คอลัมน์ เปลี่ยนเป็นเย็น
เรื่อง : หอยทากตัวนั้น (snailday@gmail.com)
เขตพระนครและธนบุรี แผนที่ฉบับรู้ทันน้ำ พ.ศ.๒๕๕๔ (ภาพ : rootannam.com)
คุณจ๋า
เหมือนคนกรุงเทพฯ อีกหลายคนที่ย้ายหนีน้ำสองวันก่อนน้ำจะมา ฉันจากบ้านย่านตลิ่งชัน (ที่ตอนนี้น้ำในซอยบ้านสูงถึงระดับอก) มายังบ้านเดิมในชุมชนกุฎีจีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถิ่นน้ำท่วมถึงที่ครอบครัวคุ้นเคย
แม้กุฎีจีนเป็นฮอตสปอตอันมีแต่ความเสี่ยงที่น้ำจะท้นท่วมเมื่อไหร่ก็ได้ แต่บ้านส่วนใหญ่ในชุมชนก็ยังไม่ก่ออิฐกั้นประตู (รวมทั้งบ้านที่ฉันย้ายมาอยู่) เพราะทั้งชุมชนวางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่พนังกระสอบทรายซึ่งทางสำนักงานเขตธนบุรีและชาวชุมชนช่วยกันทำเอาไว้ ทุกวันที่ต้องการความร่วมมือ เสียงตามสายในหมู่บ้านจะประกาศให้ทุกคนออกมาช่วยแบกขนกระสอบทราย ฉันเองผู้ย้ายเข้าไปตั้งหลักที่นั่น จึงได้ร่วมลงแขกกับเขาด้วย ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ กุฎีจีนจึงยังแห้งเหือด
ในเวลาเดียวกัน ทีวีก็รายงานข่าวเรื่องชุมชนเข้มแข็งรับมือน้ำท่วมอย่างได้ผลหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นชาวหมู่บ้านแมกไม้ย่านรามอินทรา ที่วางระบบระบายน้ำและบำบัดน้ำเสียแยกจากส่วนกลาง หรือคอนโดซิตี้โฮม รัชดา-ปิ่นเกล้า ที่บางพลัด ก็ยังดำรงชีวิตแนวดิ่งอยู่ได้ โดยไม่ต้องอพยพไปไหน เพราะป้องกันหัวใจอย่างห้องเครื่องระบบไฟฟ้าไว้อยู่ ทั้งสองแห่งล้วนอยู่ได้เพราะพลเมืองในชุมชนมีจิตอาสาและร่วมมือร่วมใจ
มันให้มู้ดเหมือนเราอยู่บ้านบางระจัน ด้วยมีดพร้าและอาวุธบ้านๆ เรากำลังต้านทานกับข้าศึกทัพใหญ่น้อยที่ไหลบ่ามาอย่างสุดกำลัง
ระหว่างที่ช่วยคนอื่นๆ ลำเลียงกระสอบทรายอยู่นั้น ฉันคิดว่าสิ่งที่เราต้องทำมีเท่านี้หรือไร การกั้นไม่ให้น้ำท่วมบ้านของเรา (ในร่างของชุมชนทั้งหมด) เป็นคำตอบของการป้องกันน้ำท่วมหรือ
น้ำที่กำลังไหลบ่ามาจากทางทิศเหนือเป็นข้าศึกของเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
๑
น้ำไม่ใช่ข้าศึกของคนที่ก่อร่างสร้างกรุงเทพฯ เมื่อ ๒๐๐ กว่าปีก่อนแน่นอน
ผู้รู้บอกว่าบรรพบุรุษของเราก๊อบปี้การเลือกทำเลตั้งถิ่นฐานเหมือนคนอยุธยา หนึ่งในเหตุผลสำคัญคงผูกพันอยู่กับการทำมาหากิน บางกอกสมัยก่อนย่อมต้องน้ำหลากเช่นที่เมืองหลวงเดิมเป็น
ฉันคิดว่าชีวิต ๔๐๐ ปีของคนอยุธยาที่พึ่งพาน้ำ อาจไม่ต่างจากคนต้นยุครัตนโกสินทร์มากนัก ต้องพึ่งน้ำท่วมพาเอาตะกอนและปุ๋ยอาหารที่พัดมาเพื่อเพาะปลูกเหมือนๆ กัน จนน้ำในความคิดของผู้คนคือมิตร เป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอย มากกว่าข้าศึกศัตรู
ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา เคยพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่มีระบบทดน้ำ ยกเว้นในฤดูแล้งซึ่งมีเขื่อนชั่วคราวสร้างอยู่หัวและท้ายคลองเพื่อกักน้ำไว้ในเมือง เขื่อนดังกล่าวทำด้วยไม้ระเนียดปักคู่กันลงไปในคลอง มีดินถมระหว่างกลาง ในฤดูน้ำหลาก เขื่อนดินจะถูกรื้อทิ้ง ทำให้น้ำไหลผ่านเข้าไปในเมืองได้อย่างเต็มที่ ปีใดน้ำมาก น้ำก็จะท่วมท้นฝั่งคลองขึ้นมาถึงใต้ถุนบ้าน ในเมื่อเรือนไทยยกพื้นสูงหมด สภาพน้ำนองทั่วไปเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่อำนวยแต่ความสะดวกให้แก่ชาวเมือง ซึ่งสามารถแจวเรือไปมาหาสู่กันได้อย่างสบาย ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแต่ประการใด”
อ่านแล้วทึ่ง เพราะคนรุ่นก่อนอยู่ได้แบบเปียกก็ได้แห้งก็ดี มีวิถีชีวิตและสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานรองรับเสมอ
ชั่ว ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปเหมือนอยู่ในดาวดวงใหม่ เปลี่ยนไปมากกว่า ๔๐๐ ปีที่คนอยุธยาเปลี่ยนข้ามมาอยู่กรุงเทพฯ มากนัก ความเป็น “ชาวน้ำ” อย่างที่ฝรั่งรุ่นล่าอาณานิคมเคยพูดถึงไว้อย่างพิศวงว่า คนไทยเป็น “คนที่ใช้แม่น้ำลำคลองเป็นที่สัญจรแต่โบราณกาล จนกระทั่งทุกวันนี้ (พ.ศ.๒๔๕๔) ก็ยังใช้ลำน้ำเหล่านี้เพราะสะดวกและประหยัด…และเนื่องจากผู้คนชินอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาแต่เกิด ฝรั่งที่มาเห็นเข้าคิดว่า คนไทยอยู่ในน้ำสะดวกสบายและปลอดภัยกว่าอยู่บนบก” [G.E. Gernini (๑๙๑๑), Siam and Its Production, Arts, and Manufactures] นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จุดเริ่มต้นเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนอยู่ที่เราพยายามเปลี่ยนแปลงเมืองแบบชาวน้ำ ให้กลายเป็นเมืองแบบชาวบกของคนตะวันตก ถนนหนทาง ตึกรามและบ้านเรือนแบบใหม่ถูกสร้างขึ้นแทนที่พื้นที่เดิมด้วยเหตุผลมากมาย จนลืมเหตุผลเก่าแก่ว่าทำไมเราถึงเลือกมาตั้งเมืองอยู่ที่นี่
และเราลืมความสัมพันธ์ดั้งเดิมกับน้ำ เพราะว่าชีวิตประจำวันและการทำมาหากินของเราห่างไกลจากน้ำ สายตาที่เรามองน้ำจึงเปลี่ยนไป เพราะคนเมืองใหญ่ไม่คิดว่าตัวเองต้องการตะกอนและธาตุอาหารที่น้ำจะพามาให้อีกแล้ว
๒
เมื่อเรารู้จักน้ำอีกครั้ง น้ำอยู่ในรูปของ “น้องน้ำ”-“ป้าน้ำ” -“วาฬสีน้ำเงิน” ที่เราต้องหนีสุดฤทธิ์
J. Hoche ทำนายถึงอนาคตของบางกอกไว้ตั้งแต่ ๑๑๓ ปีก่อนในหนังสือ Le Siam et les Siamois ว่า “สองเมืองที่ซ้อนกันอยู่ คือเมืองน้ำและเมืองบก ทั้งสองเมืองอยู่ด้วยกันอย่างขัดๆ และต่างทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน…วิธีไม่ตรงกัน ยิ่งกาลเวลาผ่านไป ก็ยิ่งจะเห็นความขัดแย้งดังกล่าว อีกไม่ช้า เมืองบกจะต้องชนะเมืองน้ำ และเมื่อนั้นนักภูมิศาสตร์ที่ชอบให้สมญานามแปลกๆ แก่กรุงเทพฯ เห็นจะต้องเลิกใช้คำว่าเวนิสตะวันออกเสียที”
พ.ศ.๒๕๕๔ เมืองบกเจริญขึ้นก็จริง แต่พอมวลน้ำมากมายผ่านมาทางนี้ เขตแล้วเขตเล่าต้องถอยร่นด้วยการประกาศอพยพ
รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ชี้ให้เราเห็นว่าการหาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่ใส่ใจธรรมชาติและลักษณะของพื้นที่คือต้นเหตุของน้ำท่วมใหญ่หนนี้
สวนยางพาราหรือไร่ส้มที่ปลูกบนพื้นที่ชายเขาทำให้เกิดดินถล่ม การตัดไม้ในพื้นที่ป่าต้นน้ำเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวโพดย่อมทำลาย “ฟองน้ำ” ธรรมชาติที่คอยดูดซับน้ำฝนและอุ้มน้ำไว้สำหรับฤดูแล้ง ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมย่านรังสิตเปลี่ยนไปเป็นหมู่บ้านจัดสรร พื้นที่รอบเขตประวัติศาสตร์อย่างอยุธยากลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม บ้านเรือน ร้านอาหาร และรีสอร์ตมากมายบุกรุกทางไหลของน้ำ ถนน บ้านจัดสรรและอสังหาริมทรัพย์ปลูกขวางทางน้ำ ฯลฯ เป็นตัวอย่างที่ รศ.ดร. อดิศร์ยกขึ้นให้เราเข้าใจว่าที่ดินเป็นมากกว่าที่ทำมาหากิน และผังเมืองไม่ใช่เป็นของที่ขีดเขียนขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
นั่นคือเราจำเป็นต้องรู้ว่าพื้นที่ที่เราอยู่เราหากินนั้นเป็นอย่างไร มีความสัมพันธ์กับระบบธรรมชาติทั้งหมด ผู้คน
และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างไร ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องรักษาป่าต้นน้ำไว้อย่างเข้มแข็ง ว่าทำไมควรจัดพื้นที่อุตสาหกรรมแยกจากพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งจะรับน้ำ และทำไมเราต้องใช้ชีวิตสอดคล้องกับลักษณะธรรมชาติของพื้นที่
๓
แค่ ๓๐-๕๐ ปีก่อนที่บางลี่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี มีภาพเมือง “สะเทินน้ำสะเทินบก” ปรากฏอยู่ อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่าง
เมืองที่เมื่อน้ำแห้งก็เป็นเหมือนเมืองอื่นๆ แต่เมื่อยามน้ำหลาก “ชาวบ้านจะเตรียมเก็บข้าวของล่วงหน้าไว้ และก่อนที่น้ำจะมาเพียงวันหรือสองวัน ก็จะย้ายข้าวของและสินค้าขึ้นไปชั้นบนพร้อมกันทั้งชุมชน สัญชาตญาณนี้ไม่เคยพลาด” เมื่อน้ำมาถึง เมืองทั้งเมืองก็กลายเป็นเมืองลอยน้ำที่ “กิจการที่เคยอยู่บนพื้นดิน ก็โผล่ขึ้นไปอยู่ระดับชั้นสอง เช่น ตลาดกลางใจเมือง ร้านตัดผม ร้านขายยา และร้านอาหาร เป็นต้น แม้แต่ปั๊มน้ำมันซึ่งเคยบริการรถยนต์อยู่เป็นปรกติ พอรุ่งขึ้นกลับย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นสองมีเรือยนต์เข้ามาเทียบเรียงกันเป็นแถวเข้าซื้อน้ำมันแทนทันที”*
เราย้อนเวลากลับไปหาบางลี่ในอดีตไม่ได้ แต่ว่าเราทำตัวเราเองให้คุ้นเคยกับน้ำมากกว่านี้ได้ ชุมชนของเราหัดสะเทินน้ำสะเทินบกกว่านี้ได้อีก ถ้าจิตสาธารณะที่เรามีต่อชุมชนของเราแผ่ขยายไปไกลกว่าการขนกระสอบทรายปกป้องชุมชนของตัวเอง ให้ไปถึงชุมชนถัดๆ ไป สู่จังหวัดอื่นๆ ที่คนอื่นๆ อยู่ด้วยได้ ความเดือดร้อนอันเกิดจากน้ำท่วมจะบรรเทากว่านี้อีกมาก เราจะเปราะบางน้อยลงกว่านี้อีกมาก
๔
ปีนี้เป็นปีที่เราทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับน้ำท่วมอย่างจริงจัง ทั้งจากประสบการณ์และจากข้อมูลหลายด้าน
อย่าปล่อยให้มันผ่านไปฟรีๆ
เผื่อคราวหน้าน้ำมาอีก จะได้เครียดน้อยลงอีกหน่อยไงล่ะ 😉
* น้ำ บ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมไทย, สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา, กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๘