
นั่นแน่
! ทำเป็นรู้ทันว่า ฝนชุกอย่างนี้ "นายรอบรู้" ต้องพาไปเที่ยวป่าหน้าฝนแน่
ๆ เลย
อย่างนี้สิเขาถึงเรียกแฟนประจำตัวจริง แต่ยี่ห้อ "นายรอบรู้"
ย่อมไม่ทำอะไรเหมือนคนอื่นอยู่แล้ว ถึงจะไปเที่ยวป่า แต่คราวนี้ขอไปแบบเหนือเมฆนะจะบอกให้
ก็มาชวนไปเที่ยวป่าดงดิบเขากันนะสิ ถ้าอยากเห็นป่าดงดิบเขาสวยงามที่สุดก็ต้องไปตอนวสันตฤดูแบบนี้แหละ...
ทำไมนะหรือ
? ก็เพราะช่วงหน้าฝนต้นไม้ในป่าดงดิบเขาห่มผ้าหนายิ่งกว่าหน้าหนาวเสียอีก
อย่างที่บอกไว้เมื่อตะกี้ ต้นไม้ในป่าไม่ได้ห่มผ้าป้องกันอากาศหนาวเย็นเหมือนคนหรอก
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความชุ่มชื้นช่วยโอบอุ้มต้นไม้ไว้ โดยเอื้ออำนวยให้มอส
เฟิน และตะไคร่ที่ชมชอบอยู่กับน้ำงอกงามตามลำต้นและกิ่งก้าน แล้วป่าช่วงไหนจะฉ่ำน้ำเท่าหน้าฝน
เรื่องนี้คงต้องคุยกันยาว
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับป่าดงดิบเขาเสียก่อน จะได้ทราบลักษณะเด่นว่าแตกต่างจากป่าทั่วไปอย่างไร
เมื่อมีคำว่าเขา (mountain) มาเกี่ยวข้อง แน่นอนต้องพบตามภูเขา และไม่ใช่ภูเขาเตี้ยๆ
เสียด้วย จุดเด่นอยู่ตรงนี้นี่เอง ป่าดงดิบเขาพบปกคลุมภูเขาในระดับความสูงตั้งแต่
๑,๐๐๐ ม. ขึ้นไป พื้นที่ระดับสูงแบบนั้นย่อมมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
แถมยังมีความชื้นสูง เนื่องจากอิทธิพลของเมฆที่ปกคลุมอยู่เสมอ บางคนเลยตั้งนิคเนมให้ว่า
"ป่าเมฆ" เสียเลย

ป่าดงดิบเขาพบอยู่ทั่วประเทศ
แถบไหนมีภูเขาสูงเกิน ๑,๐๐๐ ม. พบได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งภาคอีสาน บนภูเขียว
ภูหลวง หรือภูกระดึง ไปดูได้เลย ส่วนคนใต้คงรู้จักเขาหลวงเมืองนครกันดี
ถ้าต้องการรู้จักป่าดงดิบเขาให้ดีที่สุด ต้องไปดอยอินทนนท์ เพราะเป็นจุดสูงสุดในสยาม
ส่วนใครไม่ชอบเดินทางไกลก็ไม่ต้องห่วง แถวภาคกลางมีป่าดงดิบเขาให้ไปเที่ยวง่าย
ๆ เหมือนกัน บนยอดเขาเขียวที่ อช. เขาใหญ่ไง สูงตั้ง ๑,๒๙๒ ม. หาชมต้นไม้ห่มผ้าได้ตามเส้นทางไปผาเดียวดาย
ระยะฝนฉ่ำแบบนี้น้อง ๆ ดอยอินทนนท์เหมือนกัน

ทีนี้จากระดับ
๑,๐๐๐ ม. ขึ้นไปกว่าจะถึงยอดสูงสุด มันมีระยะห่างกันเยอะ ป่าดงดิบเขาจึงแบ่งแยกออกได้อีกสองระดับ
เริ่มจากป่าดงดิบเขาระดับต่ำ พบในระดับต่ำกว่า ๑,๕๐๐ ม. ลงมา บริเวณนี้มีต้นไม้สูงใหญ่เหมือนป่าดงดิบทั่วไป
แต่มีสิ่งต่างอยู่ที่พรรณไม้ โดยพบต้นก่อเป็นพันธุ์ไม้เด่น พร้อมด้วยทะโล้
มณฑาดอย เชียด เป็นต้น ป่าดงดิบเขาระดับนี้ยังมีมอสเฟินคลุมลำต้นไม่มาก
พูดง่ายๆ ต้นไม้ยังห่มผ้าบางๆ อยู่ ป่าดงดิบเขาส่วนใหญ่ในเมืองไทยก็มักอยู่ระดับประมาณนี้
ทั้งที่เขาใหญ่ แก่งกระจาน ภูหินร่องกล้า แม่วงก์ ฯลฯ

พอพ้นจากระดับ
๑,๕๐๐ ม. ขึ้นไปเป็นป่าดงดิบเขาระดับสูง สูงเทียมเมฆแบบนี้เรียก "ป่าเมฆ"
ได้เต็มปากแล้ว พอขึ้นมาถึงป่าระดับนี้ ต้นไม้มีลำต้นไม่สูงนัก อย่างเก่งที่สุดไม่เกิน
๓๐ ม. ทั้งนี้เพราะดินบนที่สูงไม่หนาพอจะช่วยต้นไม้พยุงตัวเองให้สูงไปกว่านี้ได้
สายลมบนยอดเขาสูงๆ ยังพัดแรง จนต้นไม้ต้องปล่อยให้กิ่งก้านคดงอบิดเบี้ยวไปตามทิศทางของลม
พอมีเมฆหมอกแผ่ปกคลุมจนป่าขมุกขมัว แสงแดดส่องผ่านเรือนยอดของป่าเพียงสลัว
ช่วยเสริมบรรยากาศให้ดูสมกับอีกชื่อหนึ่งว่า "ป่าดึกดำบรรพ์"

ยิ่งเป็นป่าดงดิบเขาที่อยู่สูงเกิน
๒,๐๐๐ ม. ขึ้นไปอย่างบนดอยอินทนนท์ ความชื้นยิ่งมีมาก ภายใต้ร่มครึ้มของเรือนยอดไม้ใหญ่
มองไปทางไหนมีแต่สีเขียวของมอส เฟิน และตะไคร่ห่อหุ้มลำต้นและกิ่งก้านเต็มไปหมดทุกอณู
ป่าดงดิบเขายามนี้ช่างสวยงามไร้ที่ติ ต่างจากที่เห็นตอนหน้าหนาว แม้จะยังมีผ้าห่มคลุมอยู่
แต่เป็นผ้าผืนเก่าที่ดูโทรมจนออกสีน้ำตาลแห้งๆตามประสาพืชไร้น้ำไปเสียหมด
เมื่อเฟินแย่งกันงอกงาม เป็นโอกาสดีที่จะได้รู้จักเฟินชนิดต่าง ๆ ว่ากันเฉพาะกลุ่มเฟินภูเขาที่เห็นขึ้นปะปนกับมอสตามต้นไม้ก็เต็มไปหมดแล้ว
ชนิดที่น่าสนใจมีเฟินข้าหลวงใบหอก กูดแฉก เถานาคราช ช้องเมรี รวมทั้งฟิล์มมีเฟิน
เฟินเล็กที่สุดในโลก ถัดลงไปบนพื้นป่าเป็นกูดฉาก กูดใบห้า เฟินข้าหลวงก้านดำ
เฟินเหล่านี้พบได้ทั่วไป

ขณะเดียวกันตามพื้นดินในป่าดงดิบเขาบางแห่งอาจเห็นมอสขึ้นเขียวขจีเต็มไปหมดราวกับปูพรมไว้
เรียกกันว่าข้าวตอกฤาษี เป็นมอสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชอบขึ้นอยู่เฉพาะป่าดงดิบเขาที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดปีและความชุ่มชื้นสูง
ยิ่งสูงยิ่งมีมาก บนยอดดอยอินทนนท์ถือว่าเป็นบริเวณที่ดูข้าวตอกฤาษีได้สะดวกที่สุด
ท่ามกลางความชื้นก็มีดอกไม้สีสวยให้ดูเยอะแยะ
พวกบีโกเนีย ดอกหรีด สาวสนม และเทียนต่างๆ พบได้ทั่วไป หรือเลยไปช่วงปลายฝนดอกไม้ยิ่งบานสะพรั่ง
ไม่ว่าจะเป็นส้มแปะ ไคร้มด ข้าวสารหลวง ต่างไก่ป่า หรือกล้วยไม้สารพัดชนิด
ขึ้นไปบนดอยสูงมากๆ ก็มีพวกกุหลาบดอย สะเภาลม คำหยาด บัวทอง แต่ใครอยากเห็นกุหลาบพันปีคงต้องรอไปถึงระยะปลายหนาวโน้นเลย

คนที่ชอบดูนกอาจทักว่า
ไปป่าดงดิบเขาช่วงนี้จะมีนกให้ดูหรือ อ้าว ! ลืมนกประจำถิ่นไปแล้วหรือไร
ช่วงฤดูฝนพากันออกหากินคึกคักมากเสียด้วย ฝนฉ่ำ มีอาหารเยอะ และนกหนุ่มสาวก็เติบโตกันฤดูนี้
นกหายากของป่าดงดิบเขาอย่างนกปีกแพรสีเขียวก็เห็นได้ง่ายกว่าฤดูอื่น
พวกขาประจำอย่างนกกะรางหัวแดง นกมุ่นรกหัวน้ำตาลแดง และนกศิวะหางสีตาลเป็นของตายอยู่แล้ว
นี่ยกตัวอย่างมาเฉพาะบนดอยอินทนนท์นะ
ยามฟ้าฉ่ำฝนเช่นนี้ เลือกไปดอยไหน คงได้สัมผัสความงามของชีวิตในป่าดงดิบเขาไม่แพ้กัน
|