เรื่อง : ศราวุธ ดีหมื่นไวย์
นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ คณะเทคโนโลยีการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ภาพ : บุญกิจ สุทธิญาณานนท์
ขณะรถเมล์สองแถวสายศาลายา-นครชัยศรี ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่ารถ ผมนั่งหลับตานึกถึงทุ่งนาทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มและเสียงล้อรถไฟสายใต้บดกับรางที่ทอดยาวไปไกลจนลิบตา วันนี้ ภาพเก่า ๆ ที่ตรึงอยู่ในความทรงจำคงย้อนกลับคืนมาไม่ได้ ผมลืมตามองภาพปัจจุบัน ตึกสูงกลืนทุ่งนาในอดีตของผมไปเสียหมด ทุ่งหญ้าที่ผมเคยวิ่งเล่นเปลี่ยนเป็นอพาร์ตเมนต์หรูหรา ป้ายโฆษณาประกาศสรรพคุณหอพัก อพาร์ตเมนต์ และบ้านจัดสรรตั้งเรียงรายตลอดทาง แม้แต่ท้ายรถคันที่ผมนั่งอยู่นี้ก็ยังมีสติ๊กเกอร์ติดประกาศตัวขนาดยักษ์
กิจการหอพักในละแวกบ้านผมคงเป็นเรื่องที่กำลัง “อินเทรนด์” ในยุคนี้ มันคือกระแสใหม่ที่จะทำให้ผู้ประกอบการทั้งคนในพื้นที่และนอกพื้นที่กอบโกยกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ผลพวงที่ตามมาคือ มันยังได้กลายเป็นแหล่งมั่วสุมของผู้เสพยาเสพติด จนอาจก่อตัวเป็นแผลร้ายในสังคมที่ยากจะเยียวยาหาทางแก้ได้
หอพักนักเสพกัญชา
บนถนนจุดสิ้นสุดทางเท้า เน็ตตะกร้อถูกขึงกับรั้วในตรอกแคบ ๆ ชายกลุ่มหนึ่งส่งเสียงสำเนียงอีสานโต้ตอบกันไปมา ผมกวาดสายตาจนพบชายหนุ่มผิวขาวร่างท้วม ท่อนบนเปลือยเปล่า แผ่นหลังและใบหน้าชุ่มด้วยเหงื่อเม็ดเป้ง ผมรอเวลาจนฟ้ามืดกว่าวงตะกร้อที่มีเงินเป็นเดิมพันจะเลิกรา
เอก (นามสมมุติ) เล่าถึงกัญชา หรือเรียกอีกชื่อว่า “เนื้อ” ในความหมายของนักเสพว่า “ผมเริ่มเสพตอนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด ลองเสพเพราะอยากตามเพื่อน จนได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ มาอาศัยอยู่หอพัก เพื่อนก็ชวนเสพอีก แต่ไม่ได้เสพเป็นประจำเหมือนเมื่อก่อน เวลามีถึงเสพ ไม่มีก็ไม่เสพ ไม่ถึงขนาดต้องไปแสวงหา เสพได้ทุกเวลา แต่ส่วนมากจะเสพกับเพื่อนเพราะจะช่วยให้คุยกันสนุกขึ้น
“เวลามีบุหรี่ยัดไส้กัญชาก็เอามาสูบด้วยกันในหมู่เพื่อน บางทีก็ปลูกใส่กระถางต้นไม้ไว้ในหอพัก หรือไม่ก็เดินออกไปซื้อกัญชาแห้งอัดแท่งราคา ๒๐-๕๐ บาท ใช้ใส่ในต้มไก่บ้าง หรือยัดในบุหรี่ก็ได้ ขอแค่มีใบใช้ได้หมด”
เม็ดเหงื่อบนใบหน้าชายหนุ่มเริ่มแห้ง เขาเอื้อมมือหยิบบุหรี่มวนยับยู่ยี่ขึ้นมาสูบ
“ตอนแรกที่สูบรู้สึกหนักหัว มีอาการเคลิ้มเหมือนคนเมาเหล้า ต่อมาเริ่มหัวเราะสนุกสนาน ม่านตาแดง มีน้ำตาตลอดเวลา เริ่มอยากดื่มน้ำ ถ้าสูบเข้าไปมาก ๆ จะอ้วก โลกจะหมุน มีอาการหลอนถึงขนาดเห็นหนูเป็นช้างได้
“แต่ข้อดีของมันคือทำให้กินข้าวได้อร่อยขึ้น หลายคนที่เบื่ออาหารก็ใช้ใบกัญชาใส่ในอาหาร กัญชาเป็นยาเสพติดอมตะ จะให้ไปเสพอย่างอื่นก็คงไม่เอาเพราะเราไม่มีเงิน เคยเสพยาบ้าแต่รู้สึกว่าไม่ชอบและแพงด้วย พอได้ลองกัญชารู้สึกชอบมากกว่า”
เมื่อถามถึงวิธีการอำพรางกลิ่นในเวลาที่เสพกัญชา ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพร้อมยื่นบุหรี่อีกครึ่งมวนให้เพื่อนผู้หญิง
“คนที่ไม่เคยสูบจะไม่รู้กลิ่น แต่คนที่เคยสูบจะดูออก เดี๋ยวนี้พัฒนาเป็นบุหรี่ยัดไส้ที่มีกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ มันจะช่วยกลบกลิ่นกัญชาได้มาก หาได้ตามผับ ตกราคา ๑๘ มวน ๕๐๐ บาท
“เสพโดยยัดไส้ในบุหรี่สะดวกกว่าใช้บ้องซึ่งพกพาลำบาก แต่จะไม่เมาเท่าสูบบ้องเพราะควันจะเข้าปอดโดยตรง ยิ่งถ้าเสพโดยใช้ดอกกัญชาจะยิ่งเพิ่มฤทธิ์ให้เมามากขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่มาอยู่หอพักที่กรุงเทพฯ มักจะเสพโดยยัดไส้ในบุหรี่มากกว่า เวลาตำรวจหรือใครมาตรวจจะได้ไม่เป็นหลักฐาน ของอย่างนี้ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
“ตำรวจหรือผู้ดูแลหอพักไม่เคยเข้ามาตรวจ เพราะเวลาเราเสพไม่เคยสร้างความรำคาญให้ห้องข้าง ๆ เราจะอยู่แต่ในห้องของเรา ไม่ออกไปวุ่นวายข้างนอก อาจมีเปิดเพลงเสียงดังบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนข้างห้องหรือผู้ดูแลหอพัก” ชายหนุ่มกล่าวก่อนเดินลับหายไปในเงามืด
ปาร์ตี้ยาอี
ต้นเดือนตุลาคม ฝนหลงฤดูยังไม่ยอมหยุดทิ้งสาย ผมนั่งคอยหญิงสาวที่ยินดีจะพูดคุยกับเราใต้ต้นไม้ใหญ่กลางมหาวิทยาลัย
“ขั่นเจ้าได้ขี่ซ่างกั้งห่มเป็นพญา อย่าสิลืมซ่าวนาผู้ขี่ควายคอนกล้า” ข้อความบนแผ่นป้ายไม้อัดผุเปื้อนฝุ่นฝั่งตรงข้าม คือข้อความเตือนใจลูกอีสานหลายคนที่ทิ้งท้องนาเข้ามาศึกษาในมหานคร ชั่วครู่หญิงสาวที่ผมรอก็มาถึง
เล็ก (นามสมมุติ) ผิวขาว ริมฝีปากแดง ผมยาวตามแบบหญิงสาวที่ราบสูงบอกเล่าเรื่องราวของตนให้ฟังว่า
“ตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ ๖ เริ่มสูบบุหรี่ ต่อมาก็เริ่มลองยาอี แล้วก็เลิกเสพไปสักพัก หลังจากนั้นก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พอมาอยู่หอพักก็เริ่มเสพอีกเพราะอยากเข้าสังคม รุ่นพี่ที่มาชวนโดยมากมีแต่คนรวย ๆ เลยอยากรู้จักกับพวกเขา วันนั้นเขาชวนไปงานปาร์ตี้ที่อพาร์ตเมนต์ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่ามีการเสพยา พอตกกลางคืนพวกรุ่นพี่เขาชวนให้เสพยาอีก็เลยกลับมาเสพอีกครั้ง เมื่อก่อนไม่ได้เสพเป็นประจำ แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เริ่มเสพบ่อยขึ้นเพราะรุ่นพี่จัดงานปาร์ตี้แบบนี้กันเป็นประจำ บรรยากาศในงานปาร์ตี้ทุกคนสนุกกันหมด แล้วถ้าเรานิ่งเงียบไม่สนุกอยู่คนเดียวก็ดูแย่ เลยต้องกลับมาเสพอีก
“ฤทธิ์ของยาอีจะทำให้เรารู้สึกสนุก ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เต้นได้กระจาย ยิ้ม หัวเราะ เบลอ ๆ แต่พอหมดฤทธิ์ยาก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม โดยส่วนตัวเราไม่มีความทุกข์ แต่อยากสนุกมากกว่า มันช่วยเพิ่มความสนุกมากกว่าตอนที่เราไม่ได้เสพ อีกอย่างเรามองว่าเป็นสังคมของคนหรู ๆ คนที่เสพส่วนมากจะมีปัญหาหรือไม่ก็พวกคนรวยที่อยากรู้อยากลอง
“ราคายาอีตกประมาณ ๓๐๐-๕๐๐ บาทต่อเม็ด เทียบกับยาอื่น ๆ ก็ไม่แพงกว่ากันมากนัก แต่ยาอีจะดูมีระดับกว่าหน่อย วิธีการเสพใช้กินกับน้ำเหมือนยาทั่วไป สามารถกินกับเหล้าและเบียร์ได้ เม็ดเดียวก็สนุกได้ทั้งคืน”
หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกับหยิบกระจกเงาในกระเป๋ามาส่องดูรูปโฉมของตน
“โดยมากเสพที่คอนโดของรุ่นพี่ เขาจะโทร. นัดกันในกลุ่มคนรู้จัก ตำรวจไม่เคยเข้ามาตรวจเพราะเราไม่ได้ส่งเสียงรบกวนหรือทำให้เขาสงสัย และตามคอนโดหรู ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นห้องแบบเก็บเสียงอยู่แล้ว ส่วนผู้ดูแลคอนโดเขาก็ไม่ว่าอะไรเพราะเราเดินเข้าออกกันเป็นปรกติ
“งานปาร์ตี้จัดขึ้นสัปดาห์ละ ๓-๔ วัน เราจะใช้ยาครั้งละเม็ด ถ้าเราไม่เข้าไปในงานก็ไม่รู้สึกอยากเสพ แต่ถ้าเข้าไปในงานเมื่อไรจะรู้สึกอดไม่ได้ อยากจะเสพ
“เงินที่นำมาซื้อยาส่วนมากเป็นเงินที่แม่ส่งมาให้ และเราก็ทำงานพาร์ตไทม์ควบคู่ไปด้วย พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดไม่รู้ว่าเราเสพยา บางครั้งเงินไม่พอใช้ก็โกหกพ่อแม่เพื่อขอเงิน มีหลายครั้งที่ขอเงินทางบ้านไม่ได้ก็เคยคิดจะไปขายตัวกับพวกเสี่ยๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเราเคยผ่านผู้ชายมามากแล้ว ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่ได้เงินมาใช้ในสิ่งที่เราต้องการก็พอ เงินนอกจากจะใช้ซื้อยามาเสพแล้ว ยังใช้ซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ทำผม ขัดตัว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหัวเราะร่วน
ระหว่างเปิดตลับแป้งพร้อมแต่งแต้มใบหน้า เธอกล่าวต่อไปว่า “คงจะไม่เลิกเสพเพราะเราไม่ได้ติด แต่ที่จริงยังอยากสนุกไปเรื่อย ๆ อายุเรายังน้อย ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องจริงจังกับชีวิต”
จากนักเสพสู่นักค้ายาบ้า
“น้อยคนที่เคยติดคุกแล้วจะกลับออกมาเป็นคนดีได้ มีแต่จะยิ่งรอบคอบและเจนจัดยิ่งกว่าเดิม” บอย (นามสมมุติ) ปรายหางตาไปยังตำรวจสายตรวจ ก่อนจะกำชับให้ผมเร่งฝีเท้าตามขึ้นไปยังห้องของเขาในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง
ภายในห้องพักขนาดไม่กี่ตารางเมตร ข้าวของถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบโดยแฟนของบอย เขาถอดเสื้อออกพร้อมกับดึงผ้าม่านปิดกั้นแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ ๆ แล้วเริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้น…
“ผมเริ่มเสพยาอย่างจริงจังตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ ๒ ช่วงนั้นพ่อแม่หย่าร้างกัน ผมต้องออกมาอยู่หอพักตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนกลางคืนเพื่อนก็ชวนไปเที่ยว ครั้งแรกที่เสพคงเป็นเพราะเราอยากลองมากกว่า ตอนนั้นนั่งเล่นไพ่กันอยู่ในวง เพื่อนก็ยื่นยาบ้ามาให้เลยลองเสพดู หลังจากนั้นก็เริ่มเสพติดต่อกันเพราะช่วงนั้นแถวต่างจังหวัดยังหายาบ้าได้ง่าย พอมาอยู่หอพักที่กรุงเทพฯ เหมือนว่าเรามาเจออะไรที่ไม่เคยลองก็ลองเล่นดู กลายเป็นทำให้เราหันมาเสพยาเสพติดมากขึ้น ทั้งยาบ้าและกัญชาควบคู่กัน ส่วนยาอย่างอื่นก็แล้วแต่โอกาส ตอนเสพเราคิดแค่ว่าสนุก ๆ มันเป็นกำไรชีวิตอีกอย่างหนึ่ง
“เวลาเสพจะเริ่มจากยาบ้าก่อนเพื่อทำให้ตื่นตัว จะสนุกมากหากอยู่ในกลุ่มเพื่อนเยอะ ๆ แต่พอถึงช่วงที่ยาหมดฤทธิ์แล้วจะปวดเมื่อยตามร่างกาย เราต้องหามาเสพใหม่ไปเรื่อย ๆ ยาบ้าจะออกฤทธิ์ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับเด็กผสมสาร หลังจากยาบ้าเริ่มหมดฤทธิ์เราจะใช้กัญชาต่อ เพราะกัญชามีฤทธิ์ทำให้ผ่อนคลายหลังจากที่ใช้ยาบ้า ส่วนมากนักเสพที่มีกัญชากับยาบ้ามักเสพยาบ้าก่อน ถ้าเสพกัญชาก่อนแล้วมาเสพยาบ้ามันจะไม่ออกฤทธิ์ เสียของเปล่า ๆ
“สำหรับการกลบกลิ่นยาบ้า เพียงแค่สูบบุหรี่เราก็กลบกลิ่นยาบ้าที่เสพได้จนหมด แต่ถ้าเป็นกัญชา กลิ่นมันแรงและเป็นกลิ่นเฉพาะ แค่บุหรี่จะกลบกลิ่นไม่อยู่ เวลาสูบกัญชาในหอพักต้องให้พัดลมเป่าไล่ควันออกไปจากห้องด้วย ไม่อย่างนั้นกลิ่นกัญชาจะติดหมอนหรือที่นอนจนคลุ้งไปทั่วห้อง เป็นที่ผิดสังเกตได้
“เวลาเสพเราจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องตลอด แต่พวกที่โดนจับส่วนมากเสพยาแล้วก็ลงไปเดินเล่นนั่งเล่นบ้าง คนจะสงสัยว่าทำไมพวกนี้มันไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน บางทีกลิ่นก็ลอดออกไปข้างนอกห้อง”