ผมอาจจะโชคดีกว่าผู้คนจำนวนมากที่ได้มีโอกาสเดินทางโดยเครื่องบิน
กล่าวกันว่าช่วงที่หวาดเสียวหรือเสี่ยงอันตรายว่าจะเกิดอุบัติเหตุบนเครื่อง บินมากที่สุด ก็คือตอนที่เครื่องบินกำลังจะทยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และตอนที่กำลังจะร่อนลงแตะพื้นรันเวย์
ช่วงเวลานั้น ผู้โดยสารหลายคนอาจจะภาวนาขอให้ร่อนลงหรือบินขึ้นอย่างปลอดภัย แต่สำหรับผม ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการดูทัศนียภาพผ่านหน้าต่างเครื่องบิน
ผมชอบมองลงไปบนพื้นล่าง ในระดับความสูงไม่กี่พันฟุต สามารถ เห็นอาคารบ้านเรือน ท้องนา ถนนหนทาง ในมุมสูงที่ไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก
หากรู้ทิศทางว่าบินมาจากไหน ขณะกำลังจะร่อนลง ก็สามารถคำนวณได้ว่า จะเห็นอะไรมั่ง จำได้ว่าครั้งหนึ่งเห็นเกาะเกร็ดกลางแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างถนัดตา แต่ที่เห็นบ่อยมากคือ หอประชุมรูปทรงกลมของวัดธรรมกาย ก่อนเครื่องจะร่อนลงสนามบินดอนเมือง
แม้แต่ช่วงที่บินอยู่ในระดับหลายหมื่นฟุต หากวันไหนท้องฟ้าแจ่มใส ก็สามารถเห็นภาพจากพื้นดินได้ชัดเจน และหากคำนวณระยะทางบิน ก็จะรู้ว่า เราจะผ่านอะไรบ้างที่อยู่เบื้องล่าง
หากบินไปภาคอีสาน โอกาสจะเห็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีสูงยิ่ง เพราะเป็นป่าผืนใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตา กว่าเครื่องบินจะบินผ่านใช้เวลานานพอสมควร
มีโอกาสบินไปภาคใต้ ผ่านทะเลอ่าวไทย ผมมักจะตั้งใจสังเกตดูเกาะเต่า เกาะสมุยและเกาะพงัน อันเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่เรียงกัน
มีครั้งหนึ่งบินไปจังหวัดนราธิวาส เครื่องบินจะไปจอดถ่ายผู้โดยสารบนเกาะภูเก็ตก่อนที่จะบินต่อไปจังหวัดนราธิวาส ช่วงเวลานั้นเอง ผมพยายามมองหาเกาะพีพี ที่มีรูปเป็นทรงคล้ายตัว H และก็สามารถมองเห็นได้ในระยะที่ไม่สูงมากนัก เพราะเป็นช่วงที่เครื่องบินเพิ่งไต่ระดับขึ้นมาจากสนามบิน
ผมเคยลองถามพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ว่าเกาะที่ผ่านมาคือเกาะอะไร ไม่เคยมีใครเคยตอบได้ และดูเหมือนจะไม่มีใครให้ความสนใจกับการดูทัศนียภาพข้างนอก
เมื่อครั้งบินไปเกาะบาหลี ผมดูตามแผนที่แล้ว จะต้องผ่านเกาะชวา ที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ ผมพยายามมองออกนอกหน้าต่าง สังเกตดูยอดภูเขาไฟ และในที่สุด ก็เห็นปล่องภูเขาไฟหลายปล่อง บางปล่องยังปล่อยควันออกมาให้เห็นเป็นบุญตา
หากบินตอนกลางคืน ก็จะได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง นอกจากแสงไฟตรงปีกเครื่องบินแล้ว มีเพียงความมืดมิด แต่พอเครื่องกำลังจะร่อนลง หากเป็นมหานครใหญ่แบบปารีส โตเกียว หรือลอนดอน จะเห็นแสงไฟสว่างบนพื้นดิน จากอาคารบ้านเรือน ตึกระฟ้า ตามท้องถนนระยิบระยับไกลสุดขอบฟ้า จนรู้ดีว่ามหานครเหล่านี้ใช้ไฟฟ้ามากเพียงใด
ครั้งหนึ่งขณะเครื่องบินกำลังบินขึ้นจากสนามบินเมืองตานา เมืองหลวงของประเทศมาดาร์กัสการ์ เกาะใหญ่กลางมหาสมุทรอินเดีย ผมมองลงไปเบื้องล่าง เห็นแสงสว่างตามท้องถนนน้อยมาก จนสามารถเป็นตัวชี้วัดการใช้ไฟฟ้าของประเทศยากจนอันดับต้น ๆ ของโลกได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นเมืองใดในยามค่ำคืน ผมยังต้องมนต์เสน่ห์แอบมองแสงไฟระยิบระยับผ่านเครื่องบิน ดูลึกลับและชวนให้ค้นหา
บางครั้งใช้เวลาบินนานในช่วงกลางคืน จนเห็นตะวันสาดแสงสีทองค่อย ๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า เปล่งประกายสีแดง สีม่วง สีทองกระทบปุยเมฆ งดงามกว่าทะเลหมอกที่เคยเห็นตอนเดินเขา
แต่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต คือช่วงที่บินไปตอนเหนือของอินเดียตอนบ่ายวันหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างทัศนวิสัยปลอดโปร่งมาก เห็นก้อนเมฆขนาดใหญ่อยู่ริมขอบฟ้า แต่ภรรยาบอกว่าไม่ใช่ เป็นเทือกเขาหิมาลัย
ใช่เลย ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสเห็นเทือกเขาหิมาลัยบนเครื่องบินได้จริง ๆ วันนั้นเราบินอยู่ระดับสามหมื่นฟุต ใกล้เคียงกับความสูงของยอดเขาหิมาลัย เห็นเทือกเขาในระดับสายตาโผล่พ้นกลุ่มเมฆขึ้นมา ราวกับเห็นสรวงสวรรค์อยู่ตรงหน้า เพิ่งเข้าใจว่าเหตุไฉนคนอินเดียถึงเชื่อว่า หิมาลัยคือที่อยู่ของพระเจ้า
การสังเกตสิ่งรอบ ๆตัว ถือเป็นกำไรชีวิต ที่ไม่คาดคิดมาก่อน
Comments
ชอบมากๆเหมือนกันกับการที่ได้นั่งมองวิวสวยงามระหว่างนั่งเครื่องบิน
หลายคนขึ้นไปก็หลับ ทำนู่นทำนี่บ้าง มีแต่ผมที่นั่งมองหน้าต่างจนคอเคล็ด (เพราะที่นั่งบางแถวมันไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยแก่การนั่งมองวิวเท่าไร)
เครื่องบินสายเหนือ จะผ่านจังหวัดนึงที่ผังเมืองเขาสวยดี ถ้ามีโอกา่สลองมองหาดูนะครับ
จังหวัดลพบุรี เค้าจะมีวงเวียนใหญ่ๆ อยู่สองแห่งใกล้ๆกัน (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)
ดูแล้วเหมือนวงกลมปริศนาบนทุ่งข้าวโพดยังไงอย่างงั้น
บางคนบอกผมว่าเขาขึ้นเครื่องบินจนเบื่อแล้ว แต่สำหรับผม ไม่ว่าขึ้นไปกี่ครั้งก็ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งไม่เคยเบื่อเลย