ด.ญ. ธัญรัตน์ วงศ์ใหญ่

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ. อุบลราชธานี

เรื่อง ฉันรัก...หนังสือ

ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก หนังสือหลายเล่มเคยผ่านตาฉันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออ่านเล่น วรรณกรรม การ์ตูน นวนิยาย นิทาน หนังสือแปล สารคดี ฯลฯ หนังสือบางเล่มฉันก็ซื้อเอง บางเล่มก็ยืมมาจากห้องสมุด บางเล่มยืมเพื่อนมาอ่าน ในยามที่ฉันเหงาหรือเบื่อหน่ายก็ได้เจ้า “หนังสือ” นี่แหละเป็นเพื่อนเคียงข้างมาเสมอ

ทุกๆ ครั้งที่ฉันอ่านหนังสือ ฉันจะรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับมัน ฉันเคยนึกอยู่เสมอๆ ว่าเหตุใดผู้แต่งจึงเขียนหนังสือได้เป็นเล่มเท่านี้ และแต่ละหน้ากระดาษก็มีความสนุก คติ ข้อคิดในตัวมันเอง ในชีวิตของฉัน ฉันเคยอ่านหนังสือมาหลายเล่มแล้ว หนังสือเล่มไหนดี มีคุณค่า ฉันก็อยากจะแนะนำให้เพื่อนๆ ได้อ่าน ฉันอยากให้เพื่อนๆ ได้ทราบว่าหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้ให้อะไรบ้างกับเรา บางเล่มก็ให้ข้อคิด คติเตือนใจ บางเล่มก็ให้ความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจ แต่บางเล่มก็สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตมนุษย์ แต่มีหนังสือสองเล่ม ที่ฉันประทับใจมาก และยังตราตรึงในความทรงจำของฉันเสมอ นั่นก็คือ เรื่องสายน้ำไม่ไหลกลับ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นสะท้อนภาพชีวิตชุมชน ในกระแสสังคมโลกาภิวัตน์ แต่งโดย วัธนา บุญยัง พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2539 จัดพิมพ์โดยบริษัทสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำนวน 137 หน้า ราคา 60 บาท เป็นวรรณกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่ง ที่เป็นเจ้าของแม่น้ำ ลำคลอง และธรรมชาติที่สวยงาม แต่สิ่งเหล่านี้กำลังถูกทำลายลงทุกวันๆ จากฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังถูกมนุษย์ด้วยกันเองเอาเปรียบสถานการณ์ย่อมสร้างวีรบุรุษขึ้นมาเพื่อต่อสู้ เรียกร้องสิทธิเหล่านั้นกลับคืนมา กระแสการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในสังคม มักจะส่งผลกระทบถึงชีวิตตัวบุคคลอย่างเลี่ยงไม่พ้น และในทางกลับกันเรื่องราวของชีวิตที่ดูเหมือนเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย บางทีก็สามารถสะท้อนชะตากรรมของบ้านเมืองได้อย่างลุ่มลึก หนังสือเล่มนี้หลายคนคงคิดว่าเป็นบทวิจารณ์สังคมที่หนักหน่วง แต่ในทางตรงข้าม ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีความซีเรียส จริงจัง แต่เพียงอย่างเดียว ทั้งยังแฝงไว้ถึงความมีศิลปะในการเขียน หักมุมและสะเทือนใจ ทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดความคิดใดๆ

สายน้ำไม่ไหลกลับ เป็นบทประท้วงสิ่งที่เรียกว่า “ความเจริญ” อย่างตรงไปตรงมา ฉากของเรื่องอยู่แถวแม่น้ำบางปะกง คนตกกุ้งพบว่า นับวันตนเองจะตกกุ้งไปขายได้น้อยลงทุกที พวกทำนากุ้งปล่อยน้ำเสีย โรงงานอุตสาหกรรมยิ่งซ้ำเติม ทำให้เขาอดหวนรำลึกไม่ได้ว่า ก่อนที่ “ความเจริญ” จะมาถึง ชีวิตเคยสงบสุข และอุดมสมบูรณ์เพียงไร ฉันคิดว่าจุดเด่นของรวมเรื่องสั้นในชุดสายน้ำไม่ไหลกลับ อาจไม่ได้อยู่ที่พล็อตเรื่องที่แปลกหรือใช้สัญลักษณ์ซับซ้อน แต่เรื่องเล่าฉายภาพธรรมดาของมนุษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดอย่างได้อารมณ์สะเทือนใจ ยังมีมนตร์สะกดคนอ่านได้เสมอ ภาพชีวิตที่สะท้อนถ่ายทอดออกมาในสายน้ำไม่ไหลกลับ ผู้แต่งไม่ได้คิดออกมาตามจินตนาการ หากแต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจริง และกำลังขยายไปทั่วทุกหัวระแหงในประเทศไทย ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงถ้าจะบอกว่าสายน้ำไม่ไหลกลับ คือตัวแทนภาพความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ออกมาในรูปแบบของตัวอักษร สำนวนของผู้แต่งเรียงร้อยออกมาเรียบง่าย แต่มีความงดงามในด้านรายละเอียด บรรยายออกมาให้ผู้อ่านเห็นภาพอย่างชัดเจน สายน้ำไม่ไหลกลับ สะท้อนให้เห็นทั้งในมุมมืดและที่แจ้ง ในความสุขและความเศร้าหมอง ในความรัก ความหวัง และชิงชังรังเกียจ ซึ่งทั้งหมดรวมกันอยู่ในการจ้องมองของ “มนุษยนิยม” ในน้ำเสียงภาษาที่ประณีตอ่อนโยน ฉันคิดว่าหนังสือนี้คุ้มค่ามากมาย ให้แง่คิดกับเรา ฉันอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ในฐานะ “เยาวชนรุ่นใหม่” เพื่อที่เราจะได้ทราบการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคโลกาภิวัตน์นี้ และนี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือมากกว่าการเข้าไปยุ่งกับยาเสพติด

และอีกเรื่องหนึ่งคือ โลกนอกรั้ว (welcome to the real word) แต่งโดย ต้นกล้า นัยนา พิมพ์ครั้งแรกโดย สำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2000 กันยายน 2546 จำนวน 144 หน้า ราคา 125 บาท เป็นวรรณกรรมที่ถ่ายทอดให้ทราบว่า โลกมีอะไรให้เรียนรู้อยู่เสมอ ถ้าเราลองย้อนคิดถึงความรู้สึกเมื่อเริ่มเข้าโรงเรียนบ้างไหม วันแรกที่เราไปโรงเรียนเรารู้สึกอย่างไร คนส่วนใหญ่ต้องอยู่ในระบบการศึกษาเป็นเวลา 10 ปี บางคนก็เป็น 20 ปี โดยไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ “ชีวิตจริง” สักเท่าไร หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดที่หลายคนที่ติดกับดัก โลกนอกรั้ว (welcome to the real word) มาเป็นระยะเวลานาน จะได้มีโอกาสไปเปิดจินตนาการ และทำตัวให้หลุดจากรั้วโรงเรียน รั้วสถาบัน รั้วที่มีครู มีเพื่อน มีทางเลือกให้เลือกทำอย่างเสรี การออกนอกรั้วบางครั้งไม่ได้เพื่ออิสรภาพเสียทีเดียวนัก การจะค้นพบโลกนอกรั้วของจริงจำเป็นต้องปรับตนเองหลายอย่าง...อย่างที่เราเองอาจไม่เคยคิดว่าจะต้องเปลี่ยนมากมายขนาดนั้น มาเริ่มเขย่งขาแล้วแง้มมอง โลกนอกรั้ว (welcome to the real word) อย่างจริงจัง เพื่อที่เราจะไม่ต้องมาสะดุดหกล้มเสียตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมานอกรั้ว ใครบางคนบอกว่าชีวิตเริ่มต้นที่ 30 บางคนมองว่ามันเร็วกว่านั้น บางคนมองว่าช้ากว่านั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยของแต่ละคน หนังสือเล่มนี้สอนให้ฉันได้รู้ว่า ชีวิตคนทำงานเป็นชีวิตที่น่าสนใจ ชีวิตของนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่และกำลังก้าวสู่โลกของความเป็นจริง เป็นชีวิตที่ต้องเรียนรู้หนักกว่าตอนเป็นนักเรียน เพราะทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปแบบที่เราอาจจะมองไม่เห็น เดาไม่ได้เลยว่าจะต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง จะต้องวางตัวอย่างไร ต้องเดินต่อไปทางไหน และทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะโลกแห่งความเป็นจริงไม่เหมือนโลกในรั้วโรงเรียนไม่มีการสอบซ่อม หากสอบตกคือตกจริง อาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัวหรือแก้ไขเหมือนอย่างเคยอีกแล้ว ไม่มีเพื่อนคอยช่วยติวเวลาสอบ ไม่มีครูคอยห่วงคอยให้กำลังใจและดูแลอย่างดี แม้จะไม่หนักหรือเรียกได้ว่า “โลกของคนที่ต้องช่วยตัวเอง”

หากเราได้อ่าหนังสือโลกนอกรั้ว (welcome to the real word) นี้ จึงเป็นเรื่องที่ดีหากเรามีภูมิคุ้มกัน จึงเป็นเรื่องที่ดีหากเราเตรียมตัวมาอย่างดี จึงเป็นเรื่องน่าสนุกสนาน หากเราพร้อมที่จะเดินอย่างมีกำลังใจและมุ่งไปข้างหน้า มองไปข้างหน้าอย่างคนมีหวังไม่หลงทาง การที่ฉันอยากให้หนังสือเล่มนี้ได้เป็นเพื่อนสำหรับคนที่เริ่มต้นออกเดินทางในชีวิตของ “คนทำงานหน้าใหม่” ซึ่งอนาคตข้างหน้า เยาวชนทุกคนก็ต้องก้าวขึ้นมาสู่ระดับนี้

การที่เราได้เลือกอะไรที่เหมาะกับเรามากที่สุด

เราจะทำได้ดีที่สุด
การที่ได้ทำงานที่เรารัก
เราจะทำได้ดีและไม่รู้สึกเหนื่อย
แม้ว่าจะต้องทุ่มเทมากมาย
ก็ไม่รู้สึกว่าต้องออกแรงมากมายอะไรเลย

นี่คือข้อคิดบทหนึ่ง ในหนังสือเรื่องโลกนอกรั้ว (welcome to the real word) ที่ฉันชอบ และคงเป็นแนวคิดให้อีกหลายๆ คนก้าวหน้ามุ่งไปอย่างมาดมั่น และมีจุดหมาย

หนังสือทุกเล่มล้วนมีคุณค่า มีประโยชน์ การอ่านหนังสือเปรียบเหมือนการที่เราได้เปิดมุมมอง “โลกใหม่” ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับมัน ได้คติ ข้อคิดมากมาย บางเล่มก็ไม่ได้บอกข้อคิดไว้แก่เรา เพียงแต่เราต้องคิด วิเคราะห์ เอง นั่นก็เป็นการทำให้เราพัฒนาความคิดไปในตัว นอกจากนี้การอ่านหนังสือยังทำให้ห่างไกลจากยาเสพติด ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่เพียงแต่อ่านในแบบเรียนแล้ว เรายังสามารถเลือกอ่านหนังสือประเภทอื่นได้อีกมากมาย ฉันอยากให้เพื่อนๆ ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของการอ่านหนังสือ หนังสือทำให้เราได้พบหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน แค่เพียงแต่จะลองหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน หนังสือเล่มนั้นอาจจะทำให้เราติดใจจนวางไม่ลงเลยก็ได้

เปิดหน่อยได้ไหมอ่านข้างในดูสักที
หนังสือเล่มนี้มีเรื่องดีดีให้เธอค้นหา
อ่านหน่อยได้ไหมอ่านด้วยหัวใจและสายตา
จะค้นพบว่าหนังสือมีคุณค่ามากมาย
ด้วยรักและหวังดี
ฉันรัก…หนังสือ
ธัญรัตน์ วงศ์ใหญ่
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
เกิดวันที่ 26 มิถุนายน 2532 ชั้น ม. 3/1
ที่อยู่ 19/3 ถ. เทศบาล 6 ต. วารินชำราบ อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี 34190
โทรศัพท์ 0-4532-4311
อีเมล์ : finedayseve2002@hotmail.com
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช อาจารย์นงนุช แหวนวงษ์