Contact Us
สาระเพื่อนักเดินทาง และการท่องเที่ยว อย่างเข้าใจและรอบรู้
www.Thaitraveler.com
นายรอบรู้ชวนเที่ยว : ดูสนุก ดูที่ไหน
ชมจิตรกรรมฝาผนังชิ้นเอกของกรุงรัตนโกสินทร์
ชาวไทยที่นับถือพุทธศาสนาคงเคยไปวัดกันมาแล้วทุกคน ฉบับนี้
"นายรอบรู้"
ไม่ได้ชวนเข้าวัดทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมเท่านั้น แต่อยากชี้ชวนให้ชมงานจิตรกรรมฝาผนัง ศิลปะล้ำค่าอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย โดยเฉพาะในวัดเก่าแก่หลายแห่ง ที่ยังปรากฏงานศิลปะอันวิจิตรตระการตานี้อยู่
จิตรกรรมฝาผนังส่วนใหญ่ในโบสถ์ วิหาร ตามวัดต่าง ๆ นั้น ช่างเขียนฝากฝีมืออันงดงามไว้เพื่อเป็นพุทธบูชา ทั้งสีสันของภาพที่ใช้สีเข้ม สีอ่อนจาง ก็ช่วยน้อมนำผู้อยู่ในศาสนสถานให้เกิดความรู้สึกสงบ สำรวม และเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ยิ่งเมื่อได้ฟังเทศน์ฟังธรรมที่พระสงฆ์มักจะยกชาดก หรือเรื่องอดีตของพระพุทธเจ้ามาเทศนา ประกอบกับภาพจิตรกรรมที่ปรากฏอยู่ ก็จะยิ่งเข้าใจแจ่มชัดในข้อธรรมนั้น ๆ อีกด้วย
การเขียนจิตรกรรมฝาผนังของไทยนั้น มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย โดยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย แต่ก็ได้ดัดแปลง พัฒนาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย ในสมัยอยุธยาตอนต้นมักวาดภาพด้วยสีแบบเอกรงค์ คือใช้สีในโทนเดียวกัน สีอ่อน สว่าง และกลมกลืนกันอย่างงดงาม โดยมักใช้สี ดำ เหลือง ขาว และแดง ในสมัยอยุธยาตอนปลายใช้สีแบบพหุรงค์ คือหลากหลายสีสัน มีลายเส้นละเอียด ประณีต ส่วนสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์จะใช้สีสันสดใสมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีสีจากจีน และตะวันตกเข้ามาจำหน่าย มีการปิดทองเน้นในส่วนที่สำคัญ อย่างไรก็ตามสีสันของงานจิตรกรรมฝาผนังของทุกสมัย มักจะช่วยขับเน้นให้องค์พระพุทธรูปโดดเด่น
ที่ว่ามานี้เป็นจิตรกรรมในสกุลช่างหลวง ซึ่งมักปรากฏอยู่ตามวัดต่างๆ ในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นเวลาไปวัดบ้างแล้ว แต่ไม่เคยสังเกตดูอย่างจริงจัง ความจริงการดูจิตรกรรมฝาผนังนั้นไม่ยาก ถ้าเรารู้ว่าเรื่องราวในภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเขียนอยู่ในสามเรื่องใหญ่ๆ ตามขนบธรรมเนียมโบราณ ได้แก่ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก และไตรภูมิ อันเป็นที่นิยมเขียนกันมาก ในสมัยอยุธยาจนถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สำหรับคราวนี้จะแนะนำให้ชมจิตรกรรมฝาผนัง ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น
เมื่อเข้าไปในโบสถ์หรือวิหารซึ่งเป็นอาคารสี่เหลี่ยม กราบนมัสการพระพุทธรูปประธานซึ่งประดิษฐานเป็นศูนย์กลางแล้ว ก็ลองเดินชมผนังทั้งสี่ด้าน เริ่มจาก
- ผนังด้านหลังองค์พระประธาน มักเขียนเป็นเรื่อง ไตรภูมิ เป็นการอธิบายจักรวาลและภูมิ คือ อรูปภูมิ คือที่อยู่ของพรหม มักเขียนเป็นวิมานอยู่ด้านบนสุด รูปภูมิ จะอยู่ต่ำลงมาเขียนเป็นยอดเขาพระสุเมรุ มีปราสาทที่ประทับของพระอินทร์อยู่บนยอดเขา มีภูเขาเจ็ดลูกคือ "เขาสัตตบริภัณฑ์" บนยอดมีวิมานลดหลั่นกันลงมา บนอากาศด้านข้างเขียนรูปพระอาทิตย์ พระจันทร์ บริเวณตีนเขาสองด้านเป็นที่ตั้งของ กามภูมิ หรือแดนมนุษยโลก
- ผนังตรงข้ามองค์พระประธาน มักเขียนเรื่อง พุทธประวัติตอนมารผจญ ตรงกลางเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับเหนือโพธิบัลลังก์ ด้านล่างมีแม่พระธรณีบีบมวยผม ปล่อยน้ำท่วมทัพพญามาร ด้านซ้ายของพระพุทธเจ้านั้นจะเป็นตอนที่พญามารนำทัพมา ส่วนด้านขวาจะเห็นว่าโดนน้ำท่วมจนพ่ายแพ้ไป
ทัพมารนี้ช่างเขียนมักจะวาดให้มีชนหลายชาติ หลายภาษา ทั้งจีน แขก ฝรั่ง สือให้เห็นว่าชาวต่างชาติที่นับถือคนละศาสนานั้นเปรียบดังมารผจญ มักจะเขียนภาพให้ดูดุดันน่ากลัว รวมถึงสีสันที่เข้มแรง
- ผนังสองด้านขององค์พระประธาน ด้านบนเขียนรูปเทพชุมนุมเรียงกันประมาณ ๒-๔ ชั้น ด้านล่างลงมาส่วนใหญ่เขียนเรื่อง พุทธประวัติ โดยเริ่มจากพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระสันตดุสิตเทวบุตร เหล่าเทวดาทูลเชิญให้จุติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วจึงดำเนินเรื่องไปจนถึงปรินิพพาน หรือเขียนเรื่อง ทศชาติชาดก สิบชาติสุดท้ายของพระบรมศาสดา ซึ่งบำเพ็ญมหาบารมีสิบประการ ประกอบไปด้วย เตมียราชชาดก บำเพ็ญเนกขัมมบารมี คือการออกบวช พระมหาชนกชาดก วิริยะบารมี สำแดงความเพียรอันแรงกล้า สุวรรณสามชาดก แสดงเมตตาบารมี เนมีราชชาดก แสดงอธิษฐานบารมี มโหสถชาดก แสดงปัญญาบารมี ภูริทัตชาดก แสดงศีลบารมี จันทกุมารชาดก แสดงขันติบารมี มีความอดทนเป็นที่ตั้ง นารทชาดก แสดงอุเบกขาบารมี เสวยพระชาติเป็นพรหมเทวะ วิทูรชาดก แสดงสัจจบารมี ถือความสัตย์ยอมสละชีวิตได้ และเวสสันดรชาดก แสดงทานบารมี บางแห่งจะเขียนผนังหนึ่งเป็นเรื่องพุทธประวัติ อีกผนังหนึ่งเป็นเรื่องทศชาติชาดก หรือเขียนเฉพาะมหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ก็มี
แต่จิตรกรรมฝาผนังในวัดหลายแห่งก็อาจไม่เป็นไปตามขนบนี้ เนื่องจากช่างเขียนได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากที่อื่น หรือจากความนิยมในยุคสมัยนั้น เช่น ที่ฝาผนังโบสถ์วัดเครือวัลย์ ธนบุรี เขียนเป็นเรื่อง พระเจ้าห้าร้อยชาติ ที่ผนังในโบสถ์วัดราชประดิษฐ์เป็นเรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน ในวิหารวัดโสมนัสเป็นเรื่อง อิเหนา เป็นต้น
นอกจากเรื่องราวทางพุทธศาสนาแล้ว ช่างเขียนยังได้สอดแทรกภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ลักษณะสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้าง การแต่งกาย งานประเพณี เอาไว้ ภาพเหล่านี้เรียกว่า ภาพกาก ซึ่งมีเสน่ห์น่าสนใจสำหรับคนช่างสังเกต ทั้งยังเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ให้ได้ใช้ศึกษาค้นคว้ากันอีกด้วย
ความงามของจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏอยู่ตามโบสถ์ วิหาร ต่างๆ นั้น ไม่มีกาลเวลา คือจะเริ่มต้นดูวันไหน เมื่อไร ก็กระทำได้โดยสะดวก นอกเหนือจากความเป็นศิลปะประจำชาติที่งดงามแล้ว ยิ่งใช้เวลาในการชมมากเท่าไร ยิ่งจะได้เรียนรู้ และซาบซึ้งในรสพระธรรมไปพร้อมกัน
ดูที่ไหน
จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนตามขนบธรรมเนียมโบราณนั้น ส่วนใหญ่มักอยู่ในวัดที่เก่าแก่ และเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ ในต่างจังหวัดมีให้ชมหลายแห่ง เช่น วัดใหญ่สุวรรณาราม จ. เพชรบุรี วัดใหญ่อินทาราม จ. ชลบุรี วัดมัชฌิชมาวาส จ. สงขลา เป็นต้น แต่ขอแนะนำให้ไปชมในแถบกรุงเทพฯ ก่อน ดังนี้
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถือกันว่าเก่าแก่และมีคุณค่ายิ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โปรดให้เขียนขึ้น เป็นช่างฝีมือในสมัยรัชกาลที่ ๑ และยังเขียนตามขนบสมัยอยุธยา
วัดราชสิทธาราม
เดิมชื่อวัดพลับ เป็นวัดโบราณ รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ที่นี่จิตรกรรมมีลักษณะเด่นในการใช้สี เขียนพื้นสีแดงและสีฟ้าหม่นตัดกันอย่างสดใส ปัจจุบันภาพจิตรกรรมชำรุดไปมากแล้ว
วัดสุวรรณาราม
เป็นวัดโบราณตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงมาวาดไว้เมื่อคราวบูรณะวัดนี้ ภาพเขียนจึงมีความงดงามวิจิตร โดยเฉพาะฝีมือการเขียนประชันกันระหว่าง เรื่องเนมีราชชาดกของหลวงวิจิตรเจษฏาหรืออาจารย์ทอง กับมโหสถชาดกของอาจารย์คงแป๊ะ
วัดสุทัศนเทพวราราม
มีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง ปรากฏทั้งในโบสถ์ และวิหาร ภายในโบสถ์เขียนตามขนบ ฝีมือช่างในรัชกาลที่ ๓ ส่วนที่วิหารนั้น บนฝาผนังทั้งสี่ด้านเขียนเป็นเรื่อง อดีตพระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์ ซึ่งอุบัติมาในโลกก่อนพระศากยมุนี