พระสงฆ์ออกบิณฑบาตบนถนนนครสวรรค์ ซึ่งถูกผู้ชุมนุมปิดกั้นจนไม่มีรถวิ่ง
13 เมษายน 2552
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องจารึกอีกครั้งว่ากรุงเทพฯ ตกอยู่ในภาวะมิคสัญญี
ถนนสายหลักในกรุงเทพฯ ส่วนมากถูกปิดโดยกลุ่มผุ้ชุมนุมเสื้อแดง
ความรุนแรง ข่าวลือ ความหวาดกลัว ความหวาดระแวงปกคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ประเทศไทยตกเป็นพาดหัวข่าวของสำนักข่าวระดับโลกอีกครั้ง จากการจลาจลครั้งนี้
เช้ามืดวันนี้ฝนตกลงมาปรอยๆ ผมออกเดินไปตามถนนราชดำเนินนอกตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง
แล้วก็พบว่ารถเมล์ถูกนำมาขวางสี่แยกต่างๆ แทบทุกจุดทั่วเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน
บริเวณห้าแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
รถเมล์สองคันนี้จะถูกเผาในบ่ายวันเดียวกัน
การ์ดเสื้อแดงเตรียมพร้อมแทบจะทุกจุดเข้าออก
เขาห้ามเราถ่ายรูปอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ทำให้เราไม่กล้ายกกล้องเท่าใดนัก
ท่าทีคุกคามเห็นได้อย่างชัดเจนในแววตาของพวกเขา
การตั้งแถวเตรียมรับการสลายม็อบ ของ นปช. คนที่ ๒ จากซ้าย ชี้เราคุกคามและห้ามถ่ายรูป
ยิ่งมีข่าวว่าการสลายการชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดงมีผู้บาดเจ็บ บรรยากาศก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ประกาศบนเวทีชุมนุมป่าวประกาศก้องว่ามีคนถูกยิงตายในการสลายการชุมนุมที่ดินแดงลั่นเวที
ถ้านี่เป็นเรื่องจริงไม่เคยมีรัฐบาลไหนผ่นวิกฤติไปได้โดยไม่ล้มครืน
ทว่า ข่าวนี้จริงหรือ ดูเหมือนผู้ชุมนุมจะไม่มีใครตั้งคำถามนี้ ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องปลุกระดมตามแกนนำ
บริเวณด้านหน้าเวที ถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล บรรยากาศชื้นแฉะ คนส่วนมากหลบฝนเข้าไปอยู่ในเต็นท์ผ้าใบ
บรรยากาศหน้าเวที
ผมเดินทะลุเข้าไปด้านหลังเวทีด้วยการใช้สะพานไม้ข้ามคลองหน้าทำเนียบ ไปจนถึงอีกสุดปลายหนึ่งของขบวน
ที่แนวตั้งรับด้านหน้าสนามม้านางเลิ้ง มีกลุ่มเสื้อแดงมาเสริมเป็นระยะ มีคนที่ดูเหมือนจะมาจากจุดเกิดเหตุเข้ามากระจายข่าว
ด้วยสถานการณ์ ด้วยอารมณ์ ผมสังเกตว่าในหมู่พวกเขาไม่มีใครตั้งคำถามกับเรื่องนี้เลย
เหมือนที่นักรัฐศาสตร์คนหนึ่งว่าไว้ เมื่อคนรวมกันเป็นฝูงชน ข้อเสียคือความสามารถในการตัดสินใจลดลง
จากการฟังข้อมูล การปลุกระดมของแกนนำ ที่สำคัญที่สุดคืออิทธิพลจากสภาพแวดล้อมที่อยุ่รอบตัวแทบจะตลอดเวลา
การปิดกั้นถนนนครสวรรค์เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่สนามม้านางเลิ้ง
จากการสังเกตสมาชิกเสื้อแดง หลายคนนั้นมีการตัดสินใจที่เป็นของตัวเอง แต่หลายคนก็มีอาการคึกคะนองโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น
แน่นอนมีคนกลุ่มหนึ่งที่ผมสังเกตพบว่าเป็นกลุ่มที่ Hard Core ถืออาวุธ เช่นดาบและไม้หน้าสาม
แต่เทียบกับม็อบพันธมิตร พวกเขามีอาวุธน้อยกว่ามาก
สายวันนั้นผมยังได้ข่าวเพิ่มเติมมาอีกว่า เสื้อแดงกลุ่มหนึ่งนำรถแก๊สมาจอดขวางถนนแถบแฟลตดินแดง
เรื่องนี้ยืนยันว่าการจัดตั้งของพวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีการวางระบบการนำของกลุ่มย่อยต่างๆ ที่ดาวกระจาย
แกนนำจึงไม่สามารถควบคุมฝูงชนได้ทั้งหมด
เพื่อนผมที่อยู่สำนักข่าวหนึ่งบอกว่าว่าเขาไม่ได้ เพราะทุกม็อบก็เป็นแบบนี้
แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าคุมไม่ได้แกนนำก็ควรประกาศ “ตัดหาง” สีแดง ที่ไม่สู้ในแนวทางสันติผ่านสื่อได้มิใช่หรือ
อย่างน้อยก็เป็นการแสดงเจตนาต่อสู้ตามแนวทางสันติ อหิงสา มิใช่เอาประชาชนเป็นตัวประกันซ้ำรอยกลุ่มพันธมิตร
ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือช่วงสาย แกนนำเสื้อแดงประกาศไม่รับรองความปลอดภัยของนักข่าวภาคสนาม
ทั้งๆ ที่นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยให้ภาพการต่อสู้ของพวกเขาออกสู่สังคม
ดูเหมือนนักข่าวทุกคนจะโดนยัดข้อหา “บิดเบือนข่าวสาร” แบบตีขลุมไม่ว่าจะมาจากสำนักไหน
ผมต้องถอยออกมา เพราะคิดว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยงกับฝูงชนที่ควบคุมไม่ได้
ชายคนนี้คงกำลังอธิษฐานบางอย่าง ในระหว่างใส่บาตร
วันนี้พระสงฆ์ยังคงออกบิณฑบาตตามปรกติ
11.00 น.
ผมกลับที่พัก หาข้าวกิน นอนเอาแรง และเตรียมตัวออกมาดูสถานการณ์ช่วงบ่าย
สถานการณ์ทั่วกรุงเทพฯ ยังคงตึงเครียด
ยินดี ที่ปลอดภัยจากฝูงชน
” ไม่ต้องห่วงผม ผมเอาตัวรอดได้ แต่ห่วงพี่น้อง ถ้าเมื่อไร…เสียงปืนแตกและทหารยิงประชาชน…ผม…จะนำขบวนพาพี่น้องเข้ากรุงเทพทันที!!! ”
เราต้องมั่นใจในคำพูดของผู้นำสูงสุดของเรา…นะพี่น้อง !!!
I hope that at this time, the tension have subsided somehow. I wish that everyone will realize earlier that progress cannot be achieved through violence and hatred.
Cheers!
Sophie of Mutiara