นานมาแล้วเคยอ่านประวัติเรื่องนกโดโด เคยได้ยินสำนวนคำว่า “dead as a Dodo” ฟังแล้วยังงง ๆ จนกระทั่งมาตามหาความหมายแท้จริงกลางกรุงเวียนนา
กลางมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ในทวีปยุโรปได้ไม่นาน ผมมีโอกาสมาเยือนกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ขณะอุณหภูมิของฤดูร้อนเริ่มต้นประมาณ ๓๕ องศาเซลเซียส ทั้ง ๆที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน อุณหภูมิยังอยู่ในระดับต่ำกว่า ๑๐ องศาเซลเซียส
ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทั่วโลก ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนเดิมว่า สภาพดินฟ้าอากาศจะแปรเปลี่ยนอย่างไร
ออสเตรียเป็นประเทศที่มีบ้านเรือนงดงามมาก และมีพิพิธภัณฑ์ดีที่สุดหลายแห่ง เฉพาะในกรุงเวียนนา แค่เวลาหนึ่งอาทิตย์ก็อาจจะเดินดูพิพิธภัณฑ์นับสิบแห่งไม่หมด ตั้งแต่ด้านศิลปะ ภาพวาด ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงด้านธรรมชาติ
คนไทยไปเที่ยวเวียนนามากขึ้น แต่น่าเสียดายตรงที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักเดินทางมาชอปปิ้งสินค้าแบรนด์หรู เพราะค่าใช้จ่ายที่นี่ถูกกว่าไปชอปปิ้งกรุงปารีส แทนที่จะเดินชมผลงานชิ้นเยี่ยมในพิพิธภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ศูนย์การค้า ร้านค้าเกือบทั้งหมดในยุโรปหยุดวันอาทิตย์ ด้วยความเชื่อแบบชาวคริสต์ว่า มนุษย์ควรทำงานสัปดาห์ละหกวัน วันอาทิตย์เป็นวันของครอบครัว ฝรั่งจึงต้องวางแผนจับจ่ายซื้อของ พอถึงวันอาทิตย์ร้านค้าปิดหมด ถนนโล่ง ที่สำคัญคือ สอดคล้องกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ คือการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง
ลองนึกดูหากศูนย์การค้าในกรุงเทพมหานครปิดวันอาทิตย์ จะเกิดอะไรขึ้น
แต่พิพิธภัณฑ์ทุกแห่งในออสเตรียเปิดวันอาทิตย์ เพื่อเป็นสถานที่ให้คนในครอบครัวออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการดึงคนออกจากศูนย์การค้ามาหาความรู้และความบันเทิงในพิพิธภัณฑ์
สายของวันอาทิตย์ ผมตั้งใจไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยาแห่งกรุงเวียนนา (Vienna’s Museum of Natural History) ภายในมีเรื่องราวต่าง ๆมากมาย ไม่ว่าการกำเนิดจักรวาล กำเนิดสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการของมนุษย์ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ตัวอย่างชนิดพันธุ์ต่าง ๆที่น่าสนใจและทำขึ้นมาใหม่ฯลฯ มีเรื่องเล่าต่าง ๆ มากมาย เดินชมมาถึงห้องจัดแสดงชนิดของนกทั่วโลก และหยุดเป็นเวลานานต่อหน้านกชนิดหนึ่งอย่างตื่นเต้น คือ นกโดโด
ตอนแรกผู้เขียนดีใจมาก นึกว่าเป็นนกโดโดสต้าฟตัวจริง แต่พอสติกลับคืนมา ก็นึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยมีใครเคยเห็นซากนกโดโดตัวจริง มีเพียงภาพวาด เพราะมันสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปสามร้อยกว่าปีแล้ว ไม่เคยมีเก็บซากนกเอาไว้ สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีแค่โครงกระดูกนก บรรดานักวาดภาพนกโดโดในอดีตก็วาดจากคำบอกเล่า ไม่เคยมีใครเห็นตัวจริง นกโดโดที่เห็นคือการจำลองนกในสภาพใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด เพียงแค่นี้ก็ตื่นเต้นจนเนื้อเต้น
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ ดูเหมือน นกโดโด จะได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดชนิดหนึ่ง เรื่องราวของมันยังอยู่ในความทรงจำของมนุษย์มาโดยตลอด
โดโด (Raphus cucullatus))เป็นนกโบราณขนาดใหญ่ มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มาหลายล้านปี เป็นชนิดพันธุ์ใกล้ชนิดกับนกพิราบ ขนาดสูงประมาณหนึ่งเมตร หนักประมาณ ๑๐-๑๘ กิโลเมตร ขาสั้น รูปร่างอ้วน จะงอยปากใหญ่ มีรูจมูกกว้าง และตาโปน ขนมีสีเทา ดำ และเดินต้วมเตี้ยมตลอดเวลา มันอาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข เพราะบนเกาะมอริเชียส กลางมหาสมุทรอินเดีย ผืนดินแห่งเดียวที่นกชนิดนี้อาศัยอยู่ โดโดไม่เคยมีศัตรูหรือสัตว์ผู้ล่ามารบกวนเลย ปีกของมันจึงไม่จำเป็นต้องบินหนีศัตรู ทำให้วิวัฒนาการปีกของโดโดลีบเล็กลงเพราะไม่ได้ใช้งาน จนบินไม่ได้
กระทั่งเมื่อชาวโปรตุเกสชาติแรกได้ค้นพบเกาะมอริเชียสในปีพ.ศ. ๒๐๕๐ ก็ไม่ได้สนใจจะยึดครองอะไร นอกจากล่ากินเป็นอาหาร ต่อมาปีพ.ศ. ๒๑๔๑ จาค็อบ แวน เนค กัปตันเรือชาวดัตช์ ได้บันทึกเกี่ยวกับนกโดโดครั้งแรกบนเกาะแห่งนี้ว่า
“… นกตัวใหญ่มาก หัวโต ตรงหน้ามีลักษณะเป็นหนังไม่มีขน ปีกขนาดเล็กดูไม่ค่อยสมประกอบ หางสั้นมีขนไม่กี่เส้น สีออกเทาๆ … ยิ่งต้มนานเนื้อก็ยิ่งเหนียวจนแทบจะกินไม่ได้”
แม้เนื้อนกโดโดจะเหนียวไม่อร่อย แต่เนื่องจากโดโดไม่เคยเจอมนุษย์มาก่อน จึงไม่มีสัญชาติญาณพอจะรู้ว่าเจอสัตว์นักล่าขั้นเทพแล้ว บรรดาลูกเรือจึงหิ้วปีกนกโดโดทีละหลายสิบตัวอย่างง่ายดายมาไว้บนเรือ รอถูกเชือดเป็นอาหาร จนเป็นที่รู้กันว่า หากจะหาเสบียงระหว่างทางเดินเรือกลางมหาสมุทร มาที่เกาะเมอริเชียส มีอาหารสด ล่าง่ายไม่เสียเวลานาน
ไม่น่าแปลกใจที่มาของชื่อโดโดจึงมาจาก ภาษาดัชท์ dodaar หมายถึง เฉื่อยชา ใกล้เคียงกับ ภาษาโปรตุเกส doudo หมายถึง โง่เง่าตัวตลก ด้วยสาเหตุที่มันเคลื่อนไหวช้า ป้องกันตัวเองไม่เป็น และตายง่ายเกินไป
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อมนุษย์เริ่มมาตั้งรกรากบนเกาะกลางมหาสมุทรอินเดีย สิ่งที่ตามมาคือหนูที่ติดมากับเรือ หมา แมว หมูและลิงถูกมนุษย์นำมาเลี้ยงบนเกาะมอริเชียส เพื่อเป็นเพื่อนและอาหารได้กลายเป็นสัตว์ผู้ล่าโดโดไปโดยปริยาย เพราะบนเกาะอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ช่วยทำให้สัตว์เหล่านี้ออกลูกออกหลานเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว สัตว์เหล่านี้เริ่มขโมยกินไข่ของนกโดโดที่ออกไข่ครั้งละฟองบนรังพื้นดิน รวมไปถึงลูกนกตัวอ่อน และเริ่มรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยของนกพื้นเมืองชนิดนี้ไปเรื่อย ๆ
ทั้งโดนล่าจากมนุษย์และสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เพียงไม่กี่ร้อยปีที่โดโดได้รู้จักมนุษย์ นกที่มีอยู่มากมายบนโลกใบนี้ก็สูญพันธุ์ลงอย่างเงียบ ๆ มีหลักฐานการพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๕ และคาดว่าพอถึงปีพ.ศ. ๒๒๓๖ โดโดตัวสุดท้ายบนโลกใบนี้คงสูญพันธุ์ไปแล้ว ก่อนที่ชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจะเกิดร้อยกว่าปี
ไม่ถึงสองร้อยปีที่เราได้รู้จักกัน มนุษย์ก็ทำลายล้างอีกฝ่ายจนหายไปจากโลกนี้
ไม่เพียงเท่านั้นนกบนเกาะมอริเชียสที่มีอยู่ ๔๕ ชนิด เหลืออยู่เพียง ๒๑ ชนิด นอกนั้นสูญพันธุ์ไปพร้อมกับนกโดโด ภายหลังการปรากฏตัวของนักล่าขั้นเทพ และป่าถิ่นที่อยู่อาศัยสำคัญของสิ่งมีชีวิตที่เคยปกคลุมเกาะทั้งหมด ก็แทบจะหมดเกลี้ยง เมื่อถูกมนุษย์โค่นทำลายป่าเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูก
สาเหตุสำคัญการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต นอกจากการถูกล่าอย่างหนักแล้ว คือการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของมัน จากน้ำมือของมนุษย์
อันที่จริงตอนที่โดโดสูญพันธุ์ไปแล้ว ผู้คนทั่วไปก็ไม่ได้สนใจอะไร แทบจะไม่มีใครรู้จักนกชนิดนี้ จนกระทั่งนิยายเรื่อง Alice’s Adventures in Wonderland ของ Lewis Carroll แต่งในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ มีตัวละครหนึ่งชื่อ โดโด ทำให้ชื่อนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของคนมากขึ้น แต่กว่าจะสนใจค้นคว้าอย่างจริงจัง ก็ไม่มีซากใด ๆ ให้ขุดค้นพบอีกต่อไป มีเพียงเศษกระดูกชิ้นส่วนต่าง ๆ อันไม่สมบูรณ์ของนกโดโด และซากไข่หนึ่งใบที่ยังหลงเหลือพอให้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าศึกษาวิจัยต่อไป
หนังสือเล่มนี้ ได้เป็นที่กำเนิดของสำนวน dead as a Dodo หรือตายเหมือนนกโดโด อันมีความหมายว่า ตายแน่ ๆ ตายอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนนกโดโด ผู้สูญพันธุ์หมดสิ้นไปจากโลกนี้จริง ๆ หรืออาจจะตรงกับคำที่ว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี”
นักวิทยาศาสตร์มีข้อสันนิษฐานว่า ในอดีตจะมีการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ห้าครั้งบนโลกนี้ คือเมื่อ ๔๔๐ , ๓๗๕,๒๕๐,๒๐๕,๖๕ ล้านปีก่อน โดยแต่ละครั้งทำให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปถึงร้อยละ ๙๖ โดยมีสาเหตุจากภัยธรรมชาติทั้งสิ้นอันได้แก่ ภูเขาไฟระเบิด อุกาบาตพุ่งชนโลก น้ำทะเลท่วม การเปลี่ยนแปลงอากาศอย่างรุนแรง
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การสูญพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ เพราะเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ อาทิ หากไดโนเสาร์ผู้เคยครองโลกมาหลายร้อยล้านปีไม่สูญพันธุ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์ก็จะไม่มีโอกาสแจ้งเกิดมาเป็นจ้าวโลกนี้แทนได้
แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ปัจจุบันการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมีอัตราการทำลายล้างสูงมากกว่าอดีตถึงหนึ่งพันเท่า ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากธรรมชาติ แต่มาจากฝีมือมนุษย์ล้วน ๆ คือการไล่ล่า การทำลายป่า และปัญหามลพิษ ทุกปีมีสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปถึง ๒๗,๐๐๐ ชนิด
ดังนั้นการสูญพันธุ์อย่างไร้สาระของนกโดโด อาจจะมีส่วนทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการแบบโหดเหี้ยม ก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ ใครรู้ช่วยตอบที
สารคดี กค.56