Contact Us
สาระเพื่อนักเดินทาง และการท่องเที่ยว อย่างเข้าใจและรอบรู้
www.Thaitraveler.com
ดูปราสาทหิน ชมหินที่ไม่ใช่แค่หิน
ใครที่กำลังจะไปเที่ยวชมปราสาทนครวัด นครธม ที่ประเทศเขมร แล้วจำต้องงดโปรแกรมกะทันหัน ก็อย่าเพิ่งเสียใจ
"นายรอบรู้"
จะชวนคุณผู้อ่านไปเที่ยวปราสาทหินในประเทศไทยกันดีกว่า
ในเมืองไทยมีปราสาทหินมากมาย กระจายอยู่ทั่วภาคอีสาน และบางจังหวัดในภาคกลาง เรียกได้ว่าตรงไหนที่มีปราสาทหินตั้งอยู่ ก็แสดงว่าบริเวณนั้น ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมขอม ที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุด ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ เทียบเวลาแล้วตอนนั้นเชียงใหม่และสุโขทัย กำลังจะเริ่มเกิดเป็นเมืองพอดี
ก่อนอื่น โปรดทราบว่าปราสาทหินเหล่านี้ ไม่ใช่ปราสาทราชวังที่ประทับของกษัตริย์ แต่เป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ขอมนับถือมาตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘ (เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙) มีเทพเจ้าสูงสุด เรียกว่า ตรีมูรติ หมายถึง พระศิวะหรือพระอิศวร พระนารายณ์หรือพระวิษณุ และพระพรหม มารวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว ในบรรดาเทพสามองค์นี้ พระศิวะได้รับความนิยมมากที่สุด ดังนั้นภายในอาคารหลังใหญ่ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางพื้นที่ ซึ่งเรียกกันว่า ปราสาทประธาน มักประดิษฐาน "ศิวลึงค์" อันเป็นรูปเคารพที่เป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะไว้ และผู้ที่จะเข้าไปในปราสาทประธาน เพื่อสักการะรูปเคารพนี้ได้ จะมีเพียงกษัตริย์ และพราหมณ์ที่ทำหน้าที่ดูแลเทวสถาน และประกอบพิธีกรรมเท่านั้น
หลายคนที่เคยไปชมปราสาทหินแล้วไม่ชอบ หรือไม่ชอบไปเที่ยว เพราะสงสัยว่าเขาไปดูอะไรกัน ไปดูก้อนหินผุ ๆ พัง ๆ กลางแดดร้อน ๆ จะสนุกได้อย่างไร สำหรับ
"นายรอบรู้"
การเที่ยวปราสาทขอมให้สนุก ก็คือการไปด้อม ๆ ดูภาพจำหลักตามส่วนต่างๆ ของตัวปราสาท เช่น ที่หน้าบัน (ส่วนที่เป็นจั่วของอาคาร) ทับหลัง (เป็นแผ่นหินสี่เหลี่ยมวางอยู่เหนือกรอบประตู) และเสาประดับกรอบประตู ฐานอาคาร ยิ่งถ้าปราสาทหลังใดมีความสำคัญ ฝีมือช่างโบราณที่ปรากฏบนพื้นหินก็ยิ่งละเอียดงดงาม จนน่าสงสัยว่าหินแข็ง ๆ เหล่านี้ เขาแกะสลักอย่างไรจึงกลายเป็นภาพที่อ่อนช้อยได้เช่นนั้น
ภาพสลักราวนี้มีทั้งเรื่องราวจากวรรณคดีอินเดีย อย่างมหาภารตะ รามายณะ หรือรามเกียรติ์ นารายณ์สิบปาง หรือเป็นลวดลายพรรณพฤกษาต่างๆ ในการชม ถ้ารู้เรื่องราวในภาพบ้างก็จะยิ่งประทับใจขึ้น เช่น
- ภาพศิวนาฏราช คือการร่ายรำของพระศิวะ ๑๐๘ ท่า ซึ่งเป็นทั้งการสร้างโลก และล้างโลกไปพร้อมกัน หากรำด้วยจังหวะที่พอดี โลกจะร่มเย็น แต่ถ้าร่ายรำในจังหวะที่รุนแรง ย่อมนำภัยพิบัติมาถึงได้
- ภาพพระกฤษณะโควรรธนะ พระกฤษณะเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ (เรียกปางนี้ว่ากฤษณาวตาร) ที่ยกภูเขาโควรรธนะขึ้น ก็เพื่อบังฝนให้ชาวบ้านและสิงสาราสัตว์ เพราะพระอินทร์สั่งให้ฝนตกห่าใหญ่ ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ซึ่งในที่สุดพระอินทร์ก็ต้องพ่ายแพ้ไป ท้องฟ้าจึงสดใสอีกครั้ง
- ภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ ภาพนี้พระนารายณ์ (หรือพระวิษณุ) บรรทมอยู่เหนือพญานาคกลางเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) มีดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภี (สะดือ) และมีพระพรหมประทับเหนือดอกบัว ความหมายก็คือการสร้างโลก คือในขณะที่พระนารายณ์หลับอยู่ก็ได้ฝันถึงการสร้างสิ่งต่าง ๆ และดอกบัวผุดที่ขึ้นจากสะดือ ก็ให้กำเนิดพระพรหม ซึ่งจะเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสิ่งต่าง ๆ ต่อไปอีก
ปราสาทหินนี้มักสร้างโดยใช้หินทราย เพราะสามารถสลักลวดลายได้ง่าย และใช้หินศิลาแลงเป็นฐาน เพราะแข็งแรง คงทน และรับน้ำหนักได้ดี
หลังจากชมความงามของตัวปราสาทประธานแล้ว ก็ค่อยมาชมสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตปราสาท เช่น ปราสาทบริวาร (บางแห่งก็ไม่มี) หรือ บรรณาลัย เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ ใช้เป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา เขตปราสาทนี้กำหนดโดยกำแพง ที่เรียกว่าระเบียงคด ซึ่งมีซุ้มประตูรูปกากบาท เรียกว่า ซุ้มโคปุระ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ซุ้มประตูอยู่ตรงกับประตูเข้าปราสาทประธานพอดี ส่วนตัวปราสาทก็มักหันไปทางทิศตะวันออก เพราะเชื่อว่า แสงอาทิตย์จะทำให้เกิดพลังแก่รูปเคารพภายในปราสาท ใครไปดูตอนเช้าๆ ก็ลองสังเกตดูทิศได้
ในเขตปราสาทหินนี้ เรามักเห็นสระน้ำ หรือเรียกตามภาษาขอมว่า บาราย อยู่ ไม่ได้สร้างไว้สวย ๆ หรือตามหลักฮวงจุ้ยหรอกนะ แต่สร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาล ที่ว่าจักรวาลนี้มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง ตั้งอยู่บนผืนน้ำมหาสมุทรกว้างใหญ่ เหนือเขาพระสุเมรุขึ้นไปเป็นสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่มีพรหมและเทพเจ้าประทับอยู่ เขตปราสาทหินทั้งหมดนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แทนจักรวาล มีปราสาทประธานตั้งอยู่กลางพื้นที่และยกพื้นให้สูงกว่าอาคารอื่น เพื่อให้เป็นตัวแทนของเขาพระสุเมรุ ส่วนบารายก็คือมหาสมุทรนั่นเอง
การไปชมปราสาทหินหรือปราสาทขอม จึงได้ทั้งเรื่องความงาม และความเชื่อไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญ ควรไปชมตอนเช้า ๆ หรือบ่าย ๆ เย็น ๆ จะได้ไม่ร้อนเกินไป และโดยเฉพาะเนื้อหินยามต้องแสงสีเหลืองทอง จะงดงามมากเป็นพิเศษ
ดูที่ไหน
ในเมืองไทยมีปราสาทหินกว่าร้อยแห่งทีเดียว โดยเฉพาะบริเวณอีสานตอนล่าง แต่ที่ยังคงความสมบูรณ์ มีขนาดใหญ่และความงดงามทางศิลปสถาปัตยกรรมที่น่าไปชม ขอแนะนำไว้ ๕ แห่ง ดังนี้
ปราสาทหินพนมรุ้ง อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. บุรีรัมย์ สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ เป็นปราสาทหลังเดียวในประเทศที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ตัวปราสาทประธานสร้างด้วยหินทรายสีชมพู มีลวดลายการแกะสลักสวยงามน่าชมตลอดทั้งตัวปราสาท โดยเฉพาะที่ประตูทางเข้าปราสาทประธาน ซึ่งมีทับหลังรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่นำกลับมาจากพิพิธภัณฑ์ในประเทศอเมริกา และนำมาประดับอยู่ ณ ที่เดิม
ปราสาทเมืองต่ำ อ. ประโคนชัย จ. บุรีรัมย์ มีอายุใกล้เคียงกับปราสาทพนมรุ้ง เป็นปราสาทอิฐห้าหลังตั้งเรียงเป็นสองแถวบนฐานเดียวกัน ถัดจากกำแพงชั้นในมีสระน้ำตั้งอยู่สี่มุม ล้อมรอบสระด้วยตัวนาคห้าเศียรที่ไม่มีรัศมี ที่นี่เหลือทับหลังที่ยังสมบูรณ์อยู่หลายแห่ง เช่น ภาพอุมามเหศวร ภาพพระกฤษณะโควรรธนะ
ปราสาทบ้านพลวง อ. ปราสาท จ. สุรินทร์ เป็นปราสาทหลังไม่ใหญ่นัก มีสระน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน มีทางเข้าด้านทิศตะวันออกทางเดียว แต่เป็นปราสาทอีกหลังหนึ่งที่มีลวดลายแกะสลักที่งดงามทั้งทับหลังและหน้าบัน รวมถึงทวารบาลที่แกะสลักที่ผนังตามมุมปราสาท ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่พบในปราสาทพิมายและปราสาทพนมรุ้ง
ปราสาทศิขรภูมิ อ. ศิขรภูมิ จ. สุรินทร์ เป็นปราสาทห้าหลังบนฐานเดียวกัน ล้อมรอบด้วยสระน้ำ ตัวปราสาทประธานตั้งอยู่ตรงกลาง มีทับหลังที่สลักลวดลายอย่างละเอียดเป็นรูปศิวนาฏราช ภาพนี้ถ้าให้สวยควรไปชมช่วงเช้า และที่กรอบประตูเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว ซึ่งแกะสลักได้งดงามอ่อนช้อยไม่แพ้นางอัปสรที่นครวัด
ปราสาทหินพิมาย อ. พิมาย จ. นครราชสีมา ถือเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ และงดงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ตัวปราสาทประธานสร้างด้วยหินทรายสีขาว และสลักลวดลายอย่างละเอียดและสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก อีกทั้งทับหลังเหนือประตูทางเข้าชั้นในทั้งสี่ทิศของปราสาทประธาน สลักเป็นภาพพุทธประวัติ เพราะปราสาทหินพิมาย สร้างขึ้นในสมัยที่กษัตริย์ขอมหันมานับถือพุทธศาสนา นิกายมหายานแล้ว และควรแวะชมพิพิธภัณฑ์ฯ พิมาย ที่อยู่ไม่ไกลกันนักด้วย