงดาวฤกษ์ดวงเดียวเท่านั้นที่ถือกำเนิดขึ้นมา ก้อนก๊าซขนาดมหึมานี้มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะสร้างดาวฤกษ์ขึ้นมาได้นับพัน ๆ ดวงเลยทีเดียว
แหล่งกำเนิดดาวฤกษ์นี้มีอยู่มากมายตามบริเวณแขนกังหันของกาแล็กซี บางแห่งอยู่ใกล้กับเราจนสามารถมองเห็นได้ในยามค่ำคืนแม้ด้วยตาเปล่า บ้างก็อยู่ไกลออกไปจนยากที่จะสำรวจให้เห็นได้ ถ้าหากเราสำรวจไปยังกาแล็กซีแห่งอื่น ๆ ที่มีลักษณะรูปร่างแบบเดียวกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเอง เราก็จะเห็นสิ่งที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นในกาแล็กซีแห่งอื่น ๆ ด้วย ดวงดาวทั้งหลายรวมทั้งดวงอาทิตย์ของเราล้วนถือกำเนิดขึ้นมาจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นเหล่านี้ ซึ่งนักดาราศาสตร์เรียกมันว่า “เนบิวลา” (Nebula) คำว่า “เนบิวลา” นี้มาจากภาษาละตินซึ่งมีความหมายว่า หมอก หรือ ก้อนเมฆ
เนบิวลาที่ปรากฏให้เห็นมีอยู่หลายลักษณะ บ้างก็เป็นเพียงกลุ่มก๊าซที่ดูดำมืดจนมองไม่เห็นนอกเสียจากว่ามันจะไปปรากฏอยู่บนฉากหลังที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป หรือบนฉากหลังซึ่งเป็นเนบิวลาที่เรืองแสงสว่าง เนบิวลาแบบนี้เรียกว่า “เนบิวลามืด” หรือ “Dark Nebula” ก้อนก๊าซนี้ยังไม่เกิดการยุบตัวที่จะสร้างดาวฤกษ์ขึ้นมา แต่เนบิวลาอีกมากมายเป็นกลุ่มก๊าซที่เรืองแสงขึ้นมาเพราะมันได้สร้างดาวฤกษ์เกิดใหม่ขึ้นมาจำนวนมากมาย ดาวฤกษ์ที่ร้อนแรงบางดวงจะเปล่งพลังงานในย่านคลื่นความถี่สูงเช่นในย่านคลื่นอัลตราไวโอเลตจนทำให้ก๊าซที่อยู่รายรอบถูกกระตุ้นจนเรืองแสงสว่างขึ้นมาให้เราเห็น เนบิวลาเรืองแสงแบบนี้นักดาราศาสตร์เรียกว่า “Emission Nebula” กลุ่มก๊าซและฝุ่นบางแห่งอยู่ไกลออกมาจากดาวฤกษ์ที่สว่างไสวจึงไม่ได้ถูกกระตุ้นให้เรืองแสงดังเช่น Emission Nebula ข้างต้น แต่ก๊าซและฝุ่นเหล่านี้จะดูดซับและสะท้อนแสงของดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลออกไปอีกทีหนึ่ง เนบิวลาแบบนี้จะมีสีฟ้าเพราะกลุ่มก๊าซจะทำหน้าที่แบบเดียวกับโมเลกุลของชั้นบรรยากาศของโลกที่กระจายแสงอาทิตย์จนทำให้ท้องฟ้ามีสีฟ้า เนบิวลาที่สะท้อนแสงจากดวงดาวนี้นักดาราศาสตร์เรียกว่า “Reflection Nebula”
ไกลออกไปจากระบบสุริยะราว ๑,๕๐๐ ปีแสงในบริเวณแขนกังหันของกาแล็กซีทางช้างเผือกในบริเวณกลุ่มดาวนายพราน (Orion) จะมีเนบิวลาแบบเรืองแสงขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเรามากที่สุดปรากฏอยู่ สามารถมองเห็นได้ราง ๆ ด้วยตาเปล่าดูคล้ายกับดาวฤกษ์ที่ฝ้ามัว แต่เมื่อเราใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ส่องสำรวจในบริเวณดังกล่าว ความลับของมันก็จะเผยโฉมขึ้น สิ่งที่เห็นดูคล้ายกับก้อนหมอกที่มีรูปร่างคล้ายพัดที่คลี่ออก ภายในฝ้าแสงสีขาวอมเทานี้เราจะมองเห็นดวงดาวอยู่มากมาย ที่ใจกลางกลุ่มก๊าซนี้จะมีดาวฤกษ์สี่ดวงที่สว่างสะดุดตาอยู่ ฝ้าแสงที่เรามองเห็นนี้ก็คือกลุ่มก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซอื่น ๆ เช่น ออกซิเจน ที่เรืองแสงขึ้นมาเมื่อถูกกระตุ้นจากรังสีอัลตราไวโอเลตของดาวฤกษ์ที่ร้อนแรงเหล่านี้ กลุ่มก๊าซนี้มีขนาดปรากฏบนท้องฟ้ากว้างราว ๆ ๑ องศา ด้วยระยะห่าง ๑,๕๐๐ ปีแสงทำให้สามารถประเมินได้ว่าก้อนก๊าซนี้มีความกว้างจริง ๆ ประมาณ ๓๐ ปีแสง เนบิวลาเรืองแสงในกลุ่มดาวนายพรานที่กำลังพูดถึงนี้มีชื่อเรียกว่า “Orion Nebula” หรือมีชื่อตามบันทึกของ Charles Messier ว่า “M-42”
Orion Nebula จัดว่าเป็นเนบิวลาแบบเรืองแสงขนาดใหญ่และสว่างมากที่สุดแห่งหนึ่งบนท้องฟ้า และเป็นวัตถุท้องฟ้าที่นักดาราศาสตร์อาชีพและสมัครเล่นทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุด เราสามารถมองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ในกลุ่มก๊าซแห่งนี้ได้ดี แต่ไม่สามารถมองเห็นสีสันของเนบิวลานี้ได้แม้ว่าจะสังเกตโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่แล้วก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะตาของมนุษย์นั้นไม่ไวต่อสีในสภาพแสงที่จาง ๆ เช่นนี้ รวมทั้งสมองของเราจะเก็บและแปรสัญญาณภาพที่ตามองเห็นแต่ละภาพในเวลาสั้น ๆ เพียงแค่เศษเสี้ยวของวินาที ตาของเราไม่สามารถสะสมแสงได้นาน ๆ ดังเช่นกล้องถ่ายภาพ แต่หากเราใช้การถ่ายภาพเพื่อสะสมแสงที่เดินทางมาจากที่ที่ไกลแสนไกลในเวลาที่นานมากพอ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นจากภาพถ่ายจะทำให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ ความงดงาม สีสัน และความเป็นไปของกลุ่มก๊าซแห่งนี้ได้ดี
Orion Nebula ก็คือโรงงานผลิตดวงดาวแห่งหนึ่งในกาแล็กซีของเรา ก๊าซไฮโดรเจนที่มีอยู่มากที่สุดเมื่อถูกกระตุ้นโดยแสงในย่านคลื่นอัลตราไวโอเล็ตจากดวงดาวก็จะเกิดการเรืองแสงในย่านคลื่นสีแดงและสีน้ำเงิน ซึ่งเมื่อผสมผสานกันจะทำให้เรามองเห็นเป็นสีแดงอมชมพูหรือสีบานเย็น ส่วนก๊าซอื่น ๆ อาทิ ก๊าซออกซิเจน เมื่อถูกกระตุ้นด้วยพลังงานสูงก็จะเกิดการเรืองแสงในย่านคลื่นสีเขียว การผสมผสานระหว่างสีที่เปล่งออกมาจากโมเลกุลของก๊าซต่างชนิดกันในสัดส่วนต่าง ๆ กัน จะทำให้เราเห็นเนบิวลานี้เรืองแสงเป็นหลายเฉดสีในภาพถ่าย เช่นสีแดงอมชมพูของก๊าซไฮโดรเจนเมื่อผสมผสานกับสีเขียวจากก๊าซออกซิเจนในสัดส่วนใกล้เคียงกันก็จะกลายเป็นเฉดสีเหลือง เป็นต้น ดาวฤกษ์ที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นดาวฤกษ์อายุน้อยประมาณ ๓ แสนถึง ๑ ล้านปีเท่านั้น ดาวฤกษ์เกิดใหม่บางส่วนสามารถมองเห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ดาวฤกษ์อีกบางส่วนยังคงซ่อนตัวอยู่ภายในกลุ่มก๊าซที่หนาแน่นจนมองไม่เห็นว่าเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อีกส่วนหนึ่งถูกความสว่างและความหนาแน่นของเนบิวลาบดบัง ทำให้มองเห็นได้ยาก การสำรวจโดยใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล รวมทั้งการสำรวจในย่านคลื่นแสงอินฟราเรดจากกล้องโทรทรรศน์บนพื้นโลก ได้ค้นพบดาวฤกษ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นและยังซ่อนตัวอยู่ภายในกลุ่มก๊าซที่หนาแน่นจำนวนมาก นักดาราศาสตร์ค้นพบว่าเนบิวลาแห่งนี้ได้ก่อให้เกิดดาวฤกษ์ใหม่ ๆ ขึ้นแล้วไม่น้อยกว่า ๗๐๐ ดวงและดาวฤกษ์ที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มก๊าซอีกไม่น้อยกว่า ๑๕๐ ดวง
ภาพแสดงรูปร่างกลุ่มดาวนายพราน (Orion) ที่สว่างสะดุดตา พร้อมชื่อดาวฤกษ์เด่น ๆ ประจำกลุ่มดาว รวมทั้งตำแหน่งของ Orion Nebula ในบริเวณดาบของนายพรานซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของดาวฤกษ์สามดวงที่เรียงกันเป็นแถวอันเป็นสัญลักษณ์ของเข็มขัดนายพราน ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ กลุ่มดาวนายพรานจะมาอยู่ในแนวกลางฟ้า โดยอยู่ค่อนไปทางทิศใต้จากจุดกลางฟ้าเพียงเล็กน้อยในเวลาประมาณสองทุ่ม |
Orion Nebula จะไม่คงสภาพดังที่เห็นนี้ตลอดไป อีกหลายหมื่นหรือหลายแสนปีข้างหน้าเมื่อมันได้ก่อให้เกิดดาวฤกษ์จำนวนมากมาย พลังงานจากดาวฤกษ์เหล่านี้จะผลักดันก๊าซที่หลงเหลือจากการสร้างดวงดาวให้กระจายตัวออกไปสู่อวกาศกว้าง รอคอยเวลาที่จะกลับมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างดวงดาวรุ่นหลัง ๆ ต่อไปอีก ส่วนดาวฤกษ์ที่ถือกำเนิดขึ้นมากมายที่นี่ก็จะกลายสภาพเป็นกระจุกดาวเปิดขนาดใหญ่ ดังเช่นกระจุกดาวคู่ (Double Cluster) และกระจุกดาว M-37 ที่ได้กล่าวถึงใน “ส่องจักรวาล” ฉบับก่อน ๆ
ดวงอาทิตย์ของเราก็คงถือกำเนิดมาในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน พี่น้องของดวงอาทิตย์ที่ถือกำเนิดมาจากก้อนก๊าซเดียวกันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในกาแล็กซีแห่งนี้ แต่มันได้แยกย้ายจากกันไปเป็นเวลานานแล้วจนยากที่จะสืบสาวราวเรื่องไปจนค้นพบความจริง คงมีแต่เพียงจินตนาการของเราเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสถึงอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อราว ๕ พันล้านปีก่อนได้