นายรอบรู้ชวนเที่ยว : ดูสนุก ดูที่ไหน ดูศิลปะจีนในวัดไทย สมัยรัชกาลที่ ๓
เข้าสู่เดือนสุดร้อนของปีกันแล้ว แถมเดือนนี้มีวันหยุดยาวอีก หลายคนคงมีวิธีไปคลายร้อนแตกต่างกันไป ที่ฮิตสุดเห็นจะเป็นเที่ยวทะเล รองลงมาคงเป็นน้ำตก แต่ถ้าใครยังไม่รู้จะไปไหน เพราะเบื่อรถติด หน่ายคนเยอะตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม นายรอบรู้ ขอนำเสนอวิธีดับร้อนทางใจ ด้วยการเข้าวัดฟังธรรมเพื่อสงบจิตสงบใจ แล้วอาการร้อนกายจะคลายไปเองเมื่อใจเย็นสงบเสียแล้ว นายรอบรู้ จะพาคุณไปรู้จักวัดที่สร้าง และปฏิสังขรณ์โดยรัชกาลที่ ๓ เพราะวัดเหล่านี้มีความน่าสนใจตรงที่ใช้ศิลปกรรมแบบจีนมาก่อสร้างและประดับตกแต่งอุโบสถวิหาร ซึ่งแปลกจากวัดทั่วไป นายรอบรู้ อยากให้รู้จักศิลปะจีนและสนุกกับการสำรวจของตกแต่งในบริเวณวัด ดูเครื่องบนของอุโบสถวิหาร หรือสังเกตภาพจิตรกรรม (ที่ดูรู้บ้างไม่รู้บ้าง) แบบใกล้ๆ มากขึ้น เพื่อให้การเข้าวัดไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป แต่ก่อนจะไปดูเรื่องของศิลปะ ขอปูพื้นให้เข้าใจกันก่อนว่า รัชกาลที่ ๓ นั้นทรงติดต่อค้าขายกับจีนมาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นครองราชย์ จนพระราชบิดา (รัชกาลที่ ๒) ทรงเรียกว่า เจ้าสัว พระองค์ทรงนิยมศิลปกรรมของจีนเป็นอันมาก ประกอบกับทรงนิยมการสร้างวัด และบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่า ตลอดจนบูรณะร่วมกับขุนนางข้าราชการ รวมกันแล้วกว่า ๗๐ วัด จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า หากต้องการเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ก็จงสร้างวัด ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ ๓ จึงทรงนำวิธีการก่อสร้างแบบจีนซึ่งทำได้เร็วกว่า มาปรับปรุงร่วมกั บวิธีการก่อสร้างแบบไทย จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ขึ้น เรียกกันว่า ศิลปะแบบพระราชนิยม หรือที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเรียกว่า วัดนอกอย่าง คือไม่อยู่ในขนบเดิมที่เรียกว่า ศิลปะแบบไทยประเพณี
ทีนี้มาดูกันว่าเมื่อเดินเข้าวัดแล้ว เราควรสังเกตส่วนใดบ้าง ที่บ่งบอกความเป็นจีน หน้าบัน เป็นส่วนสะดุดตาที่สุดของอาคาร จากที่เราคุ้นตาว่าเป็นเครื่องไม้ มีลายจำหลักที่หน้าบัน รวมทั้งช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ปิดทองประดับกระจก แต่ในศิลปะแบบพระราชนิยม ส่วนประกอบเหล่านี้จะหายไป ไม่ใช้เครื่องไม้ แต่เปลี่ยนเป็นก่ออิฐถือปูนแทนซึ่งมีความคงทนถาวรกว่า และประดับด้วยเครื่องกระเบื้องถ้วยหรือเครื่องกระเบื้องเคลือบ เป็นรูปสัตว์ หรือพรรณพฤกษา แทน เสาพาไล ที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของชายคาปีกนกรอบอาคาร เปลี่ยนรูปจากเสากลมเรียวสวยแบบอยุธยา เป็นแท่งสี่เหลี่ยมทึบตัน หนา ไม่มีบัวหัวเสา เพื่อให้เหมาะกับการรับน้ำหนักเครื่องหลังคาที่เปลี่ยนเป็นปูน ซุ้มประตูหน้าต่าง เป็นปูนปั้นติดกับผนังโดยตรง ผูกลายขึ้นใหม่และประดับด้วยเครื่องถ้วยชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ตามรูปแบบของลาย ขณะที่รูปแบบเดิมเป็นซุ้มทรงมณฑปหรือทรงบันแถลง หรือทรงอื่นๆ ที่ประดับการการปิดทองประดับกระจก
ตุ๊กตาศิลาจีนรูปแบบต่างๆ จะตั้งอยู่รายรอบบริเวณวัด มากน้อยตามความสำคัญของวัดแห่งนั้น ซึ่งวัดที่มีตุ๊กตาจีนมากที่สุดคือ วัดอรุณราชวราราม ประมาณ ๓๐๐ กว่าตัว รองลงมาคือวัดพระเชตุพน หรือวัดโพธิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดราชโอรสาราม และวัดอื่นๆ ที่รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์ นอกจากนี้ยังอาจสังเกตจาก ซุ้มเสมา ซุ้มประตูเข้าวัด ภาพจิตรกรรม ภาพเขียนทวารบาลที่บานประตู อย่างไรก็ตามใช่ว่าวัดที่สร้างหรือปฏิสังขรณ์ขึ้นในแผ่นดินนี้จะเป็นรูปแบบจีนทั้งหมด เพราะยังมีบางวัดเช่น วัดราชนัดดาราม ที่ยังคงรูปแบบไทยประเพณีไว้ คือเป็นเครื่องไม้ มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แต่ที่หน้าบันทำเป็นลายใบเทศปิดทองประดับกระจก หรือที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเป็นรูปแบบไทยประเพณีเช่นกัน หากแต่การนำคติไตรภูมิมาใช้กำหนดตำแหน่งการวางผังนั้น เป็นรูปธรรมกว่ายุคสมัยที่ผ่านมา เหล่านี้เป็นข้อสังเกตง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้รู้ว่าวัดนั้นสร้างในสมัยไหน แม้จะยังไม่รู้ประวัติวัดก็ตาม และยังใช้ได้กับวัดทั่วประเทศ แถมยังจะได้ความรู้เพิ่มเติมอีกว่า ศิลปะจีนที่รัชกาลที่ ๓ ทรงนำมาใช้ในวัดไทยนั้น กระจายไปไกลถึงส่วนใดของประเทศบ้าง ลองสังเกตดูไปเรื่อยๆ เห็นบ่อยๆ อีกหน่อยก็เชี่ยวชาญเอง
วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง กรุงเทพฯ ถือเป็นวัดประจำรัชกาล เพราะเป็นวัดแรกที่รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างตามแบบศิลปกรรมจีนเกือบทั้งวัด ตั้งแต่อุโบสถ วิหาร ภาพเขียนในอุโบสถ ซุ้มประตูหน้าต่าง ซุ้มประตูทางเข้าวัด เป็นต้น แต่ยังคงรักษาแบบบางอย่างของศิลปะไทยไว้ เช่น การลดชั้นของหลังคา เป็นต้น
วัดนางนอง เขตจอมทอง กรุงเทพฯ อุโบสถ วิหารเป็นศิลปกรรมแบบจีน ภายในอุโบสถมีภาพเขียนเรื่องสามก๊กบนผนังระหว่างหน้าต่าง ด้วยเทคนิคลายรดน้ำผสมสีที่เรียกว่า ลายกำมะลอ ซึ่งนิยมใช้เขียนกันในจีนและญี่ปุ่น สันนิษฐานว่าภาพดังกล่าวอาจเขียนโดยช่างฝีมือจีน