เรื่องราวของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้งจากเหตุการณ์วันปรีดี พนมยงค์ (๑๑ พฤษภาคม) ที่ผ่านมาเมื่อ “อั้ม เนโกะ” นักศึกษาชั้นปี ๑ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้โพสท่าถ่ายรูปกับรูปปั้นอาจารย์ปรีดีแล้วนำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอพร้อมข้อความ “ความรัก ความคลั่งคืออะไร แต่ประเทศไทยก็ไม่มีกฎหมายหมิ่นท่านปรีดี เพราะเราทุกคนเท่ากัน” จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม
คุณอั้ม เนโกะ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลในการทำเช่นนั้นว่า เพราะวันนั้นสังเกตเห็นบริเวณรูปปั้นอาจารย์ปรีดีมีคนมาวางพานวางพวงมาลากราบไหว้ จึงอยากลองทำอะไรท้าทายกระแสสังคมดูบ้าง เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า “ถ้าคนเราเท่ากัน ทำไมจึงต้องทำให้อาจารย์ปรีดีกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์” หลังจากนั้นก็มีปฏิกิริยาทั้งจากผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการกระทาของเธอจนกลายเป็นประเด็นร้อนตามสื่อต่างๆ
ผู้เขียนขอนำประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยข้องแวะกับเรื่องราวของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง
ปี พ.ศ.๒๕๒๒ เป็นปีแรกที่ผมเข้าเป็นนักศึกษาปี ๑ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงเวลานั้นเพิ่งผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ใูนธรรมศาสตร์ ๖ ตลุาคม ๒๕๑๙ ได้เพียง ๓ ปี บรรยากาศในมหาวิทยาลัยยังอยู่ในช่วงฟื้นไข้จากเหตุการณ์หฤโหด กิจกรรมนักศึกษาเพิ่งกลับมาแต่ยังซบเซา ปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวง อึมครึม มีเรื่องต้องห้ามมากมายที่ห้ามพูดห้ามเอ่ยถึงจำได้ว่าบริเวณทางเข้าประตูท่าพระจันทร์มีโปสเตอร์ตีพิมพ์จดหมายของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จากประเทศอังกฤษ เป็นลายมือเขียนด้วยมือซ้ายด้วยเหตุว่าท่านเพิ่งฟื้นจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก พูดไม่ได้ มือขวาใช้การไม่ได้ แต่ความทรงจำยังดี อาจารย์ป๋วยเขียนคำอวยพรสั้นๆ ถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเดินสู่รั้วเหลืองแดงเป็นครั้งแรก
เวลานั้นไม่มีใีครกล้าเอ่ยถึง ปรดีี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ชื่อนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสังคมไทยมานานกว่า ๓๐ ปีแล้วตั้งแต่ท่านลี้ภัยการเมืองภายหลังรัฐประหารปี ๒๔๙๐ จะมีข่าวสารเรื่องราวของท่านในสังคมก็เพียงช่วงสั้นๆ ภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ แต่พอหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เรื่องราวของท่านกลับเงียบหาย แม้ในมหาวิทยาลัยที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งก็ยังไม่มีใครพูดถึงในที่แจ้ง หนังสือเกี่ยวกับปรีดีตามชั้นหนังสือในห้องสมุดมีแทบนับเล่มได้
ปรีดี พนมยงค์ ในเวลานั้น คนในสังคมรู้เพียงว่าเขาคือหนึ่งในคณะราษฎรที่จะล้มสถาบันกษัตริย์ เป็นผู้เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ ๘ และเป็นคอมมิวนิสต์ เกียรติคุณของท่านในเวลานั้นรู้กันเฉพาะในหมู่คนที่สนใจศึกษา และไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงความเห็นในที่สาธารณะ ชีวิตการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวของอาจารย์ปรีดีเป็นประจำ จนกระทั่งปลายปี ๒๕๒๕ ผมมาช่วยเตรียมงานแปรอักษรของชุมนุมเชียร์ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีถัดไป ผมเห็นปฏิทินของสหกรณ์ธรรมศาสตร์เป็นรูปปรีดี พนมยงค์ พร้อมคำกลอนบทหนึ่งว่า “พ่อนำชำติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้ำนามระบือชื่อ ‘ปรีดี’ แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”
ผมได้ไปปรึกษาคุณอดุลย์ โฆษะกิจจาเลิศ ประธานชุมนุมเชียร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ว่างานบอลประเพณีฯ ที่จะมีในเดือนหน้า เราน่าจะแปรอักษรเป็นข้อความนี้ และเปิดรูปอาจารย์ปรีดีบนสแตนด์เชียร์ที่เี่ต็มพรืดด้วยนักศึกษาจำนวน ๒,๕๐๐ คน เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่านักศึกษาธรรมศาสตร์รุ่นนี้ไม่เคยลืมอาจารย์ปรีดี
คุณอดุลย์เห็นด้วย และบอกว่าพวกเราอยู่ปี ๔ กันแล้ว น่าจะทำอะไรเป็นการตอบแทนผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในบั้นปลายชีวิตของท่าน เมื่อสืบจนพบว่าคนเขียนกลอนบทนี้เป็นเพื่อนคณะนิติศาสตร์ชื่อเล่นว่า เทียน เราก็ได้ขออนุญาตนำกลอนของเขามาแปรอักษร ต่อมาจึงประกาศให้ทีมงานบางคนทราบว่าการแปรอักษรครั้งนี้จะเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่ลูกแม่โดมจะเผยแพร่รูปอาจารย์ปรีดีสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ ถ่ายทอดสดตลอดรายการ
เราตกลงกันว่าการแปรอักษรนี้จะเป็นความลับ รู้กันไม่กี่คนไม่บอกอาจารย์หรือศิษย์เก่าใดๆ เพราะกลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่บางคนห้ามปรามด้วยความหวาดกลัว
เวลานั้นพวกเราวางแผนกันว่า หากแปรอักษรไปแล้วเกิดมีตำรวจหรือสันติบาลมาถามหาก็นัดแนะกันว่าจะหนีไปทางไหน และจะไม่ซัดทอดกัน หากมีการจับก็ให้มีคนโดนจับน้อยที่สุด
พอถึงวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ ๓๙ เริ่มขึ้น ณ สนามศุภชลาศัย เราวางแผนเตี๊ยมกับทางโฆษกสนาม ขณะที่ขบวนพาเหรดล้อการเมืองเข้าสู่สนามได้สักพัก พอได้เวลาถ่ายทอดสดเราก็วิทยุไปยังโฆษกบอกผู้ชมให้ตั้งใจดูหน้าสแตนด์เชียร์ธรรมศาสตร์เพราะจะได้พบปรากฏการณ์ครั้งแรกและให้กล้องโทรทัศน์เตรียมจับภาพ บนอัฒจันทร์เริ่มแปรอักษรเป็นคำกลอนพร้อมกับที่โฆษกสนามอ่านกลอนบทนี้ดังก้องสนามศุภชลาศัย ปิดท้ายด้วยภาพอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีฉากหลังเป็นรูปโดม สัญลักษณ์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อโฆษกสนามพูดบทกลอนซ้ำอีกครั้ง ในสนามเงียบก่อนที่เสียงปรบมือจะดังลั่น ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ศิษย์เก่า ต.มธก. หลายคนยืนขึ้น น้ำตาไหลด้วยความดีใจเพราะเป็นครั้งแรกในรอบ ๓๐ กว่าปีที่มีการพูดถึงอาจารย์ปรีดีชัดเจนในที่สาธารณะ ขณะที่นักศึกษาบนอัฒจันทร์โห่ร้องด้วยความยินดีที่ตนในฐานะลูกแม่โดมได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้
พอแปรอักษรรูปนี้เสร็จ พวกเราที่อยู่ด้านล่างทำ หน้าที่ควบคุมสแตนด์เชียร์ต่างสวมกอดกันด้วยความดีใจที่สามารถทำให้อาจารย์ปรีดีออกมาสู่พื้นที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรก ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาชุมนุมเชียร์ก็ได้รับจดหมายจากอาจารย์ปรีดีส่งตรงจากประเทศฝรั่งเศส ความว่ามีคนส่งภาพการแปรอักษรครั้งนี้ไปให้ท่านดู จึงเขียนจดหมายมาขอบใจคนที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ยังรำลึกถึงท่าน
๒ พฤษภาคมปีเดียวกัน ปรีดี พนมยงค์ ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ณ บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อได้ทราบข่าวผมรู้สึกสะเทือนใจที่คนทำงานหนักเพื่อแผ่นดินมาตลอดชีวิตไม่อาจกลับมาตายที่บ้านเกิดได้ ขณะที่ความตายของท่านทำให้ผู้มีอำนาจผ่อนคลายลงและเริ่มมีคนพูดถึงท่านมากขึ้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สร้างอนุสาวรีย์รำลึกถึงท่านเป็นครั้งแรก มีการประกาศเกียรติคุณ พิมพ์ผลงานความคิดของปรีดีออกมาเรื่อยๆ
นับจากนั้น ชื่อ ปรีดี พนมยงค์ ไม่กลายเป็นสิ่งต้องห้ามเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่เมื่อทางครอบครัวจะนำอัฐิของท่านกลับเมืองไทยในปี ๒๕๒๙ กลับไม่ได้รับการต้อนรับหรือไม่ได้รับเกียรติยศใดๆ จากรัฐบาล ทั้งที่ในฐานะอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าเสรีไทย ท่านได้ท ำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาตลอดชีวิต
ผมได้รับการติดต่อจากอาจารย์ธรรมศาสตร์ให้ไปช่วยตบแต่งรถเชิญอัฐิ เมื่อพวกเราไปถึงสนามบินดอนเมืองก็ต้องประหลาดใจไม่มีพิธีกรรมใดๆ สำหรับสามัญชนผู้นี้ มีเพียงญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ลูกหา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผมโชคดีไีด้เป็นผู้ถือผอบบรรจุอัฐิของท่านบนรถตลอดทางจากดอนเมืองสู่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์จำได้ว่าเมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยฝนตกหนัก ลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบข่าวต่างมารอรับอย่างเนืองแน่น จากนั้นเราลงเรือตำรวจน้ำ ดำรงราชานุภาพ ไปลอยอังคารในอ่าวไทย
ที่เล่ามานี้เพื่อจะบอกว่า สังคมไทยน่าจะให้การยอมรับ ปรีดี พนมยงค์ อีกครั้งหนึ่งเพียง ๒๐ กว่าปีเท่านั้น และเกียรติคุณของท่านได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจังภายหลังปี ๒๕๔๓ เมื่อยูเนสโกยกย่องท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกในโอกาส ๑๐๐ ปีชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโสถึงทุกวันนี้ รูปปูนปั้นอาจารย์ปรีดีก็มีเพียงไม่กี่แห่งเกือบทั้งหมดอยู่ในรั้วธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นนัยว่าลึกๆ แล้ว ผู้มีอำนาจในสังคมยังไม่เปิดพื้นที่หรือยอมรับท่านอย่างทั่วถึง
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสศึกษาชีวิตของอาจารย์ปรีดี ได้สัมผัสท่านผ่านท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และลูกหลานมาหลายครั้งได้ถ่ายทอดเรื่องราวของท่านเป็นตัวหนังสือ จึงพอจะเข้าใจชีวิตและความคิดของท่านพอสมควร
ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ใหญ่ไม่กี่คนในชีวิตที่ผมสามารถก้มลงกราบได้อย่างสนิทใจ และหากมีโอกาสไปธรรมศาสตร์คราใด ก็ไม่ลืมที่จะนำพวงมาลัยไปกราบท่าน สามัญชนผู้อยู่ในหัวใจของผมมาโดยตลอด
- ตีพิมพ์ใน นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 328 มิถุนายน 2555
Comments
เจอในพันทิปมา ทำให้เข้าใจอ.ปรีดีมากกว่าที่เรียนในมธ. 4ปี
http://www.youtube.com/watch?v=bTe9bUY8jic
คุณวันชัยครับ คุณโชคดีมากที่ได้ทำอะไรเพื่อท่านปรีดี ผมเป็นคนหนึ่งที่เคารพรักท่านอย่างสุดหัวใจ อย่าไปหวังให้ไอ้พวกซากเดนศักดินามันยอมรับท่านเลยครับ เพราะพวกมันนี่แหละที่ทำร้ายท่าน สักวันหนึ่งสัจจะ ความจริงก็จะปรากฏ ว่าใครคือเพชรแท้ ใครคือของปลอม เมื่อนั้นท่านปรีดีจะกลับมา 🙂
เป็น 1 ในนักศึกษาที่อยู่บนแสตนด์เชียร์วันนั้น จำได้ว่า ประทับใจมากค่ะ ตอนนั้นเพิ่งเรียนปี 1 เอง แต่รู้สึกเสมอว่า อ.ปรีดี ควรที่จะได้อยู่เพื่อเป็น “ผู้สร้าง” บนแผ่นดินไทย มากกว่าเป็นคนที่ “เมืองไทยไม่ต้องการ”…
ข้าพเจ้าเชื่อว่าระบบกรรมยุติธรรมเสมอ และระบบกรรมกำลังคืนความยุติธรรมให้ท่านปรีีดี แม้ข้าพเจ้าไม่เคยพบท่าน แต่ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เคารพนับถือในคุนูปการที่ท่านได้สร้างไว้แก่ประชาชนคนไทย
ผู้เขียนกลอน “พ่อนำชาติด้วยสมองฯ” ชื่อ เธียร ธงศรีเจริญ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว