home
Contact Uscontact@sarakadee.com
สาระเพื่อนักเดินทาง และการท่องเที่ยว อย่างเข้าใจและรอบรู้
www.Thaitraveler.com
เที่ยวทั้วไทยกับ "นายรอบรู้" เดือนมิถุนายน

กราบพระพุทธชินราช วัดใหญ่
ชมสถาปัตยกรรมอันงดงามที่เมืองสองแคว

สายฝนที่โปรยปรายชุ่มฉ่ำในเดือนนี้คงสร้างความยินดีให้แก่ชาวสวน ชาวนา ที่จะได้ลงมือเพาะกล้า หว่านไถ "นายรอบรู้" จึงอยากชวนกันไปกราบนมัสการพระพุทธรูปกันให้ชุ่มชื่นเย็นใจและเป็นสิริมงคล ไปไหว้พระ "วัดใหญ่" ที่คนพิษณุโลกเมืองสองแควเรียกขานกัน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
ถ้าจะขับรถเองจากกรุงเทพฯ ไปถึงนครสวรรค์ก็เป็นถนนสี่เลนอย่างดี แต่เมื่อเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๑๗ ผ่านพิจิตรไปจนถึงพิษณุโลกจะเป็นถนนสองเลน ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังหน่อย พอถึงสะพานนเรศวร ก็จะเห็นพระปรางค์ของวัดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำน่านทางทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดเลยทีเดียว นอกจากนี้จะใช้บริการรถทัวร์หรือรถไฟ ก็เลือกได้ตามสบาย
แผนที่ (คลิกดูภาพใหญ่)
วัดใหญ่เป็นวัดสมัยสุโขทัยเพียงวัดเดียวในพิษณุโลก ที่ไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามในสมัยกรุงธนบุรี จึงเป็นที่รวมของศิลปกรรมหลายแขนงที่ควรศึกษาชื่นชม เมื่อไปถึงวัดแล้วสิ่งแรกที่ควรกระทำคือ เข้าไปกราบนมัสการองค์พระพุทธชินราช ภายในวิหารซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมตามแบบวิหารในภาคเหนือ คือมีชายคาลาดลงต่ำเพื่อป้องกันอากาศที่หนาวเย็น ประตูวิหารนี้เป็นประตูฝังมุกขนาดใหญ่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นบานประตูที่เก่าแก่และงดงามที่สุดในประเทศไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงสร้างถวาย
ลวดลายบนประตูทำเป็นลายวงกลมขนาดใหญ่เรียงไปตามแนวตั้ง กลางวงกลมประดิษฐ์เป็นลายกระหนก ภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ เช่น ราชสีห์ คชสีห์ เหมราช กินรี และอื่น ๆ มีลายกระหนกหูช้างประกอบช่องไฟ ระหว่างวงกลม ตรงกลางประตูมีสันอกเลา ทำเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ (ดอกบัวตูม) ขนาบด้วยกระหนกก้านแย่ง กลางอกเลาเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเรียกว่า "นมอกเลา" ทำเป็นรูปบุษบกหรือปราสาท และมีพระอุณาโลม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ ประดิษฐานบนบัลลังก์อยู่ในบุษบก สองข้างมีฉัตรสามชั้น มีหนุมานแบกฐานบุษบก ด้านล่างของอกเลาทำเป็นรูปกุมภัณฑ์ยืนถือกระบอง ทำท่าสำแดงฤทธิ์
วิหารพระพุทธชินราชสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมทางเหนือ ด้านหลังประดิษฐานพระปรางค์ (คลิกดูภาพใหญ่)ประตูวิหารฝังมุก ที่กล่าวกันว่าเก่าแก่และงดงามที่สุด (คลิกดูภาพใหญ่)
องค์พระพุทธชินราชนั้นเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก สร้างขึ้นในสมัยพระศรีธรรมไตรปิฎก (พระมหาธรรมราชาลิไทย) ในครั้งนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปขึ้นสามองค์ โดยพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา สามารถหล่อเสร็จในคราวแรก แต่พระพุทธชินราชหล่อสำเร็จเมื่อครั้งที่ ๓ โดยมีตำนานกล่าวว่า พระอินทร์ต้องแปลงองค์เป็นชีปะขาวมาช่วย พระพุทธรูปสามองค์นี้ประดิษฐานอยู่ในวัดมาถึง ๔๐๐ กว่าปี จนในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดามาประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศ กรุงเทพฯ ปัจจุบันมีองค์จำลองประดิษฐานอยู่แทนในวิหารด้านข้าง 
กล่าวกันว่าพระพุทธชินราช มีพุทธลักษณะที่งดงามที่สุดในประเทศ เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นรูปเปลวเพลิง นิ้วมือมีลักษณะพิเศษที่เรียกว่า ทีฒงฺคุลี คือปลายนิ้วทั้งสี่ยาวเสมอกัน ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลัก สร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปตัวมกร (ลำตัวคล้ายมังกรและมีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม มีตัวเหรา (คล้ายจระเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม และมีเทพอสุราสององค์ คือ ท้าวเวสสุวัณและอารวกยักษ์ คอยปกป้ององค์พระ
ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม ด้านหน้าองค์พระเขียนเป็นเรื่องเวสสันดรชาดกและพุทธประวัติ ที่ด้านล่างของผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเป็นรูปเทพชุมนุม ฤาษี วิทยาธร นั่งพับเพียบประนมกรกลุ่มละสามองค์ หันหน้าไปทางพระประธานเป็นการแสดงอภิวันทบูชา
เศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ได้นำมาหล่อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย เรียกว่า "พระเหลือ" หรือพระเสสันตปฏิมา และยังเหลือพอที่จะหล่อพระสาวกยืนอีกสององค์ โดยได้นำมาประดิษฐานในวิหารน้อย ใกล้กับต้นโพธิ์สามเส้าซึ่งมีอายุนับร้อยปี ปลูกอยู่บนชุกชีที่ใช้อิฐจากการก่อเตาหลอมทอง ในการหล่อพระพุทธรูปนั่นเอง
แม้ชาวต่างชาติก็ยังชื่นชมจิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหาร (คลิกดูภาพใหญ่)พระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่งามที่สุดในประเทศไทย (คลิกดูภาพใหญ่)
ด้านหลังพระวิหารพระพุทธชินราช มีพระปรางค์องค์ใหญ่ โดยภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในเจดีย์ขนาดย่อม ในคูหากลางขององค์ปรางค์ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เดิมพระปรางค์องค์นี้ เคยเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยแท้ แต่ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างดัดแปลงเป็นพระปรางค์แบบอยุธยา
บริเวณทิศตะวันออกขององค์ปรางค์ยังมีพระอัฏฐารส ซึ่งแปลว่า ๑๘ โดยเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สูง ๑๘ ศอกสมชื่อ สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหาร แต่ต่อมาวิหารพังทลายลงมา ปัจจุบันเหลือเพียงเสาศิลาแลงขนาดใหญ่
ภายในวิหารพระพุทธชินสีห์ ยังได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิษณุโลก ซึ่งภายในจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้และโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก เช่น ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องถ้วยลายคราม ตาลปัตรพัดยศ โดยจัดไว้เป็นหมวดหมู่งดงามน่าชม
ถ้าสนใจจะเช่าพระพุทธชินราชจำลอง จะอยู่ใกล้กับวิหารพระเหลือ มีหลายขนาด ตั้งแต่หน้าตัก ๑ นิ้ว ไปจนถึง ๙ นิ้ว นอกจากนี้ยังมีพระกริ่ง เหรียญหล่อ ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว บริเวณลานจอดรถและรอบ ๆ วิหาร เป็นที่ตั้งร้านขายสินค้าพื้นเมืองทั้งของกินของใช้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยตากบางกระทุ่ม น้ำปลาบางระกำ ผ้าทอนครไทย ขาดแต่ก็เพียงสุนัขบางแก้ว ที่ต้องไปขอดูที่ฟาร์ม
พระเหลือ ที่หล่อจากเศษทองสัมฤทธิ์ พร้อมพระสาวก (คลิกดูภาพใหญ่)
กราบพระจนอิ่มใจแล้วอย่าลืมไปหาของอร่อยชิมให้อิ่มท้อง จะเลือกกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ที่สมัยก่อนร้านรวงจะอยู่ริมน้ำ ปลูกร้านยกพื้นสูง มีที่นั่งให้ "ห้อยขา" หันหน้าไปทางริมน้ำ ชมทิวทัศน์และรับลมเย็น แต่เดี๋ยวนี้ย้ายมาอยู่ริมถนนแล้ว มีทั้งร้านป้าไล ร้านสองแคว ร้านป้ากระถิน อยู่ใกล้ ๆ กับวัดใหญ่นี่แหละ ถ้าไม่อยากห้อยขา จะลงแพก็ได้แต่ต้องข้ามฝั่งไปหน้า รร. พิษณุโลกพิทยาคม มีแพเพ็ญ ขายก๋วยเตี๋ยวน้ำแดง มีทั้งหมู ไก่ เนื้อ ให้เลือก แต่ถ้าอยากกินข้าวกินปลา ลองไปที่ แพอาหารฟ้าไทย แพอาหารสองแคว ถ. วังจันทร์ เยื้องๆ กับสถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม ลองสั่งแกงเลียง ปลากดลวก ปลาตะเพียนทอดกรอบ รับรองความสด อร่อย บริเวณนี้ยังสามารถชมหมู่เรือนแพริมแม่น้ำได้อีกด้วย 

วิหารพระพุทธชินราช เปิดเวลา ๐๗.๐๐-๐๘.๐๐ น.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิษณุโลก เข้าชมฟรี เปิดเวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. วันพุธ-อาทิตย์ 
แพอาหารฟ้าไทย เปิด ๑๑.๐๐-๒๓.๐๐ น. โทร. ๐-๕๕๒๔-๒๗๔๓
แพอาหารสองแคว เปิด ๑๗.๐๐-๒๓.๐๐ น. โทร. ๐-๕๕๒๔-๒๑๖๗
Home