วรพจน์ พันธุ์พงศ์ : สัมภาษณ์
ธวัชชัย พัฒนาภรณ์ : ถ่ายภาพ

รงค์ วงษ์สวรรค์ ย้ายตัวเองออกจากกรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลหลักๆ คือรักธรรมชาติ และสู้ค่าครองชีพในเมืองต่อไปไม่ไหว เขาใช้เวลาเดินทางหาบ้านอยู่หลายปี ในที่สุดก็เลือกปักหลักที่หมู่บ้านห้วยบวกเขียด ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ใช้ชื่อว่า “สวนทูนอิน”

หาใช่สิ่งใดอื่น-คุณค่าหรือเนื้อหาสาระของนักเขียน คือสิ่งที่เขาขีดเขียน

นี่คือผลงานของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี ๒๕๓๘

หนาวผู้หญิง, เถ้าอารมณ์, ไฟอาย, สนิมสร้อย, บนถนนของความเป็นหนุ่ม, สนิมกรุงเทพฯ, ปักเป้ากับจุฬา, บางลำภูสแควร์, คืนรัก, เสเพลบอยบันทึก, พ่อบ้านหนีเที่ยว, ใต้ถุนป่าคอนกรีท ขบวน ๑, หอมดอกประดวน, นิราศดิบ, เสเพลบอยชาวไร่, ผู้มียี่เกในหัวใจ, หัวใจที่มีตีน, ใต้ถุนป่าคอนกรีท ขบวน ๒, หลงกลิ่นกัญชา, ฝนซาฟ้าหม่น, น้ำค้างเปื้อนแดด, ไอ้แมลงวันที่รัก, แดง รวี, หนามดอกไม้, ใต้ถุนป่าคอนกรีท ขบวน ๓, ๐๐.๐๐ น., ปีนตลิ่ง, ดลใจภุมริน, บ้านนี้มีห้องแบ่ง ให้เช่า, นักเลงโกเมน, กรุงเทพฯ รจนา, สัตหีบ : ยังไม่มีลาก่อน, ตาคลี : น้ำตาไม่มีเสียงร้องไห้, ชุมทางพลอยแดง, นาฑีสุดท้ายทับทิมดง, อเมริกันตาย, แม่ม่ายบุษบง, คึกฤทธิ์แสบสันต์, ๒๓ เรื่องสั้น, ไม่นานเกินรอ, น้ำตาสองเม็ด, ความหิวที่รัก, มาเฟียก้นซอย, ๒๘ ดีกรีเที่ยงวัน บรั่นดีเที่ยงคืน, ดอกไม้ในถังขยะ, จากแชมเพญถึงกัญชา, ขี่ม้าชมดอกไม้, จากโคนต้นไม้ริมคลอง, ถึงป่าคอนกรีท, ๒ นาฑีใต้แสงดาวแดง, ปักกิ่ง-กรุงเทพฯ, ซูสีไทเฮา, กัญชาธิปไตย, ดอกไม้และงูพิษ, ยินโทนิค ๒๘ ดีกรี, แอลกอฮอลิเดย์, เบื้องข้างพันเอกณรงค์ กิตติขจร (ผู้การไม่มีปืน), บนหลังหมาแดดสีทอง, ผู้ดีน้ำครำ ๑, ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ แสบสันต์, แกงส้มผักบุ้ง ๒๒.๐๐ น., ผู้ดีน้ำครำ ๒, บักหำน้อย ซ้ายปลาร้าขวาเนย, สาหร่ายปลายตะเกียบ, นินทากรุงเทพฯ, บุหลันลบแสงสุริยา-บรูไน, ระบำค้อนเคียว, ลมหายใจสงคราม, ไส บาบา นักบุญในนรก, สามเหลี่ยมในวงกลม, สารคดีไฉไลคลาสสิค, ครูสีดา, ผกานุช บุรีรำ, ดอกไม้ดอลล่าร์, ระบำนกป่า, พูดกับบ้าน, ขุนนางป่า, แมงบาร์, ๒ นาฑีบางลำพู, บูชาครูนักเลง, บาลีนีสทัดดอกลั่นทม, พรานล่าอารมณ์ขัน, ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเงาเวลาของ ‘รงค์วงษ์สวรรค์, บนถนนอากาศ, กินหอมตอมม่วน, ลาภปาก, เมนูบ้านท้ายวัง, เงาของเวลา, นอนบ้านคืนนี้, ลมบาดหิน, นินทา ฯพณฯ สาก ส.ส. กะเบือ (HA-HA), นินทานายกรัฐมนตรี, โคบาลนักเลงปืน, หงา คาราวาน : เงา-สีสันของแดด, อเมริกา
-อเมริกู, มาดเกี้ยว, ฝนเหล็ก-ไฟปืน “๓๕, บักอี สีจำปา, เปลี่ยวคอนกรีท, วานปีศาจตอบ, วานปีศาจเขียน …

เรื่องปริมาณ น่าทึ่งว่าคนคนหนึ่งพากเพียรทำงานได้มากมายถึงเพียงนี้ ส่วนเรื่องคุณภาพ หากมันเป็นงานสั่วๆ หรือย้อมแมวขาย ชื่อ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ คงไม่สถิตอยู่ในใจคนมาถึง ๓๐-๔๐ ปี ยิ่งในประเทศที่วัฒนธรรมการอ่านอ่อนแอ และวูบไหว

หาใช่สิ่งใดอื่น_หัวใจของนักเขียน คือเรื่องเล่าของเขา

สิ่งนั้นสะท้อนประสบการณ์และโลกทัศน์ ในฐานะหน่วยหนึ่งของสังคม

เรื่องเล่าของเขาก็คือเรื่องราวของประเทศ

‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ทำหน้าที่เล่าเรื่องมายาวนาน เล่าด้วยสายตาของผู้เจนจัดในชีวิต

อย่างไม่ต้องสงสัย_เขาคือนักปราชญ์คนหนึ่งในยุคสมัยของเรา

บทสัมภาษณ์นี้ตัดตอนจากหนังสือว่าด้วยทรรศนะและศิลปะการใช้ชีวิตของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ จัดพิมพ์โดยสำนักหนังสือไต้ฝุ่น ซึ่งตั้งใจพิมพ์ออกมาต้อนรับวาระครบรอบวันเกิด ๗๗ ปี คือวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะจัดพร้อมงานนิทรรศการภาพถ่าย “ในเวลาของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์” ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม-๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่แกลเลอรี people space แพร่งภูธร

โลกนี้มีเรื่องที่เรารู้ และไม่รู้ มีทั้งเรื่องที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้

‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ละลาสังขารจากไปอย่างสงบ เมื่อเวลา ๑๘.๐๕ น. ของวันที่ ๑๕ มีนาคมที่ผ่านมา

ฝนพรั่งพรู งูร้องไห้ ดอกไม้สะอื้น สวนทูนอินค่ำคืนนี้ไม่มีเสียงระรัวพิมพ์ดีดอีกแล้ว

นี่คือบทสัมภาษณ์สุดท้ายในชีวิตของเขา และนี่คือเสียงพูดสุดท้าย…

ถ้าย้อนเวลากลับไปมองทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ที่เป็นมาในอดีต คุณรู้สึกพึงพอใจไหมกับชีวิตนี้
พอใจ ทำไมจะไม่พอใจ ครบรส สงครามก็ได้เห็น เห็นความโหดร้าย คนตายเกลื่อนถนน เราเป็นคนพอใจในชีวิต

เกิดมาเป็นผู้ชายหน้าตาไม่เลว ไม่หล่อ แต่ก็ไม่ขี้ริ้ว เรียนหนังสือเก่งในโรงเรียนที่ดี แม้ต้องต่อสู้และเหนื่อยมาตั้งแต่เด็ก หาเงินเอง พาฝรั่งเที่ยวซ่อง ทหารขึ้นมาจากปักษ์ใต้ รอข้ามเฟอร์รี อำนวยศิลป์อยู่ตรงนั้น เราก็เอาผลไม้ไปแลกบุหรี่ บุหรี่มวนละบาทยี่สิบห้าสตางค์ ถือว่าแพงมาก คำว่า “โอเค ซิกาแรต” เกิดขึ้นตอนนั้น เพราะเราพูดอย่างอื่นไม่เป็น รถจี๊ปก็เข้ามาช่วงนั้น ทุกวันนี้ดูหนังพีเรียดแล้วขำอย่าง โหมโรง ก็มีฉากหนึ่งนั่งรถจี๊ป มันมีที่ไหนเล่า ตำรวจยุคนั้นไม่ใช้รถจี๊ป รถจี๊ปเพิ่งมาหลังสงคราม เจอครั้งแรกเรายังจำได้ว่าทุกคนหยุดดูกันใหญ่ รถอะไรของมันวะ แปลก อีกตั้งนานถึงรู้ว่าชื่อจี๊ป ผลิตที่อเมริกา ยังทำไม่สมบูรณ์แบบ พอดีญี่ปุ่นบุกเพิร์ลฮาร์เบอร์ กองทัพอเมริกาเลยต้องปล่อยรถจี๊ปออก ยังไม่โมดิฟาย คว่ำง่าย กินน้ำมัน รถจี๊ปฆ่าทหารอเมริกันเยอะเพราะยังทำไม่เสร็จ จี๊ปเชโรกี ก็กินน้ำมันจุ ยังไม่เลิกนิสัยเก่า นั่งแล้วกระเทือนมากด้วย

นี่ จะคิดจะอ่านอะไร มันต้องรู้ให้จริง เราเป็นคนแบบนี้ บางทีติดศัพท์คำเดียวต้องลุกขึ้นมาเปิดดิกฯ ไม่งั้นนอนไม่หลับ

เด็กสมัยใหม่คิดว่าการเป็นนักเขียนมันง่าย คล้ายๆ แบบนั้น แป๊บๆ พิมพ์เป็นเล่มแล้ว ง่ายไป ก็เลยไม่ยั่งยืน กับนักเขียนใหม่ๆ เราบอกอย่าเพิ่งพิมพ์เป็นเล่ม เพราะขายไม่ได้แล้วจะเสียใจ ให้คนอ่านยอมรับก่อนค่อยพิมพ์ ใจเย็นๆ น่า หลายคนไม่เชื่อเรา แล้วมาเจ็บปวดภายหลัง บางคนตั้งตัวเป็นบรรณาธิการเอง คุณภาพไม่ถึง บางคนเพื่อนเป็นบรรณาธิการ เขียนไม่ดีแกล้งบอกดี แบบนี้ไม่รอด เมืองนอกระบบบรรณาธิการเขาดีกว่าเรา

ถ้าชาติหน้ามีจริง คุณจะเขียนหนังสืออีกไหม
ไม่รู้ เราไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่ถ้าเกิดอีกก็ไม่เห็นมีอะไรดีกว่าการเป็นนักเขียน อย่างอื่นทำไม่เป็น ข้าราชการเป็นไม่ได้ พ่อบังคับให้ไปเรียนช่างชลประทาน เรียน ๓ เดือนเลิก ฝากงานให้ทำ ทำได้ ๓ เดือนลาออกเลย พ่อโกรธมาก อุตส่าห์ฝากฝังให้ เราไม่ชอบจริงๆ ต้องคำนับคนตั้งแต่เช้ายันเย็น ทำไม่ได้

แล้วชอบอะไรในอาชีพนักเขียน
ตอบไม่ถูก รู้แต่อยากเป็น พอได้เป็นก็เออ พอใจ ช่วงแรกเราทำงานกับกล้องมากกว่า ถ่ายสารคดีชีวิต ขณะที่ช่างภาพคนอื่นรับถ่ายพวกงานรับปริญญา เราทำไม่เป็น แต่คนทำแบบนั้นมาก หนักเข้ามันก็เป็นแค่ช่างภาพรับปริญญา ไม่ไปไหน ไม่มากกว่านั้น ของเราถ่ายด้วยความคิดนักหนังสือพิมพ์ ดูรูปมาก ชอบศึกษาเอง การเรียนในระบบนี่ไม่เอาเลย เบื่อ ให้อ่านหนังสือ ๓ เล่มมาสอบ ไม่เอา อ่านเอง อ่านได้เป็นร้อย นี่เรื่องจริง

คุณมีวิธีสะสมความรู้ยังไง ทำไมดูเหมือนรอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง
อ่านหนังสือ อ่านมาก อ่านเร็ว ความจำใช้ได้ อยากเป็นนักอ่านมากกว่านักเขียน เราเป็นคนอยากรู้ ชอบรู้ ไปไหนไม่เคยเหงา คุยกับเขาไปเรื่อย บนเครื่องบินยังคุย ถือแก้วเหล้าไปคุยหน้าห้องน้ำ กินไปคุยไป ทำให้ได้ทรรศนะต่างๆ การผ่านงานนักข่าวทำให้ไม่เขินที่จะคุยกับคน มีมนุษยสัมพันธ์ ใครเดินผ่านมา คุยได้ ขึ้นรถไฟก็คุยตลอดทาง ตอนกินเหล้าจุๆ นั่งจนตีสองตีสาม ชอบคุยกับคนแปลกหน้า ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากอยู่คนเดียวเท่าไร

ใครที่กลัวเหงาก็คุยกับคนสิวะ เราคุยได้หมด ถึงบอกว่างานเราไม่มีพล็อต มันเป็นไปเอง ถ้าเปิดด้วยผู้ชายหน้าแบบนี้ เดินมาร้านเหล้า เรารู้เลยว่าเขาจะสั่งอะไร

เคยดูหนังสั้นในทีวีไหม เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีแต่ความทุกข์ เหมือนเรื่องสั้นยุคนี้ ไม่ว่าสนามไหน ใครเป็นคนวางกฎเกณฑ์ไว้ว่าต้องเศร้า ต้องทุกข์ ทำไมวะ เขียนเรื่องสนุกบ้างไม่ได้หรือ ใครออกกฎว่าเรื่องสั้นต้องเศร้า เดินบนถนน รถเมล์เที่ยวสุดท้ายมาแล้วก็ไม่รับทุกที ฝนตก เดินเหงา รันทดเหลือเกิน เรื่องในโลกมีแค่นี้เองหรือ

สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้วุ่นวาย คุณนึกอยากเขียนเรื่องการเมืองบ้างไหม
มันไม่รู้จริง เพราะไม่ได้อยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แล้ว อยู่ที่นี่สมมุติฐานเราไปไม่ถึง อ่านจากข่าวอย่างเดียวข้อมูลไม่พอ รู้ไม่จริง เขียนได้ไม่ดีหรอก แม้ว่าแง่มุมเรื่องการเมืองมีไม่มาก ทรยศหักหลังต่อประชาชน หักหลังกันเอง สมมุติเอาก็ได้ แต่ไม่มีรายละเอียดร่วมสมัย ต้องอยู่ในสนามข่าวกรุงเทพฯ ถึงจะทำได้

อยากเขียนเรื่องที่ดินที่ถูกบุกรุกทำสนามกอล์ฟ รีสอร์ต ต้องเขียนอย่างน้อย ๓๐ ตอน ตั้งแต่ผืนดินสงบๆ นายทุน
เข้ามากว้านซื้อ แย่งน้ำชาวนา กอล์ฟกินน้ำจุ คิดไว้แต่ไม่ได้ทำ ไม่มีแรง เรื่องโสเภณีก็คิด แต่เบื่อที่จะเขียนซ้ำซาก โสเภณีตอนนี้พ้นยุคถูกบังคับให้เป็นแล้ว ส่วนใหญ่เต็มใจเป็น จำเป็นต้องเป็น สังคมแย่เพราะรัฐบาลให้การศึกษาไม่ทั่วถึง รัฐบาลไม่สามารถทำให้สวัสดิการสังคมเสมอภาคกัน มันไม่ใช่ความผิดที่คนอยากเป็นโสเภณี เช่นเดียวกับไม่ใช่ความผิดที่อยากเป็นนักร้อง บ้านเมืองตอนนี้กับเมื่อก่อนต่างกันโดยรายละเอียด เนื้อหาไม่ต่าง ปัญหาใหญ่คือความไม่เป็นธรรม

พอมองเห็นทางออกไหม ว่าประชาชนควรอยู่ยังไงทำยังไง
คิดไม่ออก คิดได้อย่างเดียวว่าเราต้องมีนักการเมืองที่มีคุณธรรม ต้องมีรัฐบาลที่คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง ขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องช่วยตัวเอง ไม่เลือกคนเลวมาเป็นรัฐบาล และมีหน้าที่บากบั่นฟาดฟันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น การเมืองส่งผลสูง กระทบกระเทือนไปหมด เด็กรุ่นใหม่พลอยมองโลกแง่ร้าย เบื่อการเมือง เพราะไม่เคยเห็นอะไรดีสักอย่าง

ตอนเราอายุน้อยๆ ไล่ขึ้นมาจนสามสิบสี่สิบ รัฐมนตรีมีเกียรติมาก เดี๋ยวนี้แม่ง แค่รัฐมนตรี เด็กพูดแบบนี้ เด็กไม่เห็นว่ารัฐมนตรีมีเกียรติเลย แสดงว่าคุณภาพรัฐมนตรีต่ำมาก เมื่อก่อนรัฐมนตรีมีเกียรติ เป็นคนระดับหัวกะทิ เป็นเพชรของประเทศ รัฐมนตรีเดินมา ต้องลุกขึ้นยืนโค้งคำนับ แม้ว่านั่งกินเหล้าอยู่ เด็กเดี๋ยวนี้ไม่สน ไม่รู้จักด้วย รู้จักก็ไม่อยากไหว้ แค่ไม่ถ่มน้ำลายรดใส่ก็บุญแล้ว

ฟังเหมือนน่าสิ้นหวังเกินไปไหม
ต้องอดทนอยู่ให้ได้ มัธยัสถ์ พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เราไม่ชอบให้รัฐบาลมายื่นเงินให้ แต่คุณควรทำถนนให้ดี ทำโรงพยาบาลให้ดี ทำโรงเรียนดีๆ ไม่ใช่ว่ามาให้ข้าวสาร ให้เงิน แค่ปกครองให้เป็นธรรมก็พอ นี่เปลี่ยนรัฐบาลที เข้ามาก็รู้ หน้าซ้ำๆ หรือเปลี่ยนก็เป็นญาติพี่น้องผลัดกันมาโกง ไม่เห็นมีสติปัญญา ไม่มี pearl of wisdom คือไม่มีไข่มุกทางปัญญา มีแต่ผรุสวาท

ไม่ต้องอะไร แค่พาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เอายังไง ไม่มีใครตอบได้ว่าจะยึดหรือไม่ยึด คนหนุ่มสาวจะหวังอะไร คนหนุ่มสาวสำคัญนะ ผู้ใหญ่ทำตัวไม่น่ากราบไหว้ เขาสิ้นหวัง รัฐมนตรีเดินมา ๓๕ คน เราไหว้คนไหนได้บ้าง ไม่มีเลย มีแต่ข้าราชการอยากไหว้ เพราะอยากได้ลาภ ยศ คนธรรมดาไม่อยากไหว้ เพราะเห็นหน้าก็รู้แล้วไอ้นี่เข้ามาโกง เด็กสมัยนี้ฉลาดมาก ประชาธิปไตยคืออะไร ครูสอน นักการเมืองประมาทประชาชน ชอบเรียกร้องให้ประชาชนสงบ แต่เขาเองกลับเป็นคนก่อกวน ไม่อยากสงบ เขายั่วยุให้คนเบื่อหน่ายการเมือง ให้คนเป็นอริกับการเมือง เพื่อว่าจะคอร์รัปชันได้โดยไม่มีคนสนใจได้อ่าน นินทานายกรัฐมนตรี ที่เราเขียนไหม ในนั้นพูดไว้ชัดว่านักการเมืองไทยคดโกง คอร์รัปชันยังไง เรียกค่าน้ำร้อนน้ำชา หรือ tea money ยังไง เมื่อก่อนเขาเรียกว่า unpredictable corruption คือคาดคะเนไม่ได้ สมมุติคุณเป็นรัฐมนตรี ปีนี้เราค้าขายดี เราก็เอาเงินไปให้ ๒ ล้าน เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา แต่ปีหน้าค้าขายแย่ นายเอาไปแสนหนึ่งแล้วกัน แต่ต่อมาหลังจากเรารู้จักอเมริกา ราวๆ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ มันเคลื่อนมาสู่การคดโกงแบบใหม่คือ predictable corruption ระบุไว้ชัดเจนว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของผลกำไร รู้เลย ให้ตัวเองกี่เปอร์เซ็นต์ ให้พรรคกี่เปอร์เซ็นต์ อันตรายมาก เป็นแบบแผน ของเดิมไม่อันตรายเท่าไร เบากว่า เซ็งลี้ฮ้อ เอาไปมากหน่อย เป็นมิตรจิตมิตรใจ คนรับก็ไม่โกรธ แต่ถ้าอย่างหลังนี่ไม่ได้ คุณไม่ให้ ผมตัดสัมปทานคุณ

เท่าที่ติดตามข่าวสารใกล้ชิดมานาน คุณคิดว่านักการเมืองเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาขึ้นบ้างไหม
โกงแนบเนียนขึ้น แนบเนียนจนไม่แนบเนียน อย่างเรื่องโกงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีคนบางกลุ่มพอใจเพราะได้รับส่วนแบ่ง ลูกน้องและบริวารได้เงิน ก็ชื่นชมว่าคุณเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่ชาวนาอยู่ขอนแก่น หรือชาวสวนลองกอง เขาไม่มีส่วนแบ่งด้วยเลย มันไม่แฟร์ จริงๆ ทุกคนต้องได้รับส่วนแบ่งจากสาธารณูปโภคอย่างเท่าเทียม ถนนในจังหวัดนราธิวาสต้องดีเท่าทางไปบ้านนายกรัฐมนตรี อาหารที่ชาวนากินทุกมื้อก็ไม่ควรแตกต่างจากอาหารนายกรัฐมนตรีมากนัก ต้องมีคุณค่าอาหารครบ ๕ หมู่ กุ้งอาจตัวเล็กกว่าไม่ว่ากัน ยังไงก็ยังเป็นกุ้งเหมือนกัน นี่ไม่มีเลย อาหารการกินเป็นเครื่องวัดที่ชัดเจนที่สุด

ผลร้ายที่น่ากลัวมากคือ ลูกคนจนกินอาหารเลว ในที่สุดสมองก็เลว เด็ก ๑๐ ขวบวันนี้ วันหน้าคืออนาคตของประเทศชาติ จะทำยังไงถ้าเขาเป็นแบบนี้ การกินอยู่ไม่มีมาตรฐาน ใครจะว่าซ้ำซากน่าเบื่อยังไงก็ช่าง เราว่านักเขียนต้องเขียนเรื่องเหล่านี้ เขียนบอกเล่าความไม่ยุติธรรมในสังคม แต่ทั้งข้าวทั้งเหล้า ถ้าจะเขียนต้องเขียนให้ถูก ตอนเป็นบรรณาธิการ นักเขียนบางคนเถียงเราว่าผมกินเหล้าแบบนี้เสียหายตรงไหน เราบอกเสียสิ เพราะเขาไม่กินกัน มันไม่มีในโลก เรารู้เรื่องเหล้า เราต้องทำให้คนอ่านได้ความรู้ ทำไมกินอาหารต้องกินคอนญัก เพราะมันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิต ระบุได้ต้องระบุไปให้ชัดๆ ว่ากลิ่นแบบไหน เหล้าอะไร

ไม่คิดว่าเป็นเรื่องช่วยเขาโฆษณา ?
เรื่องเล็กน่า สิ่งสำคัญกว่านั้นคือรายละเอียดที่จะอธิบายชีวิตของยุคสมัย บอกนิสัยตัวละคร เช่น นายกฯ ชวน หลีกภัย พาไปกินข้าวที่บ้าน เราต้องบอกว่าบนโต๊ะนั้นท่านกินอะไร จะได้รู้จักอาหาร รู้รสนิยม คนอ่านจะรู้ข้อมูล สนุกด้วย แต่นักเขียนต้องมีศิลปะในการบรรยาย เราคิดว่าเราทำเป็น โดยเฉพาะเขียนเรื่องเหล้า คนอ่านชอบมาก อ่านแล้วอยากกินเหล้า วิธีการเยอะ นักเขียนต้องเข้าใจจริงๆ อย่าว่าแต่เหล้าเลย ปลากระป๋องเรายังละเอียดว่าซาร์ดีนคืออะไร เป็นยังไง เพราะต่อไปมันจะเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์

‘รงค์ วงษ์สวรรค์’ กับต้นไม้นั้นแยกไม่ออก ใครมีโอกาสขึ้นไปเยือนสวนทูนอินสักครั้ง ย่อมสัมผัสได้ถึงความรักธรรมชาติของชายผู้นี้ (งานศพของเขา ญาติประกาศงดรับพวงหรีดแต่ขอเป็นกล้าไม้พันธุ์ใดก็ได้)

เวลาคุยกับคนบนรถไฟ บนเครื่องบิน คุณจดบันทึกไว้ไหม
ส่วนใหญ่จำได้ ยกเว้นที่สำคัญจริงๆ พวกตัวเลขต้องจด เคยพูดใส่เทปเหมือนกัน แต่ไม่มัน ไม่มีฟิลลิ่ง ไม่มีอะไรดีเท่ากับดินสอกับกระดาษ

เรื่องเทคโนโลยี คุณรู้สึกว่าขาดอะไรไปไหม ที่ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เหมือนคนรุ่นใหม
ไม่ เรารู้ว่าอายุเรามากแล้ว เคยลองแล้วด้วย มันไม่ถนัด และสิ่งที่เราทำมาก็ยังใช้ได้ อย่างขับรถ นึกอะไรได้เราให้เมียจด ทำบ่อย พูดไปขับรถไป ถึงบ้านลงพิมพ์ดีดเลย ทำได้ มีสมาธิ ร่างกายดี เมื่อก่อนไม่ลงพุงนะ มาลงพุงตอนป่วย ในชีวิตไม่เคยอ้วนเผละ ป่วยนี่น้ำหนักลดไปสิบกว่ากิโล แต่ลงพุงเพราะไม่ได้ออกกำลัง ตอนหนุ่มๆ เราเป็นคนแข็งแรง พูดง่ายๆ ว่าเอาแล้วผู้หญิงไม่เสร็จถือว่าล้มเหลวมาก ต้องให้ผู้หญิงได้ก่อน เราถึงเสร็จทีหลัง ทำเป็นกิริยาบุญเลย ผู้ชายสะเพร่ามากที่นอนกับเมียแล้วเมียไม่สำเร็จความใคร่ ของเราไม่เคย ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เอาใครเราต้องออกทีหลัง ต้องฝึก ละเลยไม่ได้ ผู้ชายไทยไม่เคร่งครัดเรื่องนี้ เมากลับบ้าน กระแทกๆๆ แล้วนอนแผ่ แย่มาก

เราชอบเขียนเรื่องอีโรติก ชีวิตคนต้องเรียนรู้หลายอย่าง sex education จำเป็นมาก ต้องสั่งสอนกัน เพราะการหย่าร้างเกิดจากเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย กิน ๓ ครั้งอาจเงี่ยนวันละหน หรือ ๓ หนก็ได้ อย่าทำเป็นเล่น

ผู้ชายบางคนชุ่ยจริงๆ มีวิธีตั้งร้อยแปดกลับไม่ค้นคว้าหาวิธีให้เมียมีความสุข คนเราไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะเพศใหญ่ยาวเหมือนหนังโป๊ นั่นมันหนัง ของจริงอาจไม่ใหญ่ยาว แต่เราต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรง เอาไม่เก่งก็ต้องฝึก การเอาต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่อยู่ๆ เกิดมาเอาเก่งเลย เราต้องเรียนรู้สิ

sex education ในเมืองไทยไม่เคยมี อายบ้างอะไรบ้าง บีบเด็กให้เรียนรู้เอง ซึ่งอันตรายมาก ลูกชายเรา ไอ้บักหำน้อย (วงดำเลิง วงษ์สวรรค์) เราสอนเลยนะ แล้วให้มันสอนน้องต่อ บอกพ่อขี้เกียจแล้ว เซ็กซ์เป็นเรื่องจำเป็น เซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมดา

การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าเรื่องเซ็กซ์ เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องแฟชั่น ประเทศไทยการศึกษาเหมือนจะดี แต่ไม่ดี รู้น้อย รู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้เยอะ เปิดอินเทอร์เน็ตแล้วอ้างว่ารู้เยอะ แต่ไปรู้เรื่องไม่ควรรู้ ชีวิตลวกขึ้น รีบร้อน เด็กยุคนี้เสียบไอพอดฟัง ๓,๐๐๐ เพลง แต่ไม่รู้จักคนแต่งเลยสักคน

เรื่องที่คุณเขียนส่วนใหญ่ใช้ประสบการณ์ที่เรียนรู้มาจริง ๆ หรือจินตนาการ
เราเป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องตัวเองมาก ซึ่งผิดจากขนบเดิม เขาว่านักเขียนไม่ควรเขียนเรื่องตัวเอง แต่เราเขียนและมีข้อแก้ตัวในใจ อย่างถ้าเขียนถึงคุณติ๋ม (ภรรยา-สุมาลี วงษ์สวรรค์) ก็ถือว่าเป็นตัวละครในชีวิต เราชอบเขียนเรื่องตัวเองเพราะใครจะรู้จักตัวเองเท่าตัวเรา เขียนจากชีวิตจริงทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องสงคราม ภาพความโหดร้าย ความตายที่เขียนอยู่ในนั้นคือเคยเห็นมาจริงๆ

ในหนังสือ ๒ นาฑีบางลำพู หรือ บูชาครูนักเลง มีความจริงกี่เปอร์เซ็นต
มันน้อยกว่าความจริงอีก ต้องตัดออกไปตั้งเยอะ ความจริงบางทีเขียนไม่ได้ สะอิดสะเอียนเกินไป

นิสัยเราชอบสอดรู้สอดเห็น เจออะไรถามตลอดทาง เป็นคนรู้อะไรต้องรู้จริง บางทีทะเลาะกับคุณติ๋มเพราะเขาไม่มีเซนส์หนังสือพิมพ์ ถามแค่ซื้อของได้แล้วหรือยัง ได้ ขอบใจนะ วางสาย ถ้าเป็นเรา ซื้อได้แล้วหรือ เออ ฝนตกไหม คือมันต้องถาม อยากจะรู้ว่าแม่ค้าบ่นอะไรหรือเปล่า ลำไยถูกหรือแพง เราเป็นคนแบบนี้ เรื่องมาก โทร. เสียตั้ง ๓ บาท ทำไมพูดน้อยนักวะ

ตอนไปทำงาน สยามรัฐ ใหม่ๆ คุณชาย (ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช) แปลกใจนะว่าเด็กขนาดนี้รู้เรื่องบอนสีได้ยังไง ท่านให้เราพาไปเที่ยวนครชัยศรี เป็นเด็กสมัยใหม่ ทำไมรู้เรื่องบอน ปลูกยังไง เอามาจากไหน รู้ เพราะใฝ่รู้ ชอบต้นไม้ด้วย ชอบเขียนสารคดี ทุกเรื่องซอกหลืบกรุงเทพฯ ขุดมาเขียนหมด คนขายกล้วยปิ้ง มันต้องมีอะไรน่าสนใจ เริ่มคัดกล้วย วิธีปิ้ง ระดับความร้อนของไฟ ทำไมล่ะ คนอ่านไม่มีสิทธิ์รู้หรือ นี่คือชีวิตหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นเทคนิค เป็นศิลปะ เราคิดของเราไปเรื่อย บรรณาธิการก็ชอบ คนอื่นไม่ทำ เราทำ

การดองปูแสมไม่ใช่เรื่องธรรมดา ต้องรู้จักคนที่บางปู พายเรือไปกับเขาตอนกลางคืน จุดตะเกียงไปตามแหล่งน้ำที่มีต้นแสม อันตราย งูเยอะ กัดแล้วตาย ชาวประมงเขย่าต้นไม้ให้ตกลงมาใส่ท้องเรือ กลับบ้าน เอาปูใส่โอ่งแช่น้ำเกลือ ดอง ปูเช็ดหน้าร้องไห้ โศกเศร้า เราเก็บมาเขียน คนชอบ เพิ่งรู้ว่าทำปูเค็มแบบนี้ ปูเกาะเป็นพันๆ ตัวที่ต้นแสม ใครเคยเห็นบ้าง ไม่เคยหรอก เราทำมาให้ดู ไม่อยากดูหรือ เมื่อก่อนเราไว แข็งแรงด้วย เขียนเอง ถ่ายรูปเอง เป็นคนขยันมาก ขยันแล้วมีความสุข

ทำไมตอนเขียนคอลัมน์ใหม่ ๆ ถึงใช้นามปากกาว่า “ลำพู”
ก็อยู่บางลำพู*ไง เพื่อนล้อกันใหญ่ว่าดีนะมึงไม่อยู่บางกระบือ (หัวเราะ) เราทำงานไม่มีคำว่าเหนื่อย มีแต่สนุก เลิกงาน กินเหล้าแก้วสองแก้ว ไม่เคยปล่อยตัวจนเละ กินเอาสนุก ช่วงทำงานใหม่ๆ ออกจากบ้านมาแล้ว พ่อยังบอกว่าอยู่ได้ยังไง เดี๋ยวก็ซมซานกลับมา เราตั้งใจว่าไม่กลับ เพราะอยากทำงานหนังสือพิมพ์ อยากเป็นนักเขียน ค้นคว้าเอาเองตั้งแต่ก่อน ๒๐ หัดเขียนบทหนังเอง เข้าโรงหนัง เอากระดาษไปแผ่นหนึ่ง หนังเปลี่ยนมุมครั้งหนึ่งฉีก ลองช็อต ฉีก โคลสอัปฉีก เปลี่ยนทีฉีก จบออกมานับว่าเรื่องหนึ่งมีกี่ช็อต ก็เราอยากรู้ เราหาวิธีศึกษา ดอลลี่ฉีกยาวหน่อย เมื่อก่อนไม่มีโรงเรียนสอน ทุกอย่างขวนขวายเอาเอง หาหนังสือฝรั่งมาอ่าน ถ่ายที่ไหน เบื้องหลังเป็นยังไง เล่มหนึ่งหลายสิบบาท ยุคที่โอเลี้ยงแก้วละ ๕๐ สตางค์ สมัยก่อนกว่าจะเรียนรู้อะไรได้ ไม่ง่ายนะ ตอนเปิดเทคนิคกรุงเทพ ใหม่ๆ ไม่มีคนสอนถ่ายภาพ หาคนสอนไม่ได้ เขามาเชิญเราไปสอน

ตอนนั้นคุณอายุเท่าไร
ยี่สิบกว่าๆ ทำงานได้สักพักเริ่มมีชื่อเสียง นักเรียนถ่ายภาพเทคนิคกรุงเทพ ทุ่งมหาเมฆ รุ่นแรกๆ เรียนกับเรา ได้ค่าจ้างชั่วโมงละ ๒๐ บาท สอน ๒-๓ รุ่น สอนให้เขารักกล้องมากกว่า วิชาถ่ายรูปเพียวๆ เราไม่อยากสอน ชอบสอนการวางมุม การใส่อารมณ์ในภาพ คุณจะถ่ายอะไร

มีถนนอยู่สายหนึ่งตัดเข้ามาในตำบลหนึ่ง จะถ่ายอะไร ถ่ายผู้หญิงหาบน้ำเดินมา ถ่ายคนขับรถ หรือถ่ายหลุมบ่อ ตะเข็บถนนแตกเพราะการคดโกง บางคนไม่รู้จะถ่ายอะไร เราอำมันว่ามึงไปลงนรกเถอะ จะมาเรียนถ่ายรูปทำไม อุตส่าห์ให้โจทย์ขนาดนี้

เหมือนอาจารย์ศิลป พีระศรี ด่าลูกศิษย์ว่าถ้าไม่รู้จักคิด คุณไปรับจ้างทาสีเถอะ อย่ามาเป็นศิลปินเลย

ทุกอย่างต้องฝึก และถ้ามีคนสอนที่ชี้บางจุดให้ มันจะไปได้ไกล เหมือนอ่านนวนิยายภาษาอังกฤษ เขาสอนให้โยนดิกฯ ทิ้งเลย อ่านรอบแรกไปก่อน ไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แล้วย้อนมาอ่านใหม่ คราวนี้เข้าใจหมดเพราะภาษาจะอธิบายตัวมันเอง ถ้าเปิดดิกฯ ตลอดเวลาชาติหน้าก็อ่านไม่ออก หลักการอีกอย่างหนึ่ง เขาบอกให้เลือกหนังสือที่ชอบที่สุด เราเลือกหนังสือโป๊ มันสนุกดี ทำให้อยากอ่านบ่อย อ่านทุกวัน ศัพท์ก็เข้ามาในหัว เปิดดิกฯ จะลืม ถ้ารู้เองไม่ลืม

เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเป็นส่วนมาก ไม่มีใครสอน จนไปอเมริกาถึงเรียนเป็นเรื่องเป็นราว ตอนอยู่ สยามรัฐ เคยเรียนกวดวิชาตอนเย็น เรียนได้ไม่กี่ทีหรอก แต่เรายังโอเคมีเพื่อนนักข่าวบางคนไปด้วยกัน แต่ไม่เคยเข้าห้องเรียนเลย มันนั่งรอที่ร้านเหล้า แล้วก็โง่ไปจนตาย เราไป อย่างน้อยได้วันละหลายคำ เราเป็นคนชอบเรียน แต่ไม่ชอบจริงจังจนได้ปริญญา เบื่อ นี่ไม่ใช่แก้ตัว เบื่อจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเอาปริญญามากมาย บางคนมี ๕ ใบ บ้า เครียดเปล่าๆ ฉลาดแต่ไม่เฉลียว แล้วพวกนี้ส่วนใหญ่จิตใจมัวหมอง เพราะทะเยอทะยานมาก

จิตใจมัวหมองไปทำไม คนเราโกรธได้ แต่อย่าแค้น อย่าเกลียด เราไม่เคยแค้นคน

เราโกรธไอ้ต่วย (วาทิน ปิ่นเฉลียว แห่ง ต่วย”ตูน) เป็นสิบปี จู่ๆ วันหนึ่งมันโทร. มา บอก กูพูดโว้ย เราบอก เออ มีอะไร มันบอก คิดถึงมึง เราบอก กูก็คิดถึงมึง ไอ้ห่า มันถามว่ามึงเลิกโกรธกูยัง เราบอกเลิกนานแล้ว โกรธ แต่ไม่เกลียด มันเลยบอก มึงเขียนเรื่องให้กูหน่อยนะ เราบอกโอเค เดี๋ยวกูเขียนให้ แค่นี้ พูดกันแค่นี้

ทะเลาะกันเรื่องอะไร โกรธนานเป็นสิบป
เรื่องไม่เป็นเรื่อง เขามีลูกน้องเยอะ ขี้ยุ ยุให้ลูกพี่ทะเลาะกัน แล้วก็อย่างที่บอก โทร. มาแค่นี้ พูดกัน ๓-๔ คำ จบ เดี๋ยวนี้ทุกๆ เดือนต้องโทร. หา คุยเป็นชั่วโมง มะเร็งกินตับกินไส้ ฉีดยาเดือนตั้งหลายตังค์ สงสารมัน

นักเขียนมีหน้าที่คิดและเขียน อย่าไปทะเลาะกัน เอาเวลาไปสร้างสรรค์ดีกว่า หาเรื่องเขียนใหม่ๆ ตอนแรกที่เราเขียนเรื่องฮิปฮอป ก็กังวลว่าจะมีคนอ่านไหม ปรากฏว่ามีคนอ่าน เพราะเราเขียนในสิ่งที่คนอื่นเขียนไม่ได้ อารี แท่นคำ บอก ผมอ่านครับพี่ สแลงเยอะจริงๆ ผมไม่รู้เรื่อง เออสิ กูเขียนในสิ่งที่คนอื่นเขียนไม่ได้ไง เรื่องอื่นๆ มึงเขียนอยู่แล้ว กูจะเขียนทำไม

เรื่องฮิปฮอปมีข้อมูลเยอะ และยิ่งเขียนยิ่งอัศจรรย์มาก รากของมันคือการต่อสู้ระหว่างคนดำกับคนขาว การศึกษาน้อยพวกนี้ แต่ปฏิภาณภาษาดีมาก เหมือนเพลง เพลิน พรหมแดน แต่ของเขาพูดยาวกว่า เสน่ห์อยู่ตรงความเก่งเรื่องภาษา จังหวะก็น่าเต้น พูดออกมาเป็นเพลง ต่อว่ารัฐบาลเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม แร็ปหรือฮิปฮอปแล้วแต่จะเรียก ข้อเสียของวงการนี้คือยาเสพติด รวยแล้วทำชั่ว และไม่ค่อยให้เกียรติผู้หญิง เพราะถือว่าเท่ากัน บางอย่างเราไม่กล้าแปล บางเพลงมีคำว่า mother fucker แทบทุกประโยค ใครว่าฝรั่งด่าแม่ไม่เป็น โธ่… ยิ่งค้นยิ่งสนุก มันเป็นอีกแขนงหนึ่งของวัฒนธรรมในโลกสมัยใหม่

ถ้าเขียนเรื่องนี้ตอนอายุ ๕๐ จะมันกว่าไหม
เหมือนกัน หรืออาจไม่มันเท่าตอนนี้ก็ได้ เพลงแรกที่ฮิปฮอปดังมาก ถือว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่คือ “Rapper”s Delight” เนื้อเพลง ๒๐๐ กว่าบรรทัด ทำออกมาปี ค.ศ. ๑๙๗๙ ทำให้คนหนุ่มผิวดำกลายเป็นศิลปินใหญ่ เดี๋ยวนี้พวกผิวขาวร่วมหาแดกด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชอบดูถูก คนดำเก่งเรื่องเต้นรำ มีจังหวะอยู่ในหัวใจ ตั้งแต่อยู่แอฟริกา สมัยอยู่อเมริกา วันเสาร์อาทิตย์เพื่อนเราชอบมาตีกลองริมทะเล เราแซวมันว่ามึงคิดถึงบ้านใช่ไหม ถ้าเป็นคนอื่นพูด มันเตะเอาได้ คือเราล้อว่ามึงมาตีกลองให้ดังถึงแอฟริกา พวกนิโกรฟันแข็งแรงมาก เป็นเหมือนกระดูกที่พ้นสภาพจากความเป็นสัตว์มาไม่นาน นี่พูดในเชิงแพทย์นะ คนพวกนี้ภูมิต้านทานแอลกอฮอล์ต่ำกว่าผู้หญิงผิวขาวอีก เมาง่ายที่สุด เพราะเผ่าพันธุ์ยังค่อนข้างบริสุทธิ์ ขณะที่คนผิวขาวก้าวไปไกลในทุกๆ เรื่อง

รวมทั้งเรื่องเซ็กซ์ด้วยหรือเปล่า
คนอเมริกันไม่ใช่ดอกทองนะ เขาแค่ถือว่าการเอากันไม่ใช่เรื่องผิดบาป เป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อถึงวัยอันควร แต่ต้องป้องกันโรค การท้องไม่ใช่เรื่องเสียพรหมจรรย์ เสียราคาไม่มีความคิดแบบนี้ เราเอาอย่างอินเดีย เอาอย่างจีนซึ่งบางทีมากไปก็ไม่ใช่เรื่อง คนเกิดมาแล้วไม่โดนเอานี่แหละที่จะเป็นประสาท ผิดธรรมชาติ แต่ไม่ใช่เจอใครก็ข่มขืนดะนะครับ นั่นมันผิดกฎหมาย

อเมริกาห้ามมีเมียที่สอง โทษหนักถึงขั้นติดคุก แต่ในชีวิตจริงคนรวยมีเมียน้อยทั้งนั้น มีในรูปแบบอื่น เพราะใจคนอยากมีชู้ บางทีเขาเรียก affair เลี่ยงคำให้เบาลง เมียแอบไปมี affair พ่อเอากับลูก นักเขียนที่โด่งดังมากคนหนึ่งเขียนเปิดเผยเลยด้วยซ้ำว่าชอบเอากับพ่อ เรื่องนี้อื้อฉาวมาก ตอนพ่อแกตายยังปั้นรูปพ่อไว้ในห้องนอนเพราะคิดถึงพ่อ สังคมเขาไม่ค่อยถือเรื่องนี้มากนัก แต่ไม่เปิดเผย เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความลับในครอบครัว หนังฝรั่งมีบ่อย พ่อกับลูกเอากัน แต่เวลาสร้างหนัง เขาใส่เรื่องราวให้มีเหตุผลเยอะ อะไรที่โลกติฉินสร้างเป็นวรรณกรรมยาก

สังคมไทยนี่ไม่ต้องพูดเลย ไม่มีวันอนุญาต เขียนแล้วบรรณาธิการก็ไม่ลงให้ ได้แต่ข้ามๆ ไป ถึงตอนสำคัญข้ามหมด ของเราบางเรื่องถึงได้มาแก้ทีหลังบ้าง อย่าง ดลใจภุมริน ก็แก้ให้เป็นอีโรติก ว่าจะแก้อีก ๒-๓ เล่ม เพราะตอนเขียนลงนิตยสาร บรรณาธิการไม่ลงให้ ตำรวจจับด้วย แค่เขียนว่าลำแขนอันเหี่ยวย่นของโคเฒ่าค่อยๆ แข็ง แค่นี้ก็โดนฟ้องแล้ว

หนังสือหลายๆ เล่มเราถึงบอกไว้ชัดเจนว่าเขียนเท่าที่กฎหมายและสังคมอนุญาต ตอนนี้กฎหมายเดิมก็ยังอยู่ แต่ตำรวจอาจไม่สนใจจับ ของฝรั่งก็ยังไม่อิสระเต็มร้อยคำว่า fuck เคยฟ้องกันถึงขั้นขึ้นศาล กว่าจะให้เขียนได้ ทุกสังคมมีคนดัดจริต อายในสิ่งที่ไม่ควรอาย มือถือสากปากถือศีล ชอบสร้างภาพว่าตนเองเป็นคนดี จริงๆ เหี้ยมาก ชอบสร้างกฎหมายให้ตนเองเป็นคนดี แต่จริงๆ ทำชั่วฉิบหาย มนุษย์เป็นแบบนี้ ชอบสร้างกฎหมายให้ดูว่าพลเมืองประเทศนี้ชั้นหนึ่ง ไม่จริงหรอก เบื้องหลังก็คอร์รัปชันแหลก สำส่อน ผิดลูกผิดเมีย เรื่องมันเป็นแบบนี้ เราเกลียดมาก เสแสร้งไม่เข้าเรื่อง

กะหรี่โดนด่าวันยังค่ำ แต่ลองไม่มีกะหรี่สิ ประเทศไทยจะเป็นยังไง อยากรู้นัก แค่ในงานอาชีพเขาก็ลำบากพออยู่แล้ว นอนกับคนวันละ ๑๐ คน สนุกที่ไหน เหนื่อยแล้วยังโดนด่า มีเรานี่แหละที่ยกย่องโสเภณี

กฎหมายบอกว่าไม่มีโสเภณี สังคมนี้ศิวิไลซ์ จารีตประเพณีดีงาม ไม่มีโสเภณีได้ยังไง (ทุบโต๊ะปัง !) รัฐบาลเลวๆ ไม่เคยทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ท่ามกลางค่าครองชีพสูงลิบ คนมีเมียได้ที่ไหนเดี๋ยวนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวได้เงินเดือน ๗,๕๐๐ แต่งงานได้หรือ รัฐบาลไม่มีความสามารถ ถ้าจบปริญญาตรีเงินเดือน ๓ หมื่นสิ คนจะได้แต่งงานได้ โสเภณีจะได้ไม่มี นี่คนมันแต่งงานไม่ได้ โสเภณีจำเป็นครับ ตำรวจจราจรเงินเดือน ๔ หมื่นสิ ถ้ามันตบทรัพย์เราที เอาเข้าคุก ๑๐ ปีเลย นี่ตำรวจไม่มีจะกิน เมียก็มี ลูกก็มี ถ้าไม่ตบตุ๊กตุ๊ก ก็อดตาย ให้เงินเดือนเขาให้พอใช้สิ ไม่สงสารเขาบ้างหรือ

หลายปีก่อนมีข่าวตำรวจด้วยกันจับตำรวจไถแท็กซี่ ทำมาร์กในธนบัตรไว้เป็นหลักฐาน เอาเงินให้แท็กซี่เป็นเหยื่อล่อ และจับได้ จับลูกน้องตัวเองนั่นแหละ ให้ข่าวหนังสือพิมพ์อย่างกับได้รับชัยชนะใหญ่โต โธ่ มันไม่มีกิน นี่ชัยชนะหรือ นี่คือชัยชนะจอมปลอม เด็กนายสิบไม่มีกิน ลูกไม่มีกิน เมียแอบเล่นไพ่บ้าง ทำไมวะ มันจะโกงสักร้อยสองร้อยไม่ได้หรือ ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เราโกรธมาก เหมือนทีวีช่องไหนล่ะ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ทำข่าวจับส่วยทางด่วน โธ่เอ๊ย มันไม่มีกิน ถ้าพลตำรวจเงินเดือน ๕ หมื่นสิ ถ้าโกง ๕ บาท จับมันเข้าคุก ๕ ปี มันไม่ใช่ไง สภาพสังคมแบบนี้จอมปลอม เล่นละคร ตกแต่งหลอกลวง ชอบเทศนาในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ พูดไปเรื่อย แต่ข้างในเป็นอีกอย่าง เราเป็นคนจริงใจ ตรงๆ ไม่มีความลับ มีอะไรพูดกันตรงๆ

โสเภณีน่าสงสาร เมื่อก่อนคิดว่าควรลงทะเบียนโสเภณี พวกเฟมินิสต์บอกว่านั่นคือการไปตีตราบาปให้ผู้หญิง เราบอกการลงทะเบียนทำให้ติดตามสวัสดิภาพการตรวจโรคได้ คุ้มครองให้พ้นแมงดา ดูแลได้ทั่วถึง แต่พวกนี้ด่าเรา หาว่าสร้างตราบาป ตราบาปที่ไหน ดูสิ หมู่บ้านดอกคำใต้เลิกอาชีพนี้แล้วแต่งงานใหม่ มีลูกเต้า สร้างโบสถ์วิหาร สร้างโรงเรียน คุณรู้ไหม หน้าตรุษสงกรานต์ปีหนึ่ง โสเภณีที่นี่เอาเงินจากการขายตัวส่งธนาณัติกลับบ้าน ไปรษณีย์ไม่มีเงินจ่าย จะเอาที่ไหนมาให้ วันหนึ่ง ๓๐ กว่าล้าน ไม่ได้พูดเล่น นี่คือข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาธรรมศาสตร์ ผู้หญิงเป็นโสเภณีเกือบทั้งตำบล แต่ตอนนี้อย่าไปพูดแบบนี้นะ เขาตีหัวแบะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เขากลับมาอยู่บ้าน แต่งงานกับผู้ชายที่เหมาะสม ทุกวันนี้ไม่ใช่โสเภณีแล้ว เป็นอีกเจเนอเรชันแล้ว ที่พูดคือตอนเราอายุ ๓๐ ตอนนี้กลายเป็นคนรวย มีไร่นา ไม่เห็นเป็นไร ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย ถึงเวลาจำเป็นไปเป็นโสเภณี องค์กรโสเภณีฝรั่งเรียก sex worker เราเข้าข้างโสเภณีมาตลอดชีวิต พอเสนอให้ตีทะเบียน เขาไม่พอใจ เรารักเฟมินิสต์ แต่เรื่องนี้เขาโกรธเรา

เรื่องตำรวจเงินเดือนน้อยก็เข้าใจ ต้องเห็นใจ แต่ถ้าคุณโดนรีดไถกับตัวเองบ้าง จะรู้สึกยังไง
เราไม่ว่า ยินดีให้เลยร้อยสองร้อย เพราะรู้ว่าเขาไม่มีเงินใช้ ให้บ่อยๆ ไป คุณไม่ต้องเขียนข้อหาหรอก เอาไปกินกาแฟ ข้าราชการชั้นผู้น้อยไม่มีอะไรหรอก ประเทศไทยมีปัญหาจากการคอร์รัปชันของผู้ใหญ่ กินกันร้อยล้านพันล้าน เด็กสิบโทสิบเอกไถสามล้อ ช่างมันเถอะ เงินเดือนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ข้าราชการเงินเดือน ๒ หมื่น มีลูกคนหนึ่ง จะกินเหล้าฝรั่งยังไม่กล้ากิน เก็บไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ นานๆ ทีพ่อค้าเชิญไปกินก็กินกับมันบ้างสิ ไม่ใช่เพราะหิวโหย แต่เขาอยากกินเหมือนกัน ห่า มีคนชวนไปกินของดีๆ อร่อยๆ

อาจจะเข้าข้างตัวเอง ไม่รู้นะ แต่เราคิดว่าเราเดินทาง อ่านหนังสือ คุยกับคนมามากพอที่จะเข้าใจอะไรๆ พอสมควร อย่างน้อยก็ไม่คับแคบหรือมองโลกสวยใสเกินไป เราต้องยอมรับความจริง ปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง อาชีพนักหนังสือพิมพ์ทำให้เรารู้ เราเห็น และยอมรับความแตกต่างได้ รับความเจ็บปวดได้

สัปดาห์ละ ๓ วัน สุมาลี วงษ์สวรรค์ จะพาสามีออกจากบ้านไปฟอกไตที่คลินิกกลางเมืองเชียงใหม่

ในวิชาชีพนี้ คุณมีความคิดฝันอะไรแล้วยังไม่ได้ทำบ้างไหม
นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ใฝ่ฝันเหลือเกิน อยากนั่งไปจากเมืองจีน เข้าไซบีเรีย รัสเซีย ถึงมอสโก ขากลับอาจจะตีเข้ายุโรปด้านโน้น แล้วค่อยไปลงลอนดอน ฝันมานาน แต่ทำไม่ได้

เพราะว่าอะไร
อาจจะติดขัดเรื่องเงินหรือเปล่าไม่รู้ อยากไปทริปนี้ อยากไปมาก ตอนนี้ไปไม่ได้แล้ว ขนาดหนุ่มๆ จะไปยังต้องทำเบาะรองตูดด้วย เพราะที่นั่งแข็ง ไม่งั้นถึงมอสโกเป็นริดสีดวงตาย ไอ้ต้อ (บินหลา สันกาลาคีรี) เคยไป บอกไม่ไหว บนรถมีนักเลงมาข่มขู่ผู้โดยสาร

สนใจอะไร ทำไมถึงอยากไปเส้นทางนี้
จากเอเชียไปยุโรป เราอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ มันน่าดู น่าสนใจ ดูชาวนาแต่งตัวเทอะทะ ม้าไถนาขาใหญ่ๆ การเดินทางดีตรงที่ได้เห็น เห็นแล้วทำให้คิด ทำไมคนมีชีวิตอยู่ได้กลางหิมะ กระท่อมหลังนิดเดียว ม้าตัวเบ้อเร่อ ท่าทางเหนื่อย หนาว หิว

วีซ่านักหนังสือพิมพ์เปิดทางให้ได้ไปรู้ไปเห็นทั่วโลก ?
ถูกต้อง และต้นตอแรงบันดาลใจมาจากหนังสือของหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ มีอิทธิพลมากจริงๆ เราอ่านแล้วอยากเป็นนักหนังสือพิมพ์ เพราะ ละครแห่งชีวิต ของท่านเรื่องเดียวเลย อ่านตั้งแต่อยู่มัธยมฯ มีผลสูง ถึงไม่แปลกใจที่พวกคนหนุ่มอ่านงานของเราแล้วอยากเป็นนักเขียน มันส่งผลต่อกันได้จริงๆ

ละครแห่งชีวิต โดดเด่นยังไง ถึงทำให้คุณอยากเป็นนักหนังสือพิมพ์
มันสะท้อนถึงงานอิสระ การเดินทาง การต่อสู้เพื่อเสรีภาพ หลายๆ จุด แล้วแต่วัยของคนอ่านด้วย ถ้าโตหน่อย อ่านแล้วก็มีความคิดอยากต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ถ้าอายุ ๑๕-๑๖ ก็จะได้เรื่องการท่องเที่ยว หนังสือเล่มนี้ทำให้จิตใจเราใฝ่ฝันอยากจะเดินทาง แหม ตัวละครของท่านเป็นนักหนังสือพิมพ์ในอังกฤษ เท่มาก ท่านเขียนเชิง exotic ซึ่งหายากในยุคนั้น คนหนุ่มสาวรุ่นเราอ่านหนังสือเยอะ เราก็ชอบอ่าน นวนิยายเรื่อง มาดามโบวารี ก็ทำให้อยากเป็นนักเขียน เราอ่านมาตั้งแต่เด็ก ตอนสอบสัมภาษณ์ที่ ร.ร. เตรียมฯ เราบอกว่าเคยอ่าน มาดามโบวารี คนสัมภาษณ์งง เขาถามว่าอ่านจริงๆ หรือ รู้เรื่องหรือ อ่านที่ไหน เราบอกร้านหนังสือเช่า เขาไม่นึกว่าเด็กอย่างเราจะอ่าน เกือบบอกอาจารย์ด้วยซ้ำว่าจำได้ขนาดมันเอากันในรถม้ากลางกรุงปารีส

เราเขียนหนังสือมาทั้งชีวิต และถึงทุกวันนี้ก็มีความคิดเสมอที่จะเสนอเรื่องนั้นเรื่องนี้กำนัลผู้อ่าน เหมือนที่กำลังเขียนเรื่องฮิปฮอป บอกเล่าว่ามันมีอิทธิพลต่อโลกและคนไทยยังไง เขียนไปพยายามทำความเข้าใจไป ชอบทำอะไรยากๆ แบบนี้

ต่อไปนี้มีเพีียงสามแม่ลูก คือ สเริงรงค์ (ซ้ายสุด –ก้มกอดร่างไร้วิญญาณของพ่อ) วงดำเลิง และ สุมาลี วงษ์สวรรค์ (ภาพจากงานรดน้ำศพ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒)

ไม่คิดนำเสนอเรื่องทางธรรม หรือเขียนในมิติสงบ ๆ บ้างหรือ
ไม่ใช่หน้าที่ เราไม่ใช่นักบวช คนเราต้องรู้หน้าที่ว่าทำอะไรได้แค่ไหน เราเป็นคนตกปลา อย่าคิดไปยิงกระทิง มันคนละเรื่อง

สมัยที่ยังอายุ ๕๐ ตอนนั้นเขียนให้หนังสือพิมพ์รายวัน ยิ่งต้องคิดใหญ่ พรุ่งนี้เขียนอะไร วางแผน ทำตารางไว้ และไม่เคยจนปัญญา เพราะไม่ได้ตื่นเช้ามาแล้วค่อยคิด แบบนั้นก็ตาย เราต้องคิดไว้ก่อน หลายคนชมว่าเราเขียนคอลัมน์เก่ง อยู่ได้ด้วยคอลัมน์ “รพีพร” (สุวัฒน์ วรดิลก) บอกไอ้ปุ๊เก่ง เขียนนวนิยายไม่กี่เรื่องก็อยู่ได้

ตอนนี้อยากเขียนเรื่องสั้น แต่ไม่มีเวลา เหนื่อย ถามว่าถนัดอะไรมากกว่า ไม่สามารถบอกได้ เรื่องสั้นก็ได้ เรื่องยาวก็ได้ เราเป็น art labor กรรมกรทางศิลปะ นึกจะเขียน เขียนเลย อาจารย์คึกฤทธิ์สอน อย่ามัวอาบน้ำประแป้งอยู่ หยุดเขียนนานๆ ไม่ได้ มันจะฝืด เหมือนเล่นดนตรี เขียนรูป ต้องเขียนบ่อย เขียนสม่ำเสมอ ถึงเอาอยู่มือ

ชีวิตมีแค่นี้ ทำงานเขียนหนังสือของเราไป มีเวลาว่างก็เฮฮาบ้าง ถามไถ่ทุกข์สุขเพื่อนฝูง อะไรจะดีเท่าความรักของเพื่อน เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเพื่อน ถังออกซิเจนนี่ก็เพื่อนซื้อให้ ไม่ใช่ถูกๆ นะ ๗ หมื่น เพื่อนรู้ว่าเราขาด มันบอก กูจัดการให้ จบเลย เราไม่มีปัญญาซื้อเอง เพื่อนคือส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทย ลึกซึ้งมาก คนอเมริกันจิตใจดี แต่คบใครเผินๆ ไม่ค่อยลึกซึ้ง คนอังกฤษคบยาก แต่คบแล้วเป็นเพื่อนแท้ อเมริกันคบกันง่าย แต่พึ่งพาไม่ค่อยได้ ของเราพึ่งพากันได้ เพื่อนร่วมน้ำสาบานนี่เรื่องจริง

กับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ใครแข็งแรงกว่าก็ให้กำลังใจเพื่อน ?
ทำนองนั้น เราคิดว่ากำลังใจเราดี แต่อย่าถามว่ากลัวตายไหม กลัวทุกคน ไม่มีใครรู้จักว่าความตายคืออะไร เพื่อนที่วัยไล่ๆ กันมาป่วยทั้งนั้น ไม่ว่า ต่วย-วาทิน ปิ่นเฉลียว คุณชิว-สุพล เตชะธาดา คุณชิวนี่ถือได้ว่าเป็นหลักไมล์ที่สำคัญคนหนึ่งของวงการหนังสือไทย เป็นคนที่รับพิมพ์งานเล่มแรกของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เรื่อง หนาวผู้หญิง

ทุกคนป่วยหมด อาจินต์ ปัญจพรรค์ ก็ไม่ค่อยสบายนัก เรารู้สึกว่าเราควรจะปลอบใจ ปลอบโยนกันตามโอกาสสมควร เพราะรู้ว่าความตายใกล้มาถึงแน่แล้ว…ของเรากำลังใจดี

สังเกตว่าคุณมักจะล้อเล่นเรื่องความตายได้เรื่อย ๆ
ไม่ขนาดนั้น เป็นสำนวนมากกว่า เมื่อเรารู้ว่าป่วย เราค่อยๆ ปรับตัว ช่วง ๒ ปีแรกที่เป็นไตวาย หยิบอะไรไม่ได้ มันตกจากมือหมด แปรงสีฟันหล่น บุหรี่หล่น ไม่มีแรงจริงๆ หลังจากนั้นเราศึกษาว่าโรคนี้เป็นยังไง ตามสถิติหมอบอกว่าฟอกไตได้ ๑๒ ปี เรายังเถียงกับเมียว่าเราฟอกมากี่ปีแล้ว ถ้า ๗ ปีแปลว่ายังเหลือ ๕ ปี มันต้องตาย หมอบอกว่าไม่แน่ อาจมากกว่าก็ได้ เราไม่เดือดร้อน เพียงแต่คิดเสมอว่าอีก ๕ ปี กูตายแล้ว

ไม่กังวล ?
ไม่ ทำพินัยกรรมแล้ว เงินไม่มีนะ มีแต่ที่อยู่ ต้นฉบับก็กระจัดกระจาย ไม่ได้วางเป็นหมวดหมู่ ยังค้นหาอยู่เลย ทุกอย่างเป็นของลูกของเมีย ทำไว้แล้ว สบายใจ บ้านนี้ยกให้ลูกเมีย บอกเขาว่าอย่าเผาเรานะ ฝังไว้แถวนี้ เลือกที่เอาตามชอบใจ อยู่แถวนี้ อยู่เป็นเพื่อนกัน

เราเป็นห่วงคนที่ยังมีชีวิต กังวลถึงเขา อย่างเมีย กังวลว่าถ้าเราตายแล้วเขาจะอยู่ยังไง ลูก ไม่ต้องห่วง เขาหนุ่ม ต่อสู้ชีวิตได้ แต่ว้าเหว่ กระนั้นก็เถอะ เราเป็นครอบครัวเล็กๆ มีกันอยู่แค่นี้ ผ่านมา ๓๐ ปีมีกัน ๔ คน คนอื่นๆ ก็ห่างกันไปตามวิถีชีวิตซึ่งผูกพัน รักกัน แต่บางสิ่งบางอย่างแม้ไม่อยากใช้คำว่าโชคชะตาก็ต้องใช้ บางทีเราฝืนโชคชะตาไม่ได้ ชีวิตเป็นแบบนี้แบบนั้น เราคิดว่าผูกพันกับความเป็นเพื่อนมาก ชอบเพื่อน รักเพื่อน ฉะนั้นชีวิตในครอบครัวก็เป็นแบบนั้น มีเมียมีลูก ก็เหมือนมีเพื่อนที่ดี

เรายังเชื่อว่าคนเอเชีย โดยเฉพาะคนไทย แกนนำของชีวิตคือเพื่อนมาเป็นอันดับต้นๆ เพื่อนสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นกับชีวิตก็ได้ โชคดีที่มีเพื่อนดีทั้งนั้น เพื่อนไม่เคยทำให้เราเจ็บปวด

รักลูกรักเมีย เหมือนเป็นหนึ่งในเพื่อนของเรา เพียงแต่หน้าที่ต่างกัน

เราผูกพันกับเพื่อนมากที่สุด ถึงสอนลูกว่าให้คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง สิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้ เราเคยไม่มีเงิน ยืมเพื่อน ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วยนะ ยืม ๑๕ สตางค์ ต้องใช้มัน ๒๐ สตางค์ ขมขื่นใจมาก เดี๋ยวนี้คุยกับใคร ถ้าพูดได้จะพูดว่าอย่าเป็นหนี้คน กับเพื่อนฝูง ช่วยได้ช่วยไปเลย

โอกาสจะช่วยเพื่อนมีเสมอในสังคมที่ไม่ทัดเทียมกัน โอกาสและโชคมีไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการเอื้อเฟื้อกันเป็นเรื่องดีที่สุด


* ชื่อตามประกาศของทางการระบุว่า “บางลำภู” ทั้งนี้มีข้อถกเถียงว่าที่ถูกต้องควรเป็น “บางลำพู” เนื่องจากเดิม “บาง” แห่งนี้คงมีต้น “ลำพู” มาก ปัจจุบันจึงยังไม่เป็นที่ยุติ (จาก จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๗๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐)